หมอหลวงต้านเดินมาอย่างรีบเร่งพร้อมกับถือกล่องยามาด้วย ทันทีที่เห็นเลือดไหลดั่งสายน้ำบนผ้าพันแผลของหรงเยี่ยนั้น หมอหลวงต้านก็ถึงกับขมวดคิ้ว
เขาวางกล่องยาลง แล้วก็หยิบกรรไกรออกมา จากนั้นก็ตัดผ้าและแผ่นไม้ที่พันรอบขาของหรงเยี่ยออก
เลือดไหลออกมาจากปากของแผล บนบาดแผลนั้นยังมียาสมานแผลทาไว้อยู่ ทำให้แผลของหรงเยี่ยแลดูน่ากลัวมาก
เมื่อจิ่งหลินได้เห็นภาพนี้ ทำให้ใจเกิดอึดอัดขึ้นมา เบ้าตาค่อยๆเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา " ทำไมต้องปล่อยให้หมอหลวงจ้าวและหมอหลวงฮั่วคุกเข่าอยู่ข้างนอกด้วย"
หลานวานเออร์สบตาเขาแวบหนึ่งจากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาที่เกาะอยู่ปรายตา เอ่ยตอบ " พวกเขาไม่เพียงแต่รักษาเสด็จพ่อเจ้าไม่ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้เสด็จพ่อเจ้าบาดเจ็บสาหัสมากกว่าเดิม เจ้าเห็นบาดแผลบนขาของเสด็จพ่อเจ้าหรือไม่ นั่นคือแผลที่หมอหลวงจ้าวใช้มีผ่าเพิ่ม"
" ให้หมอหลวงจ้าวและหมอหลวงฮั่วเข้ามาเดี๋ยวนี้" จิ่งหลินทำหน้าเคร่งขรึม
คนข้างกายนั้นต่างไม่เชื่อใจหมอหลวงจ้าวและหมอหลวงฮั่ว แต่จิ่งหลินเชื่อใจพวกเขา
แต่หลานวานเออร์กลับไม่ได้จริงจังกับคำพูดของเขา " อาหลิน เสด็จพ่อเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้แล้ว ข้ามิอาจมอบไว้ในมือของหมอหลวงจ้าวและหมอหลวงฮั่วอีกแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังจะขอให้เสด็จปู่เจ้าเอาโทษพวกเขาสองคนด้วย"
"นี่เจ้า..." หรงจิ่งหลินจ้องมองหน้านางอย่างเหลือเชื่อ " ท่านแม่ใหญ่ไม่รู้ดอกหรือว่า หมอหลวงฮั่วนั้นเป็นใคร"
หลานวานเออร์งงไปแวบหนึ่ง พยักหน้าเอ่ย " ก็เป็นหมอที่อาวุโสที่สุดในสำนักหมอหลวงไม่ใช่หรือ"
" ในเมื่อเป็นหมอหลวงที่อาวุโสที่สุดก็แสดงว่ามีประสบการณ์มากพอที่จะรักษาขาของเสด็จพ่อ ดูท่าแล้วขาของเสด็จพ่ออาการหนักมาก จะชักช้าไม่ได้อีกแล้ว หมอหลวงจ้าวและหมอหลวงฮั่วนั้นเคยเรียนวิชาการรักษาที่ทันสมัยกับนางสนมไป๋ด้วย พวกเขาจัดการกับบาดแผลประเภทนี้ได้ถนัดที่สุด" หรงจิ่งหลินพูดอย่างเคร่งขรึม
หลานวานเออร์ขมวดคิ้วที่หนึ่ง เอ่ย " อาหลิน พวกเราไม่ต้องโต้เถียงกันแล้ว ตอนนี้หมอหลวงต้านก็รักษาได้ดีแล้ว ให้หมอหลวงต้านรักษาต่อไปเถิด ถ้าหากพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้นค่อยเปลี่ยนวิธีการรักษา เจ้าอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อเจ้านะ ข้าจะไปเรียกคนให้เตรียมอาหาร"
เมื่อพูดจบ หลานวานเออร์ก็ไม่ให้หรงจิ่งหลินได้ปริปากพูด นางลุกขึ้นแล้วก็ส่งสายตาไปยังแม่นมฉินแวบหนึ่ง
เมื่ออาหารมาถึง หลานวานเออร์ก็ยกน้ำแกงมาชามหนึ่ง มาตรงหน้าหรงจิ่งหลิน เอ่ย " มา ให้เสด็จแม่ป้อนให้เจ้า"
" ไม่ต้อง ข้ากินเอง" หรงจิ่งหลินกวาดสายตามองถ้วยบนมือนางแวบหนึ่ง แต่เขาก็ไม่กิน
"ไม่ชอบหรือ ถ้าอย่างงั้นให้แม่นมฉินทำมาใหม่อีกชุด" หลานวานเออร์เห็นว่าเขาไม่รับไปดื่ม จึงส่งน้ำแกงกลับไปให้แม่นมฉิน
หรงจิ่งหลินขมวดคิ้ว หันกลับไปมองแม่นมฉินแวบหนึ่ง เอ่ย " ไม่ต้องทำใหม่หรอก เอามานี่"
แม่นมฉิน เอ่ย " เอ้" แล้วก็ยื่นน้ำแกงกลับไปให้หรงจิ่งหลิน
หรงจิ่งหลินช้อนก็ไม่ใช้ กินมันเข้าไปในเฮือกเดียว
แม่นมฉินรับถ้วยมา แล้วก็เหลือบไปมองหลานวานเออร์แวบหนึ่ง จากนั้นก็ออกจากห้องไป
ผ่านไปไม่นาน หรงจิ่งหลินก็ซบตัวหลับไปข้างกายหรงเยี่ย
หลานวานเออร์อุ้มหรงจิ่งหลินมาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นก็กวาดตาผ่านระหว่างคิ้วของเขา
หน้าตาของเด็กนั้นคล้ายกับหรงเยี่ยมาก โดยเฉพาะเวลาที่หลับสนิท เขาเหมือนกับเป็นร่างย่อส่วนของหรงเยี่ย ทำให้หลานวานเออร์ลือว่าเป็นเด็กที่คลอดจากไป๋ชิงหลิงไปชั่วขณะหนึ่ง
นางอุ้มหรงจิ่งหลินไปอีกห้องหนึ่ง จากนั้นก็วางเขานอนลงไป พร้อมกับห่มผ้าห่มให้เขาด้วย เอ่ย " เจ้านอนหลับที่นี่ดีๆ นะ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าไปเรียกแม่เจ้ามาเด็ดขาด พ่อเจ้าอยู่กับแม่เจ้ามานานขนาดนั้นแล้ว ถึงคราวข้าบ้าง เจ้าวางใจเถิด ต่อให้ต่อไปแม่เจ้าจะไม่อยู่ข้างกายเจ้า ข้าก็จะปฏิบัติต่อเจ้าดั่งลูกในไส้"
นางวางมือลงไปบนระหว่างคิ้วหรงจิ่งหลินแล้วก็วาดไปมาแวบหนึ่ง
เมื่อพวกเขากลับไปถึงจาวเฟิงหยวน ก็ถูกหลานวานเออร์ห้ามให้เข้าไป ไม่ยอมให้เขาสองคนเข้าใกล้หรงเยี่ย
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หรงเยี่ยตัวร้อนอีกครั้ง
หมอหลวงต้านเตือนหลานวานเเอร์ แต่กลับถูกนางขับไล่ออกไปแล้วก็เปลี่ยนหมอหลวงจางเข้าไปแทน
หมอหลวงทั้งหลายที่อยู่ข้างนอกโกรธกันเป็นฟืนเป็นไฟแต่ก็ไม่กล้าส่งเสียง หมอหลวงต้านรู้สึกน้อยใจมาก เอ่ยกับหมอหลวงฮั่ว " ข้าได้เห็นบาดแผลขององค์ราชทายาทแล้ว หมอหลวงจางนั้นยังอ่อนเยาว์นัก ไม่รู้ว่าทำไมพระชายาองค์ราชทายาทถึงได้ห้ามท่านทั้งสอง ข้ารู้สึกตลอดว่าวิธีและยาของพระสนมไป๋นั้นใช้ได้ดีทีเดียว"
หมอหลวงฮั่นั้นใจด้านไปแล้ว จึงรู้สึกดตัดพ้อต่อหลานวานเออร์ " ท่านหมอหลวงต้านยังไม่เข้าใจพระทัยฝ่าบาทอีกหรือ ฝ่าบาทต้องการยกฐานะคนใกล้ตัว ต้องการเปลี่ยนพระชายาหรงเป็นสนมรอง พระชายาองค์ราชทายาทต้องการพิสูจน์ว่า สำนักหมอหลวงนั้นไม่ใช่เป็นของพระสนมไป๋ และไม่ใช่ว่าต้องเป็นยาของนางเท่านั้น ถ้าหากครั้งนี้องค์ราชทายาทหายเคราะห์ได้ ตำแหน่งในวังของนางสนมไป๋ก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ"
หมอหลวงจ้าวเอ่ยด้วยโทสะ " แต่นั่นเป็นองค์ราชทายาท ไม่ใช่หมาแมวที่ไหนด้วย ถ้าหากมีสิ่งร้ายเกิดขึ้น เราก็ต้องพลอยได้รับโทษไปด้วย พระชายาองค์ราชทายาทนั้นเหลวไหลสิ้นดี"
หมอหลวงต้านตอบไปบนหัวทีหนึ่ง " ซื่อจื่อนอนหลับไปแล้ว ข้าเพิ่งคิดได้ว่า น้ำแกงถ้วยนั้นมียา ทำให้เมื่อซื่อจื่อทานแล้วก็ฟุบหลับไปข้างๆ องค์ราชทายาททันที"
สีหน้าของหมอหลวงจ้าวและหมอหลวงฮั่วเปลี่ยนไปทันที แล้วก็กัดฟันด้วยความโกรธแค้น
พระชายาองค์ราชทายาทคนนี้ช่างเป็นคนที่ผมยาวแต่ตากลับไร้แววนัก ไม่มีอะไรจะเทียบกับนางสนมไป๋ได้เลย
ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง ทำเป็นแต่เรื่องให้ร้ายคนอื่นแล้วก็เป็นตัวสร้างปัญหา
" เราจะปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว พวกเราต้องไปหานางสนมไป๋" พูดจบ หมอหลวงฮั่วก็เดินออกไปทันที หมอหลวงจ้าวแล้วหมอหลวงต้านก็เดินตามเขาออกไป
แต่ว่าพวกเขาเพิ่งจะออกมาจากจาวเฟิงหยวน ก็ถูกองครักษ์หน้าประตูขัดขวางไว้...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...