เขาใช้โอกาสนี้กอดนางและเพื่อควบคุมร่างกายที่ดิ้นกระสับกระส่ายของนาง
ทันใดนั้นไป๋ชิงหลิงก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวรุ่ง ที่เกือบจะมีความสัมพันธ์อะไรกับเขาในตำหนัก
ใบหน้าของนางแดงก่ำผิดไปจากปกติ และมือข้างหนึ่งได้แตะไปที่แผ่นอกของเขาเพื่อเตรียมจะผลักเขาออก
แต่อีกฝ่ายกลับโอบนางไว้และเดินออกไปจากเรือนยา
ขณะที่นางกำนัลของตำหนักฮุ่ยหนิงเดินผ่าน พวกนางได้แอบหันมองอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็แอบหัวเราะชอบใจ และพูดคุยกันถึงเรื่องข่าวดีของท่านอ๋องหรง
ไป๋ชิงหลิงเห็นสายตาของนางกำนัลก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงต้องรู้กันทั้งวังหลวงอย่างแน่นอนว่าความสัมพันธ์ของนางและท่านอ๋องหรงนั้นไม่ธรรมดา ถึงตอนนั้นต่อให้ไทเฮาไม่ทรงตรัสรับสั่งอะไร จักรพรรดิเหยาคงต้องคิดพระราชทานงานอภิเษกสมรสให้กับหรงเยี่ยอย่างแน่นอน
ยิ่งคิดต่อไปเรื่อยๆ สีหน้าของไป๋ชิงหลิงก็แย่ลงมากขึ้น ใบหน้าที่เดิมที่แดงก่ำได้ซีดเผือดลงเล็กน้อย
"หรงเยี่ย!" น้ำเสียงของนางอ่อนโยนลงเล็กน้อย "ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ให้ข้าเดินเอง"
หรงเยี่ยก้มลงมองและพบว่าดวงตาของไป๋ชิงหลิงมีน้ำตาคลอ
เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่กลับไม่ยอมปล่อยนาง
ทั้งสองไปยังตำหนักข้างที่เป็นที่พักผ่อนเมื่อคืน
หรงเยี่ยผลักประตูและผลักนางเข้าไป แต่เขากลับยืนอยู่นอกประตูโดยไม่ก้าวเข้าไป "รออยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวจะมีคนมาทาแผลที่ใบหน้าของเจ้า เจ้าเป็นเช่นนี้ อย่าให้ไทเฮาเห็นจะดีกว่า"
เขาหันหลังกลับและกำลังจะเดินออกไป ทว่าไป๋ชิงหลิงกลับเรียกเขา "ท่านอ๋องหรง"
ฝีเท้าของหรงเยี่ยหยุดชะงักและหันกลับไปหานาง "ยังมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?"
"ข้าไม่มีทางเป็นนางสนมหรือพระชายาของใครทั้งนั้น" หากจักรพรรดิเหยาออกราชโองการรับสั่ง จะต้องไม่ยอมให้เขาแต่งตั้งนางเพื่อเป็นพระชายาเอกอย่างแน่นอน
นางเคยมีลูกมาก่อน ราชวงศ์ไม่มีทางอนุญาต
สมัยโบราณไม่มีความยุติธรรมเช่นนี้ ผู้ชายสามารถมีภรรยาสามสนมสี่ได้ ทว่าผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานแต่มีลูกกลับเป็นเรื่องต้องห้าม
หรงเยี่ยหันหน้าไป และแววตาของเขาได้จับจ้องที่ใบหน้าของนาง
เมื่อเห็นว่าแววตาของนางจริงจังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา "ข้าเคยพูดไปตอนไหนหรือว่าจะรับเจ้าเป็นสนมและให้เจ้าเป็นพระชายารอง"
ไป๋ชิงหลิงยิ้มอย่างขมขื่น "ต่อให้เป็นพระชายาเอก ข้าก็ไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นมาก่อน"
"ข้ารู้" เขาขมวดคิ้วหนักขึ้นเล็กน้อย
ไป๋ชิงหลิงนิ่งอยู่นานเพราะคำพูดของเขา จากนั้นจึงค่อยๆ ถามขึ้น "ในเมื่อรู้เช่นนี้ เหตุใดถึงยังต้องฝืนบังคับ"
นางเงยหน้าขึ้นมองเขา ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
หรงเยี่ยหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับนาง เสื้อคลุมของเขาถูกลมพัดและลอยอยู่ในอากาศ
เขาจ้องมองนางอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานโดยไม่ตอบอะไร
และไป๋ชิงหลิงก็ได้นึกขึ้นมาได้ในขณะที่เขากำลังจ้องมองนาง
เขาฝืนบังคับเช่นนี้ ยังจะเพราะอะไรอีก
ก็เพื่อจิ่งหลินไงล่ะ!
"ข้ารู้แล้ว" ไป๋ชิงหลิงก้มหน้าลง "ต่อไปข้าจะอยู่ให้ห่างซื่อจื่อจิ่งมากกว่านี้"
เมื่อนางพูดจบก็ได้ยื่นมือออกไปปิดประตูของตำหนักข้าง หรงเยี่ยกลับจับมือข้างหนึ่งของนางเอาไว้ในขณะที่นางกำลังจะปิดประตู "ไม่ใช่เพื่อจิ่งหลินทั้งหมด"
ไป๋ชิงหลิงตกตะลึง และเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที
"เจ้าเป็นผู้หญิงคนแรกที่เรียกชื่อของข้า"
เอ่อ......
ทำไมนางถึงต้องเรียกชื่อของเขา ทำไมนางต้องทำตัวแตกต่างไปจากผู้หญิงคนอื่น
หากครั้งแรกนางทำตัวเหมือนเสิ่นโหรวเม่ยเช่นนั้นที่แสดงความสนใจในตัวเขา เขาก็คงจะคิดว่านางก็คงน่าเบื่อเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ
แต่หากให้นางทำตัวเหมือนเสิ่นโหรวเม่ยเช่นนั้น......
เรียกให้นางไปตายยังจะดีเสียกว่า
"วันนี้ข้าจะขอพูดให้ชัดเจนว่าข้าไม่มีทางเป็นพระชายาหรือสนมของท่าน วันข้างหน้าหากมีเหตุอันใดที่ข้าไม่อาจขัดคำสั่งของจักรพรรดิได้ เช่นนั้นข้าจะทำให้จวนท่านอ๋องหรงของท่านต้องลุกเป็นไฟ และไม่อาจสงบสุขสุขได้อีกต่อไป" นางยอมรับว่านางกลัวตาย
หากถึงขึ้นนั้นจริง เช่นนั้นไม่ว่าใครก็ตามอย่าได้คิดใช้ชีวิตอย่างสุขสบายต่อไปอีกเลย
จู่ๆ หรงเยี่ยก็หัวเราะออกมา ไป๋ชิงหลิงไม่เข้าใจจึงได้ขมวดคิ้วและถาม "มีอะไรให้น่าหัวเราะอย่างนั้นหรือ?"
เขายื่นมือออกไปและดึงนางเข้าหาทันที ไป๋ชิงหลิงอุทานเสียงต่ำและร่างของนางก็โถมเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
ฝ่ามือของเขาจับศีรษะของนางไว้ จากนั้นได้ก้มลงไปจูบริมฝีปากของนาง......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น