เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1

บทส่งท้าย 1.1 ประตู ณ นอกพิภพ

………………..

บทส่งท้าย 1.1 ประตู ณ นอกพิภพ

ณ สมรภูมินอกพิภพ

ดินแดนที่สลัวรางแห่งนี้อาบไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทั่วทั้งพื้นมีเพียงซากศพและเศษซากสมบัติที่เคยล้ำค่าทั้งหลายกระจายเกลื่อนกลาด

สายลมส่งเสียงหวีดหวิวราวภูตผีกรีดร้อง หอบเอาความหวาดผวากระพือพัดไปถ้วนทั่ว

สมรภูมิที่ไร้ขอบเขตแห่งนี้ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสมรภูมิของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในสามภพนับตั้งแต่ที่ความโกลาหลถูกแยกออก

ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่าเผ่าพันธุ์ต่างพิภพนั้นมาจากไหน ไม่รู้แม้กระทั่งว่านอกพิภพสถานที่ประเภทใด

เพราะนับแต่โบราณนานมา แทบไม่มีผู้ใดที่เข้าไปยังนอกพิภพ และสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยได้เลย

ที่เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะนอกพิภพนั้นเต็มไปด้วยอันตรายร้ายแรง หากแต่เป็นเพราะเมื่อเข้าสู่นอกพิภพ มันก็เหมือนกับการหลุดพ้นไปจากการคุ้มครองของบัญชาเต๋าสวรรค์แห่งสามภพ และนั่นคือที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายที่ถือกำเนิดขึ้นภายในภพทั้งสาม

เนื่องจากความแข็งแกร่ง ทักษะวิชา และกฎที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ครอบครองนั้นมาจากบัญชาเต๋าสวรรค์ ดังนั้นหากพวกเขาจะออกจากพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยบัญชาเต๋าสวรรค์ ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะเสื่อมถอยลงไม่ว่าจะเคยน่าเกรงขามเพียงไหนก็ตาม

และในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าเหล่าเผ่าพันธุ์จากต่างพิภพจะน่าเกรงขามเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวังต่อภัยคุกคามที่เกิดจากบัญชาเต๋าสวรรค์เมื่อเข้าสู่สามภพ

ฟิ่ว! ฟิ่ว!

ทันใดนั้น ร่างของคนสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสมรภูมิที่ว่างเปล่าและเงียบเงียบสงัด

พวกเขาประกอบด้วยชายหนึ่งคนและหญิงอีกหนึ่งคน บุรุษผู้สวมชุดดำท่าทางเย็นชา ผ่าเผย และมากไปด้วยจิตสังหาร ในขณะที่สตรีนางนั้นมีรูปร่างแบบบางซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน หน้าผากของนางโค้งมน ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายสุกใส โดดเด่นคู่เคียงรอยยิ้มแสนอ่อนหวาน

พวกเขาคือเหลิ่งซิงหุนและเต๋าอู๋ซวง!

หลังจากที่วันนั้นพวกเขาได้เห็นเฉินซีสำแดงพลังอันไร้เทียมทานเหนือภูเขาผนึกเทพ มหาเทพเต๋าซูถัวก็ออกคำสั่งให้ทั้งเหลิ่งซิงหุนและเต๋าอู๋ซวงออกไปจากภูเขาผนึกเทพทันที และยังสั่งให้พวกเขารายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นั่นต่อจ้าวนิกายอำนาจเทวะในทันที

แน่ล่ะ ซูถัวเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูเขาผนึกเทพก็เป็นแผนการของจ้าวนิกายอำนาจเทวะเช่นเดียวกัน

บัดนี้ เหลิ่งซิงหุนและเต๋าอู๋ซวงมาถึงสมรภูมินอกพิภพแล้ว พวกเขาตระหนักดีว่าสถานการณ์ของโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว จ้าวนิกายอำนาจเทวะพ่ายแพ้ต่อเฉินซี ซึ่งนั่นก็ทำให้นิกายอำนาจเทวะถึงคราวล่มสลาย ยากจะฟื้นฟูกลับคืน

“ที่นี่ เราจะหลบเลี่ยงสายตาของสหายเต๋าผู้นั้นได้จริง ๆ น่ะหรือ?” เหลิ่งซิงหุนขมวดคิ้ว

“ยัง เรายังต้องเดินทางต่อไป เราจะปลอดภัยก็เมื่อไปถึงนอกพิภพแล้วเท่านั้น” ดวงตาใสกระจ่างของเต๋าอู๋ซวงทอดไกลด้วยความสงบ

ร่างอ้อนแอ้นหยัดกายตรงพลางวางมือไพล่หลัง เส้นผมสีดำสนิทพัดไปตามสายลม แววตาที่ลึกล้ำของนางมีเพียงความเรียบเฉย เป็นภาพที่ดูสุขุมและสง่างามกว่าที่นางเคยเป็นมา

เหลิ่งซิงหุนสัมผัสได้ถึงท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ารู้จักนอกพิภพดีอย่างนั้นหรือ?”

จริง ๆ แล้ว จนถึงตอนนี้เหลิ่งซิงหุนก็ยังไม่รู้ถึงภูมิหลังที่แท้จริงของเต๋าอู๋ซวง เขารู้เพียงว่านางเป็นสตรีแซ่ ‘เต๋า’ ที่คล้ายจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับเต๋าแห่งสวรรค์เท่านั้น อย่างไรก็ดี หากถามว่าความเชื่อมโยงอะไรนั้นเขาเองก็ไม่รู้เป็นการเฉพาะ

“แน่สิ ไม่อย่างนั้นข้าจะพาเจ้ามาที่นี่ทำไม?” หญิงสาวถอนสายตากลับมาก่อนจะพูดอย่างไม่แยแส “ตอนนี้ เฉินซีได้กลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในจักรวาลนี้อย่างแท้จริงแล้ว เพราะฉะนั้นหากเจ้าไม่อยากโดนเขาเจอตัว ก็มีแต่ต้องเชื่อฟังที่ข้าพูดเท่านั้น”

น้ำเสียงที่ ‘เย่อหยิ่ง บงการ’ เช่นนี้ทำให้เหลิ่งซิงหุนนึกขุ่นเคือง กระนั้นเขาก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม “งั้นหรือ? แล้วชีวิตนี้ของข้าจะยังมีโอกาสได้ชำระแค้นอยู่หรือไม่?”

รอยยิ้มถากถางปรากฏขึ้นบนมุมปากหญิงสาวแทบจะในทันที นางถอนหายใจยาวหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง “เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ขนาดจ้าวนิกายอำนาจเทวะยังเอาชนะเขาไม่ได้เลย แน่นอนว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเทียบเสมอกับคนอย่างเฉินซีได้อีกต่อไป เว้นเสียแต่ว่า…”

ดวงตาของเหลิ้งซิงหุนหรี่ลง “เว้นแต่อะไร?”

“ไปถึงนอกพิภพแล้วเจ้าก็จะรู้เอง” เต๋าอู๋ซวงยิ้มก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปไกลลิบ

“นอกพิภพงั้นหรือ?” หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหว หรือว่าวิธีการเอาชนะเฉินซีจะซ่อนอยู่ภายในนอกพิภพกัน?

เขาทอดมองยังร่างอรชรซึ่งค่อย ๆ ไกลออกไป จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าคิดจะทำอะไร!

เหลิ่งซิงหุนไล่ตามร่างแบบบางท่ามกลางความคิดมากมายที่วกวนอยู่ในใจ

ทั้งสองมุ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงปลายสุดของสมรภูมินอกพิภพ

ปลายสุดแห่งนี้แท้จริงเป็นเพียงเส้นตรงเส้นหนึ่ง!

มันเป็นเส้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งคล้ายจะแบ่งโลกทั้งใบออกเป็นสองส่วน โดยด้านที่พวกเขายืนอยู่คือโลกสีแดงเลือด แม้ว่าที่นี่จะปรากฏร่องรอยของบัญชาเต๋าสวรรค์เพียงเบาบาง หากก็นับว่ายังอยู่ในเขตแดนของสามภพ

อีกด้านหนึ่งที่อยู่หลังเส้นแบ่งคือความมืดมิดที่ไร้ขอบเขต มันปราศจากซึ่งกลิ่นอายของบัญชาเต๋าสวรรค์โดยสิ้นเชิง

“ที่นี่เคยเป็นม่านกำแพงบัญชา มันแยกสามภพออกจากนอกพิภพโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มันถูกพังเมื่อนานมาแล้ว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เผ่าพันธุ์ต่างพิภพก็ยังคงต้องหลีกเลี่ยงการตรวจจับของบัญชาเต๋าสวรรค์หากพวกเขาจะเข้าสู่สามภพอยู่ดี” หญิงสาวพูดอย่างไม่ยี่หระนักขณะที่ก้าวไปข้างหน้า นางจรดเท้ายังอีกด้านหนึ่งของแนวเขตแดนที่ปกคลุมไปด้วยความมืด

ทันใดนั้น เหลิ่งซิงหุนรู้สึกเหมือนกับว่าเต๋าอู๋ซวงได้กลายเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง รัศมีของนางหลอมรวมกับความมืดและเปี่ยมไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว

“นี่เจ้า…” เหลิ่งซิงหุนลังเล

“ทำไมล่ะ? หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะทำร้ายเจ้า?” เต๋าอู๋ซวงสาวเท้าไปตามความมืด “ถ้าไม่อยากตายก็มากับข้าซะ แต่ถ้าไม่ ก็หันหลังกลับไปให้เฉินซีเชือดเจ้าเสียเถอะ”

สีหน้าของชายหนุ่มผันแปรไปคราวแล้วคราวเล่า เขาลังเลอยู่นานก่อนที่จะกัดฟันและก้าวผ่านเส้นแบ่งไปสู่ความมืดอันไร้ขอบเขต

หงึ่ง!

ทันใดนั้น ร่างกายของเหลิ่งซิงหุนพลันสั่นสะท้าน เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความรวดเร็วก่อนจะสังเกตว่าตนไม่สามารถสัมผัสถึงบัญชาเต๋าสวรรค์จากสามภพได้อีกต่อไป

ในเวลาเดียวกัน ร่างกายของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยพลังที่ไม่คุ้นเคย มันคล้ายกับเต๋าแห่งสวรรค์ หากก็เป็นสัมผัสที่ไม่นึกคุ้น

ฉับพลัน เหลิ่งซิงหุนรู้สึกว่าการหายใจกลายเป็นเรื่องยากเย็นเมื่อถูกห่อหุ้มด้วยพลังดังกล่าว ราวกับว่าร่างกายของเขาเผชิญกับแรงกดดันรุนแรงซึ่งทำให้การบ่มเพาะของเขาถูกพันธนาการแน่น

ขวับ!

ตอนนั้นเอง หญิงสาวหมุนตัวกลับและสะบัดข้อมือของตน พลังที่มองไม่เห็นกวาดออกไปและกำจัดบางสิ่งซึ่งห่อหุ้มร่างของอีกฝ่ายออกไปในทันที

ชายหนุ่มสูดหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับว่าเขาเพิ่งรอดพ้นจากการจมดิ่งลงสู้ก้นสมุทร เป็นสภาพที่ไม่ชวนมองอย่างยิ่ง

“นี่คือพลังบัญชาของนอกพิภพ มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพลังบัญชาของนภาผนึกเทพที่เกิดในสามภพ อ๊ะ ใช่แล้ว เฉินซีเพิ่งจะเปลี่ยนบัญชานภาผนึกเทพให้กลายเป็นบัญชาสังสารวัฏไป” เต๋าอู๋ซวงอธิบาย

เหลิ่งซิงหุนชะงักไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้น หากข้าสามารถควบคุมบัญชานอกพิภพได้ ข้าก็ยังมีทางที่จะเอาชนะเฉินซีได้อย่างนั้นสินะ?”

หญิงสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ “นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก”

สำหรับเหตุผลนั้น นางไม่อธิบายถึง

ผู้ฟังรู้สึกคล้ายถูกน้ำเย็นสาดหน้าอย่างแรง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหดหู่

ความมืดนั้นไร้ขอบเขต พวกเขาไม่รู้เลยว่าตนเดินทางอยู่นานแค่ไหนก่อนที่แสงสว่างจะปรากฏขึ้นในระยะไกล มันเหมือนกับกระบี่ที่ฟาดฟันความมืด ส่องไขให้สายตาของพวกเขาสว่างพราว

หลังจากนั้น สายตาของเหลิ่งซิงหุนก็สะท้อนภาพทวีปที่มีรูปร่างแปลกประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันลอยอยู่ในอวกาศ และถูกปกคลุมไปด้วยชั้นแสงหลากสีตระการตา

เมื่อมองจากที่ไกล มันเหมือนกับว่าทวีปเหล่านั้นเต็มไปด้วยโคมไฟส่องแสงแวววาว พวกมันก่อตัวเป็นโคมหนาตาซึ่งเรียงรายอยู่บนท้องฟ้าและทอดยาวไปจนสุดทาง

บทส่งท้าย 1.1 ประตู ณ นอกพิภพ .................... 1

บทส่งท้าย 1.1 ประตู ณ นอกพิภพ .................... 2

บทส่งท้าย 1.1 ประตู ณ นอกพิภพ .................... 3

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]