บทที่ 1001 ภูเขาหมอกเซียน
บทที่ 1001 ภูเขาหมอกเซียน
สวรรค์ทั้งปวงนั้นไม่มีผู้ปกครองที่แท้จริง และมีเพียงปราณสรรค์สร้างเท่านั้นที่ปกคลุมจักรวาล
ขอบเขตเซียนทองคำ ยังเป็นที่รู้จักกันในนามขอบเขตเซียนทองคำสวรรค์ทั้งปวง และนี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการสรรเสริญต่อขอบเขตนี้ มันได้อธิบายไว้ว่า หลังจากที่ผู้เป็นเซียนบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ ปราณเซียนในกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยจะอัดแน่นด้วยปราณสรรค์สร้างที่แท้จริงไว้ อานุภาพของมันสามารถปกคลุมจักรวาล หรือสร้างโลกใบใหม่ได้ มันมีความสามารถที่ไร้ขอบเขต อีกทั้งยังเป็นเหมือนกับท้องฟ้าที่สูงส่งและไร้ขอบเขต
ในภพเซียน การมีอยู่ของขอบเขตเซียนทองคำถือเป็นเสาหลักและเป็นจ้าวผู้ปกครอง!
จูอวิ๋นโส่วเป็นเพียงเซียนสวรรค์ และยังด้อยกว่าเซียนลึกลับเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่า คู่ต่อสู้ของตนจะเป็นเซียนทองคำ ถ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก เขาคงหลบหนีเอาชีวิตรอดไปแล้ว!
น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสให้สำนึกเสียใจย้อนหลัง
หลังจากร้องโหยหวนเสียงดัง อำนาจแสงก็ห่อหุ้มลงมา แสงที่แพรวพราวและเจิดจ้าปกคลุมร่างของจูอวิ๋นโส่ว ทำให้คนอื่นมองเห็นไม่ชัดว่ามันเกิดอันใดขึ้น
“อ๊าก!!! เป็นไปได้อย่างไรกัน? กฎแห่งเต๋าสวรรค์ในภพมนุษย์นี้ จะยอมปล่อยให้เซียนทองคำคงอยู่ได้อย่างไรกัน!? มันเป็นไปได้อย่างไร!!” เสียงร้องโหยหวนที่น่าสังเวชและน่าสยดสยองดังขึ้น มันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งและทำให้ทุกคนตกตะลึง
เหล่าชายหญิงที่อยู่ด้านข้างของจูอวิ๋นโส่ว เดิมทีตั้งใจที่จะช่วยเหลือ แต่พวกเขาถูกหญิงเฒ่าเฟยจิวห้ามไว้ เพราะนั่นคือกฎแห่งแสงซึ่งแฝงไปด้วยปราณสรรค์สร้าง เพียงแค่สัมผัสมันเล็กน้อย ก็ทำให้ร่างกายและดวงวิญญาณถูกทำลายได้แล้ว!
ในเวลาไม่นาน เสียงโหยหวนของจูอวิ๋นโส่วก็หยุดลงทันที
แสงกระจายออกไป ทำให้ทัศนวิสัยของทุกคนฟื้นกลับคืนสู่ความชัดเจน แต่พวกเขาไม่พบร่องรอยของอวิ๋นโส่วอีกต่อไป ราวกับว่าอีกฝ่ายระเหยไปในอากาศ ไม่หลงเหลือแม้แต่กลิ่นอายสักนิด ถูกลบล้างไปจนสิ้น
เหตุการณ์นี้น่าตกตะลึงยิ่งกว่าฉากนองเลือด เพราะนั่นคือเซียนสวรรค์ แต่จู่ ๆ กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียอย่างนั้น?!
ไม่มีใครจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้มันทั้งน่าตกใจและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
เซียนทองคำ!
สายตาของฟู่อวิ๋นกับคนอื่นพลันจ้องมองไปยังชิงซิ่วอี้ด้วยความเคารพและความชื่นชมจากใจจริง หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในภพมนุษย์ นางอาจได้รับการยกย่องให้เป็นเทพ และได้รับสักการบูชาในวิหารก็เป็นได้
ในขณะที่ใบหน้าของหญิงเฒ่าเฟยจิวกับคนอื่น ๆ นั้นหมองคล้ำและเต็มไปด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอ่อนแอลงอย่างสิ้นเชิง ทำให้สูญเสียกลิ่นอายที่ดุร้ายและน่าเกรงขามที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ไป
ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเช่นเซียนทองคำไม่ได้รับอนุญาตให้ปรากฏในภพมนุษย์เป็นอันขาด และนี่เป็นกฎเหล็กที่ผู้คนของทั้งสามภพต่างก็รับทราบ แต่มันกลับเกิดขึ้นในขณะนี้ ตัวตนดังกล่าวได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขา แล้วพวกเขาจะกล้ามีความหวังอยู่ในใจได้อย่างไร?
“ดูเหมือนพวกเจ้าทุกคนกำลังรอใครบางคน?” ชิงซิ่วอี้ก้มลงมองพื้น มีนาฬิกาทรายตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น และเม็ดทรายหลากสีที่เหมือนภาพฝันไว้ภายในนั้น ก็แทบจะไหลออกมาจนหมด
นี่เป็นประโยคที่ทำให้งุนงงมาก จึงทำให้ฟู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ รู้สึกงุนงง
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่สังเกตเห็นบางสิ่งอย่างคลุมเครือ
“เม็ดทรายในนาฬิกาทรายบนพื้น สามารถคงอยู่ได้นานราวหนึ่งชั่วก้านธูป และคนเหล่านี้ที่มาจากภพเซียนก็มาด้วยท่าทีคุกคาม แต่พวกมันกลับจงใจจัดแนวรบหลอก ๆ จากนั้นใช้เวลาหนึ่งชั่วก้านธูปเพื่อบังคับให้ฟู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ ยอมจำนน นี่มันไม่เกินจำเป็นไปหน่อยหรือ?”
“คำอธิบายเพียงอย่างเดียวก็คือ พวกมันได้รับคำสั่งให้ไปที่โถงรัศมีวิญญาณ แต่พวกมันไม่ได้รับคำสั่งให้มาจัดการกับฟู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ ดังนั้นพวกมันจึงใช้เวลาราวหนึ่งชั่วก้านธูป เพื่อรอการกลับมาของผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง”
แน่นอน สีหน้าของหญิงเฒ่าเฟยจิวและคนอื่น ๆ ซีดลงทันทีที่ชิงซิ่วอี้กล่าวจบ และเสี้ยวความหวังสุดท้ายในใจของพวกเขาก็พังทลายลง พร้อมกับเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
แม้แต่เรื่องนี้ยังถูกชิงซิ่วอี้มองออก ดังนั้นจะมีผลลัพธ์ที่ดีรอพวกเขาอยู่ได้อย่างไร?
“จงคว้าโอกาสนี้แล้วบอกถึงจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ของพวกเจ้าซะ ทว่าพวกเจ้าก็สามารถเลือกที่จะเงียบได้ แต่ข้าขอรับประกันว่าพวกเจ้าทุกคนจะต้องตายก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึงแน่”
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ชิงซิ่วอี้ไม่ได้ฆ่าพวกเขาทันที และถามถึงวัตถุประสงค์ของพวกเขาแทน
“ใช่แล้ว เหตุใดคนเหล่านี้ถึงลงมาจากภพเซียน?”
นี่คือสิ่งที่ฟู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจในเหตุผล
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คำพูดของชิงซิ่วอี้ก็ทำให้หญิงเฒ่าเฟยจิวและคนอื่น ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า ตราบใดที่รอให้กำลังเสริมมาถึง เมื่อถึงตอนนั้น สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าจะต้องพลิกผันได้อย่างแน่นอน ทำให้พวกเขารอดพ้นจากความตายได้
“อันที่จริง พวกเรามาจากนิกายเดียวกัน แต่เรามาจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของภพเซียน และเราได้รับคำสั่งจากราชันเซียนให้เรียกคืนสมบัติเทวะของนิกาย กระบี่เต๋าวิบัติ…” หญิงเฒ่าเฟยจิวหายใจเข้าลึก ๆ และระงับความหวาดกลัวในใจของนาง ก่อนจะกล่าวช้า ๆ ออกมา
ตามที่นางกล่าว เหมยลั่วเซียวและอวี๋จงเสียได้จากนิกายมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังไม่กลับมา หลังจากผ่านไปนาน ต่อมา พวกเขาสังเกตเห็นว่าป้ายสถิตวิญญาณของเหมยลั่วเซียวและอวี๋จงเสียแตกเป็นเสี่ยง ๆ ซึ่งคาดว่าพวกเขาคงจะตายอยู่ในภพมนุษย์
การค้นพบนี้ทำให้นิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียนตกตะลึง และราชันเซียนก็โกรธมาก ดังนั้นจึงได้ส่งพวกเขามายังภพมนุษย์เพื่อสืบสวนเรื่องราว และเรียกคืนกระบี่เต๋าวิบัติกลับมา
หลังจากหญิงเฒ่าเฟยจิวกล่าวจบ ทุกคนต่างตกตะลึงและไม่กล้าเชื่อหูตนเอง มีเพียงฟู่อวิ๋นเท่านั้นที่เผยรอยยิ้มเย็นชา “นิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียน? นี่เจ้ากำลังพยายามหลอกใคร!?”
“เจ้าโกหก!” ฟู่อวิ๋นกล่าวห้วน ๆ ทันที
แต่เมื่อกำลังจะกล่าวถึงเหตุผล เขากลับหักห้ามใจตัวเองอย่างแข็งขันแทน เพราะเรื่องนี้รู้กันเฉพาะในหมู่ผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น เรื่องนี้ได้ถูกปิดตายไปนานแล้ว และหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย มันอาจทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในนิกาย ทำให้ทุกคนพบกับภยันตรายที่อาจมาถึง!
หญิงเฒ่าเฟยจิวขมวดคิ้วเมื่อถูกฟู่อวิ๋นปรามาส จากนั้นนางก็กล่าวว่า “นี่คือความจริง”
“นางโกหกจริง ๆ” ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็กล่าวอย่างเย็นชา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...