ลมกระโชกอย่างรุนแรงและพายุทรายโหมกระหน่ำ
ห้วงทะเลทรายมรณะทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา และมันเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างอันไร้ขอบเขต
สถานที่นี้มีซากปรักหักพังลี้ลับถูกทอดทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยพันธนาการอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเข้ามาแต่ไม่อาจกลับไปได้ และมีรอยแยกที่คอยกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความตาย!
อย่างไรก็ตาม วันนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลมกระโชก
ช่างน่าประหลาดใจ ทั้งที่ลมพายุรุนแรงพอที่จะฉีกทุกสิ่ง ทว่ากลับไม่อาจสัมผัสร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใด ไม่ว่าลมจะรุนแรงเพียงใด ราวกับว่าสายลมรับรู้ว่าร่างของชายหนุ่มเป็นเหมือนสหาย มันจึงหลีกเลี่ยงและเปิดทางให้เขาผ่านไป
เหตุการณ์ที่เห็นนั้นช่างแปลกตามาก
เมื่อต้องเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติยังต้องระมัดระวัง แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับดูผ่อนคลายเหมือนกำลังเดินอยู่ในทุ่งดอกไม้ ถ้าผู้อื่นพบเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาจะต้องอ้าปากค้างอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่ตอนนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในดินแดนแห่งความตาย!
ชายหนุ่มผู้นี้คือเฉินซี ผู้ที่บรรลุเต๋าแห่งสายลมขั้นสมบูรณ์ เมื่อต้องเผชิญกับพายุที่ซัดโถมเข้ามา กลับเห็นเพียงสายลมอ่อนโชย และเขาก็ไม่ได้กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง
นี่คือพลังของเต๋าแห่งการรู้แจ้ง
อย่างไรก็ตามในสายลมยังคงมีเม็ดทราย ฝุ่นผงเหล่านั้นถูกพายุพัดพาขึ้นไปเป็นดั่งฝน พวกมันมีแรงทะลุทะลวงที่แหลมคมและน่าสะพรึงกลัว หากเป็นเวลาปกติเฉินซีก็คงไม่กล้าปะทะกับพวกมันโดยตรง ซ้ำยังไม่กล้าแม้แต่จะทะยานขึ้นไปในอากาศ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพึ่งพาความแรงของลมเพื่อพุ่งออกไป
“ตอนนี้ปราณแท้ของข้าแห้งเหือดไปหมดสิ้น แต่โชคดีที่กายาแข็งแกร่ง จนถึงตอนนี้ก็ได้วิ่งมาเกือบพันลี้แล้ว ถ้าเจ้าพวกนั้นยังไล่ตามมาก็คงจะตามทันตั้งนานแล้ว”
เฉินซีไตร่ตรองอย่างรวดเร็วขณะที่พุ่งทะยานไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่กลัวกระแสลมพายุโดยรอบ แต่ห้วงทะเลทรายมรณะก็มีอันตรายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซากปรักหักพังหรือรอยแยก เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นรอยแยกที่ยาวกว่าห้าร้อยจั้ง มีรูปร่างเหมือนใบมีดโค้งยาวและแคบ ด้านในของรอยแยกมีแต่ความมืดมิด จนทำให้ใจต้องสั่นสะท้าน ตราบใดที่มีสิ่งใดก็ตามหลงเข้าไป ภายในระยะทางพันห้าร้อยจั้งจะถูกกลืนกินหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไร้โอกาสได้ต่อสู้ มันเงียบสงัดและน่าสะพรึงกลัว
“ไม่ได้การแล้ว หากยังดันทุรังแบบนี้อีก จะต้องหมดเรี่ยวแรงแน่นอน ข้าควรหาที่ปลอดภัยเติมเต็มปราณแท้และฟื้นฟูความแข็งแกร่งเสียก่อน… หืม? เจ้านั่นคือ?”
สายตาของเฉินซีกวาดไปเห็นเงาสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นท่ามกลางเม็ดทรายที่ลอยลิ่วโดยบังเอิญ เงานั้นสูงราวร้อยจั้ง และตั้งตระหง่านไร้การเคลื่อนราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ แท้จริงแล้วมันเป็นศิลาจารึกสีดำสนิท แม้จะถูกทรายกัดกร่อน พื้นผิวของศิลาจารึกก็ยังเรียบสมบูรณ์ อีกทั้งยังแผ่ประกายแสงอันเย็นยะเยียบออกมา
“สุสานกระบี่!” เฉินซีสังเกตเห็นอักขระสีแดงเลือดสองตัวบนศิลาจารึก การเขียนนั้นดูสะเปะสะปะไร้ระเบียบแต่นุ่มนวล และปราณที่แหลมคมก็จู่โจมมายังใบหน้าของเขา
เฉินซีสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ราวกับว่ากระดูกถูกแทงด้วยเข็ม กระบี่แหลมคมที่ตวัดไปมาอย่างบ้าคลั่งปรากฏขึ้นภายในจิตสำนึก ทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อเห็นดวงดาราเริงระบำอยู่ตรงหน้า มันก็ทำให้เขาแทบจะกระอักเลือดจึงรีบหลบตาไม่กล้ามองอีก
“ลายมือนี้มีปราณแท้อันน่าสะพรึงกลัวของเต๋าแห่งกระบี่ แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยว แต่กลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่ครอบครองพลังทำลายล้างทั้งพิภพ ข้าสงสัยว่าปรมาจารย์คนใดที่ทิ้งศิลาจารึกนี้ไว้ อีกทั้งมันยังน่าสะพรึงกลัวกว่าพลังกระบี่ที่อยู่ในตำราของที่พำนักแห่งเซียนกระบี่ถึงร้อยเท่า!” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจ และไม่สามารถจินตนาการได้ว่าผู้ที่มีทักษะกระบี่ระดับนี้จะมีระดับการบ่มเพาะไปถึงระดับใด
ตุบ!
ชายหนุ่มนั่งลงที่เบื้องหน้าศิลาจารึก ในขณะที่สังเกตเห็นว่าตราบใดที่พายุและทรายเข้าใกล้ศิลาจารึกภายในระยะราวสิบจั้ง พวกมันจะถูกซัดออกไปด้วยพลังไร้ลักษณ์ ดังนั้นคงจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพายุทรายซัดกระหน่ำ
“ข้าสงสัยนักว่าเหตุใดสุสานกระบี่ถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่…? ลืมมันเสียเถอะ ข้าจะฟื้นฟูปราณแท้ก่อน หากเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอีกจะได้มีพลังพอต้านทาน” เฉินซีสูดลมหายใจแรงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนั่งสมาธิ จากนั้นก็ดึงขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมออกมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก และทำให้วารีวิญญาณพวยพุ่งออกมาจากขวด
ฟิ้ว!
เฉินซีหมุนเวียนเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ ทะเลสาบอันยิ่งใหญ่ภายในตำหนักอินทนิลที่แห้งเหือดไปเนิ่นนาน เริ่มดูดซับวารีวิญญาณที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างอย่างบ้าคลั่ง
ขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมได้บรรจุวารีวิญญาณถึงเจ็ดแสนห้าหมื่นจิน วารีวิญญาณเหล่านี้เป็นของที่ได้รับจากการขายวัตถุดิบวิญญาณที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ในเมืองทะเลหมอก ภายในทะเลทรายมรณะที่ปราณวิญญาณได้เหือดแห้งจนหมดสิ้นแห่งนี้ เขาไม่ต้องกังวลกับการขาดแคลนปราณวิญญาณอีกต่อไป
หนึ่งวันผ่านไป…
ชายหนุ่มตื่นจากการทำสมาธิ จากนั้นอ้าปากพ่นลมหายใจออกมา กระแสลมที่ทรงพลังควบแน่นพุ่งออกไป และใช้เวลาอยู่สักพักก่อนที่จะสลายไป เห็นได้ชัดว่าภายในค่ำคืนแห่งการบ่มเพาะอันขมขื่นนี้ ความแข็งแกร่งของเขารุดหน้าขึ้น
“เพื่อแย่งชิงขุมทรัพย์แห่งที่พำนักของเซียนกระบี่จากข้า พวกซูติงอี้คงไม่ปล่อยให้ข้าออกไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน เนื่องจากพวกมันไม่ได้เข้ามาในห้วงทะเลทรายมรณะ เช่นนั้นก็คงกำลังรออยู่ด้านนอก” เฉินซีลุกยืนขึ้นเหยียดแขนขาคลายความเมื่อย และกล่าวด้วยความเคร่งขรึม “หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพียงเท่านั้น เว้นแต่จะมีพลังพอที่จะจัดการพวกมันทั้งหกคน”
“อืม? นี่คืออะไร?” ในที่สุด เฉินซีก็สังเกตเห็นหินสีดำสนิทจำนวนมากที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น พวกมันมีขนาดเท่ากับเล็บมือและเกลี้ยงเกลา มีประกายแวววาวเหมือนกับหยกสีดำ
เขาก้มลงตั้งใจจะหยิบขึ้นมา แต่กลับต้องชะงักงัน เพราะเมื่อนิ้วแตะหินสีดำนั้น รัศมีเฉียบคมพลันพุ่งเข้าปะทะใบหน้า มันทำให้ร่างของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“สิ่งนี่คือ…” ดวงตาของเฉินซีเบิกกว้าง ความประหลาดใจอันน่ายินดีค่อย ๆ ปรากฏ น้ำเสียงสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ “แท้จริงแล้วมันคือศิลาวิญญาณดารา!”
ครั้งหนึ่ง เขาเคยได้ยินจี้อวี๋กล่าวว่า ในสมัยโบราณมีสมบัติชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ศิลาวิญญาณดารา’ มันคือแก่นแท้ดวงดาวที่เกิดจากการแตกสลายของดาราบนท้องฟ้า และบรรจุพลังดาราจักรของดวงดาวที่กว้างใหญ่ไพศาลไว้ อีกทั้งการใช้ศิลาวิญญาณดาราเพื่อขัดเกลาร่างกายย่อมมีผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...
ลงวันละหลายตอนใต้ใหม่ครับ...
ไม่ลงต่อแล้วหรือครับ ผมยังรออยู่นะครับ...