บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 102

บทที่ 102 การไล่ล่า
บทที่ 102 การไล่ล่า

ใบหน้าของฉินฮั่นกลับกลายเป็นมืดมนอย่างฉับพลัน

คำพูดของเฉินซีนั้นเชือดเฉือน ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้เขาไม่อาจดิ้นหลุด

หากเลือกที่จะเฉยเมย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจวนแม่ทัพจะถูกครหาว่ารังแกแต่ผู้อ่อนแอ หวั่นเกรงผู้แข็งแกร่ง และมักกระทำการกลับไปกลับมา หากเป็นเช่นนั้นศักดิ์ศรีและเจตจำนงของจวนแม่ทัพคงถูกเหยียบย่ำและคงไม่แคล้วที่จะถูกตั้งคำถาม

หากต้องไกล่เกลี่ยด้วยกำลัง การเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกของตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร คือการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นหากตระกูลซูขุ่นเคืองเพียงเพราะเหตุนี้ มันคงเป็นจุดจบของการเป็นแม่ทัพของฉิ่นฮั่น

“ช่างน่าขันเสียจริง ๆ เรามาที่นี่เพื่อช่วยแม่ทัพฉินจับกุมคนร้าย เราจะละเมิดกฎของจวนแม่ทัพได้อย่างไร? วาจาคมคายอีกทั้งยังหว่านความขัดแย้งลงไป ดูเหมือนว่าเสี่ยวเจียวจะกล่าวถูก เจ้าเด็กน้อยนี้ไม่มีคุณค่าอะไรเลย” ณ บนอากาศ ชายผู้สูงศักดิ์และสง่างามที่เป็นผู้นำกล่าวออกมาด้วยน้ำสียงทุ้มลึก

ท่าทางของฉินฮั่นผ่อนคลายลง จากนั้นเขาก็ประสานกำปั้น ก่อนกล่าวว่า “คำพูดของผู้อาวุโสซูติงอี้นั้นสมเหตุสมผล ข้ารบกวนฝากเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสจัดการ”

“ตกลง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเราเถิด เมื่อจับคนร้ายคนนี้ได้แล้ว ข้าจะไปเข้าพบที่จวนแม่ทัพของเจ้า” ซูติงอี้พยักหน้าเบา ๆ ด้วยท่าทางสงบ กระนั้นยังคงแผ่กลิ่นอายหยิ่งทะนง

“เอาล่ะ ข้าจะพาผู้ใต้บังคับบัญชากลับไปที่จวนแม่ทัพเพื่อจัดงานเลี้ยง และรอผู้อาวุโสกลับมาอย่างมีชัย” ฉินฮั่นรู้วิธีปฏิบัติตนในสถานการณ์อ่อนไหวเช่นนี้ จากนั้นเขาจึงประสานกำปั้นจากระยะไกล ก่อนที่จะพาหลัวชงกับองค์รักษ์ทั้งหมดล่าถอยกลับไป

เฉินซีหาได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เขามีท่าทางที่เย็นชายิ่งนักในขณะที่จ้องมองชายที่อยู่เคียงข้างซูติงอี้

“เจ้ามองสิ่งใด!? ในวันนี้ย่อมคือวันตายของเจ้า!” ชายผู้นั้นดูเหมือนไม่อาจทนต่อสายตาของเฉินซีได้อีกต่อไป เขาจึงเปิดปากก่นด่าด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

“ข้าไม่เคยคาดหวังว่าข้าจะช่วยคนไร้หัวใจและเนรคุณเยี่ยงเจ้า หากรู้ก่อนหน้านี้ ข้าคงฆ่าเจ้าไปนานแล้ว” เฉินซีกล่าวเสียงเย็น

ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตี้หงถู่แห่งนิกายสุริยันคราม เมื่อเข้าไปในเมืองทะเลหมอก คนผู้นี้ได้ทอดทิ้งเซวี่ยจิงแห่งนิกายนิรันดร์ และโม่หานแห่งนิกายพิภพกระจ่าง

แต่เฉินซีไม่เคยคิดเลยว่าตี้หงถู่จะนำกลุ่มผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำแห่งตระกูลซูมาจัดการเขาในเวลานี้ ชายหนุ่มจึงเกลียดชังคนผู้นี้เข้ากระดูกดำ!

“เจ้าช่วยข้าไว้? ฮ่า ๆ หากไม่ใช่เพราะเจ้ากลัวการล้างแค้นจากนิกายสุริยันครามที่อยู่เบื้องหลังข้า เหตุใดถึงต้องเมตตาขนาดนี้ เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสมเพชจริง ๆ” ตี้หงถู่ระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น และไม่มีร่องรอยของความละอายบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย

“หากข้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็ฆ่าเจ้าได้เช่นกัน” เฉินซีกล่าวอย่างเด็ดขาด จากนั้นก็ไม่สนใจคนที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายเยี่ยงนี้อีก เขาหันไปมองซูติงอี้กับเหล่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำคนอื่น ๆ

เหนือขอบเขตตำหนักอินทนิลคือขอบเขตเคหาทองคำ

การพัฒนาตำหนักอินทนิลนั้นเทียบเท่ากับการสร้างรากฐานเต๋า ในขณะที่การพัฒนาของขอบเขตเคหาทองคำนั้นจะเตรียมการสำหรับการบรรลุเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำ

เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตเคหาทองคำ หนึ่งสามารถดูดซับปราณหยินหยางที่มีอยู่ภายในพิภพเพื่อขัดเกลาปราณแท้ที่มีอยู่ในร่างกาย อีกทั้งทำให้หยินหยางที่อยู่ภายในผสานเข้าด้วยกัน เพื่อส่งเสริมดวงวิญญาณและระดับของแก่นแท้ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพหรือปราณแท้ มันก็มีระดับที่สูงกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับขอบเขตตำหนักอินทนิล!

หากตัวเขาอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยม เฉินซีก็หาได้เกรงกลัวที่จะต้องต่อสู้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ แต่ในตอนนี้ญาณจิตและปราณแท้ของเขาแทบหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าปราดเปรื่อง เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก และฉลาดที่จะใช้โอกาสต่าง ๆ ในการหลบหนี และถือได้ว่าเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัว แต่คิดว่าจะสะบัดหน้าหนีไปง่าย ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเราทั้งหกคนอย่างนั้นหรือ?” ซูติงอี้ยิ้มอย่างเสแสร้งในขณะที่กล่าว เห็นได้ชัดว่าเขาเคยได้ยินเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเฉินซีเรื่องที่พำนักของเซียนกระบี่จากซูเจียวมาแล้ว

“ซูเจียวยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?” ชายหนุ่มหลีกเลี่ยงการตอบกลับและถามคำถามแทน

“แน่นอน มิฉะนั้นข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ายึดครองสมบัติทั้งหมดจากที่พำนักของเซียนกระบี่?” ซูติงอี้เลียริมฝีปากในขณะที่มองไปที่เฉินซีด้วยสายตาดั่งเพลิงลุกโชน ราวกับว่ากำลังมองดูแพะอ้วนท้วน เขาไม่ได้ปิดบังความโลภเลยแม้แต่น้อย!

“อย่าพูดจาไร้สาระ ฆ่ามันและยึดสมบัติมาซะ” ชายอ้วนหัวโล้นในชุดคลุมสีแดงที่อยู่ด้านข้างสั่นศีรษะ ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ

“แน่นอน เสี่ยวเจียวบอกว่าเจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์มาก บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังวางแผนว่าจะหนีอย่างไรดี เราควรรีบจัดการเพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น” สตรีหน้าตาสะสวยและมีรูปร่างเย้ายวนสวมชุดคลุมยาวกล่าวอย่างเย็นชา นางเป็นผู้บ่มเพาะหญิงคนเดียวในหกคน นางเปล่งรัศมีเป็นประกาย ทว่าเสียงกลับเย็นชาแข็งกระด้างและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร

ซูติงอี้แสยะยิ้มและกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น ก็เห็นประกายแสงสีดำขดตัว และมันก็พุ่งไปที่กลุ่มของเขาอย่างด้วยความเร็ว

‘ไอ้บัดซบ เจ้าเด็กนี่มันเล่นตุกติกจริง ๆ!’

ซูติงอี้ลอบด่าอยู่ในใจ แต่การตอบสนองหาได้ช้าไม่ เขาเหวี่ยงแขนเสื้อออกไปตั้งใจที่จะทำลายแสงสีดำนั้น

“ระวัง!”

“ไข่มุกโลหิตอสูรประกายทมิฬ!”

“เจ้าเด็กนั่นมีสมบัติเช่นนี้อยู่ในครอบครองได้อย่างไร”

“ถอยเร็วเข้า!”

เสียงระเบิดดังลั่นที่เบื้องหลังทำให้หัวใจของซูติงอี้กระตุก ไข่มุกโลหิตอสูรประกายทมิฬได้รับการขัดเกลาจากการรวบรวมเลือดของอสูรธาตุหยินสามสิบหกชนิดจากสวรรค์และพิภพ อีกทั้งอานุภาพของมันเทียบได้กับการโจมตีแบบเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ไยเขาถึงไม่รู้เรื่องที่น่ากลัวเช่นนี้เล่า?

ซูติงอี้ไม่คิดถึงสิ่งใดอีกและรีบล่าถอยกลับอย่างรวดเร็ว

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนก็ถอยกลับเช่นกัน

“มันเกิดขึ้นได้… บัดซบ!” ปฏิกิริยาของตี้หงถู่ค่อนข้างช้า และในทันทีที่ตอบสนอง ไข่มุกอสูรโลหิตประกายทมิฬก็พุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรง ทำให้เขาหวาดกลัวจนลืมที่จะหลบหลีก

ปัง!

ราวกับสายฟ้าของทวยเทพจากสวรรค์ทั้งเก้าฟาดลงมา ภายในระยะพื้นที่หกลี้เต็มไปด้วยแสงสีเลือดที่มืดมนและชั่วร้ายกำลังพลุ่งพล่าน ไม่ว่าจะเป็นห้องหอ พื้นดิน พืช ต้นไม้… ทั้งหมดล้วนถูกกัดกร่อน และถูกทำลายในพริบตา

“อ๊ากกก!!” ตี้หงถู่กรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช ก่อนที่ร่างกายจะค่อย ๆ สึกกร่อนจนถูกกลืนกินลงไป และมันเป็นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปในอากาศโดยไม่ทิ้งศพหรือกระดูกไว้เบื้องหลังแม้แต่น้อย!

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แสงไฟสีเลือดก็ดับลง และภายในพื้นที่หกลี้ ทุกสิ่งถูกกัดกร่อนจนว่างเปล่า เหลือเพียงหลุมขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในใจถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]