บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 112

บทที่ 112 ทำลายสิ้นซาก
บทที่ 112 ทำลายสิ้นซาก

พลังของซูเหลิ่งที่บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้วน่ากลัวอย่างแท้จริง กระบี่บินทั้งห้าที่สร้างจากวิญญาณอาฆาตที่ตายลงด้วยกิเลสมาบรรจบกัน ปราณกระบี่หนาแน่นเสียจนแทบหลั่งไหล ส่งกลิ่นสาบของปีศาจร้ายและความตายออกมาอย่างรุนแรง ราวกับฝูงปีศาจที่กำลังแตกฮือไปพร้อมกับเปล่งเสียงร้องโหยหวน เพียงแค่นี้ก็พอที่จะทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลธรรมดารู้สึกหวาดกลัว

ยิ่งกว่านั้นซูเหลิ่งที่กำลังเหินไปมามองเห็นเงาวูบวาบขณะอยู่ที่หนึ่ง และต่อมามันก็ไปปรากฏขึ้นอีกที่ห่างไปสิบจั้งเศษ ราวกับภูตผีที่ชำนาญในการหลีกหลบและซ่อนเร้น

ทว่าตอนนี้เฉินซีสนใจเจ้าหนุ่มน้อยหลิงไป๋ต่างหาก

ขณะนี้เขากลายร่างเป็นกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่มีความยาวราวห้าสิบชุ่นแล้ว ลักษณะไม่เหมือนกับกระบี่ที่เฉินซีเคยใช้ กระบี่ไผ่ทองคำนิลตอนนี้มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ จากนั้นก็แตกเปรี้ยงขณะที่สายฟ้าฟาดลงมา ความเย็นยะเยือกแห่งการทำลายล้างของสายฟ้ากับคลื่นพลังเจิดจ้ามหาศาลของกระบี่แดนนิพพานหลอมรวมเข้าด้วยกัน

มันพุ่งกวาดผ่านอุปสรรคกีดขวางทั้งหลาย ทุกครั้งที่กระบี่ฟาดออกไปจะเกิดสายฟ้าเป็นเส้นโค้ง อีกทั้งพลังหยางที่มีอำนาจทำลายล้างรุนแรงปะทะกับกระบี่ผสานปัญจอสุรีของซูเหลิ่ง กระทั่งฝ่ายหลังสั่นเทิ้มพร้อมกับส่งเสียงโหยหวนดังมาเป็นระยะ

ในสวรรค์และโลก สายฟ้ามีบทบาทในการลงทัณฑ์และชะล้างความชั่วร้ายกับสิ่งอัปมงคล!

กระบี่ไผ่ทองคำนิลที่มียาวราวห้าสิบชุ่นนั้น ทุก ๆ หนึ่งร้อยปีจะยาวขึ้นมาหนึ่งชุ่น เมื่อประสบกับสายฟ้าที่เกรี้ยวโกรธและต้นที่ยังอยู่รอด ภายในจะอัดแน่นไปด้วยพลังสายฟ้าที่ยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขต ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่กับเฉินซี เขายังใช้มันไปไม่ถึงเศษเสี้ยวของพลังที่มีเลยด้วยซ้ำ

ขณะที่กระบี่แดนนิพพานไม่ใช่ทั้งเป็นหรือตาย ทว่าเป็นนิรันดร์ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่ความสงบ ทุกครั้งที่จู่โจมด้วยกระบี่ทุกอย่างจะสงบนิ่งและปรากฏเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อีกทั้งยังไม่อาจป้องกันได้

เมื่อนำสองสิ่งนี้มารวมกัน แม้ว่าพลังบ่มเพาะของหลิงไป๋จะไม่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเท่าพลังของซูเหลิ่ง แต่ในฐานะที่เป็นสายใยทางจิตวิญญาณกระบี่ที่สืบทอดเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพาน ทั้งยังครอบครองกระบี่ไผ่ทองคำนิลดุจกายาของตนเอง ทำให้เขาระเบิดพลังการต่อสู้ออกมาได้อย่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเฉินซี ที่ครอบครองทักษะการบ่มเพาะพลังมากมายและมีความสามารถเปี่ยมล้น!

เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง สถานการณ์การต่อสู้ระหว่างหลิงไป๋กับซูเหลิ่งก็เข้าสู่ภาวะจนมุม ทำให้เฉินซีกับพวกซูติงอี้ถึงกับจิตใจไหววูบ

“เจ้านั่นมันเป็นสมบัติวิเศษหรือเป็นคนกันแน่ น่ากลัวอะไรเช่นนี้ กระบี่ผสานปัญจอสุรีของท่านลุงซูเหลิ่งเป็นสมบัติล้ำค่าจากความพินาศร้ายกาจมากมาย เหตุใดตอนนี้ยังทำลายคู่ต่อสู้ไม่ได้”

“มันเป็นจิตวิญญาณกระบี่อย่างนั้นหรือ ดูเหมือนไม่น่าจะใช่ จิตวิญญาณกระบี่จะควบคุมตัวเองได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะเป็นสมบัติวิเศษที่มีสติปัญญา แต่… ดูเหมือนจะมีแต่วัตถุโบราณในตำนานเท่านั้นที่สามารถครอบครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จริงไหม”

“มันต้องเป็นสมบัติวิเศษที่มีความพิเศษอย่างแน่นอน! เมื่อใดที่ท่านลุงซูเหลิ่งปราบมันได้สำเร็จ ข้าเชื่อว่าพลังความแกร่งกล้าของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นอีก!”

“ถูกต้อง การบ่มเพาะพลังเต๋าแห่งการต่อสู้ของท่านลุงซูเหลิ่งบรรลุขอบเขตเต๋าแห่งรู้แจ้งแล้ว ทั้งยังถ่องแท้ในมรรคายมโลกสามารถควบคุมดวงวิญญาณและสิ่งอัปมงคลได้ ก็เหมือนกับการมาเยือนของเทพแห่งภูตผีนั่นแหละ เป็นพญายมกลับชาติมาเกิด ช่างน่าเกรงขามนัก ถ้าถามความเห็น …ข้าคิดว่าอีกไม่นานหรอกเขาต้องเป็นฝ่ายชนะ!”

พวกซูติงอี้สื่อสารผ่านทางกระแสปราณพลางก็กวาดสายตาสังเกตไปทั่วบริเวณอย่างระมัดระวัง ขณะจับตามองฉากการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกถ่ายทอดความรู้สึกข้างใน ตอนนี้พวกเขาหยุดค้นหาเฉินซีชั่วครู่

นี่คือมรรคายมโลก ไยคนผู้นี้จึงเข้าถึงวิถีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเคยไปเยือนยมโลกและได้พบกับพญายมมาแล้ว นึกแล้วเฉินซีก็ตกใจไม่น้อย ภายในมิติที่สาม ถ้าจะพูดถึงสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงก็เห็นจะเป็นมิติเซียน และถ้าจะพูดถึงสถานที่ที่น่ากลัวและสยดสยองที่สุด เห็นจะเป็นยมโลกนั่นเอง

การเวียนว่ายตายเกิดในยมโลกมีด้วยกันหกภูมิ แดนปรภพลำน้ำโลหิต หอส่องบาป พิจารณาโทษทรมาน เผชิญหน้ากับพญายม …และสรรพสัตว์เวียนว่ายไม่รู้จบ

เรื่องเหล่านี้เฉินซีเคยแต่ได้ยินมาทั้งสิ้น มุมมองและประสบการณ์ของเขายังไม่อาจเข้าไปสัมผัสกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้

“พวกโง่! มัวยืนทำอะไรกันอยู่ มาช่วยข้าจับมันเร็วเข้า!” เสียงของซูเหลิ่งระเบิดออกมาด้วยความโกรธ เพราะความอวดเก่งและถือดี แรกเริ่มไม่คิดว่าจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพวกซูติงอี้

แต่จวบจนตอนนี้ เขาพบว่าพลังของตนเองถูกคนหรืออะไรสักอย่างต้านทานได้อย่างแข็งขัน ทว่าสิ่งนั้นกลับไม่ใช่คน ดูเหมือนกระบี่แต่ก็ไม่ใช่กระบี่ แม้ว่าจะไม่ถึงกับพ่ายแพ้ ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างน่าประหลาด ครั้นเหลือบไปก็เห็นว่าซูติงอี้กับพวกยืนดูเฉย ๆ นั่นทำให้โทสะเดือดพล่านพลุ่งจนสุดจะยับยั้งจึงระเบิดเสียงคำรามดังลั่น

“แต่ว่า…”

“ท่านลุงซูเหลิ่ง ตอนนี้เฉินซียังซ่อนตัวไม่ปรากฏออกมา…”

“ใช่ ๆ จริงด้วย”

ซูติงอี้และคนของเขานึกไม่ถึงว่าจะถูกซูเหลิ่งตวาดใส่เพื่อขอความช่วยเหลือเช่นนั้น เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจึงพากันตกใจและรีบไขความกระจ่างด้วยท่าทีลนลาน

ชั่วขณะนั้น…

โอกาสนี้แหละ! ประกายเยือกเย็นพุ่งวาบออกจากดวงตาของเฉินซี ขณะที่โคจรปราณจ้าววิญญาณให้แผ่ไปทั่วร่างกาย พร้อมกับฝ่ามือสีเหลืองหม่นผสมสีเขียวขนาดใหญ่ราวสามสิบจั้งพุ่งขึ้นไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว

ฝ่ามือใหญ่ราวภูเขาปัดกวาดทั่วผืนฟ้าแผ่นดิน หมู่ดาวมากมายหมุนโคจรไปรอบ ๆ ฝ่ามือ บังเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้างในบริเวณที่อ้างว้างและหม่นมัวขณะเปล่งคลื่นพลังกระจายออกมา

พลังอิทธิฤทธิ์ — ฝ่ามือมหาดารา!

ระหว่างที่ปิดทวารการบ่มเพาะพลังเพื่อผ่านบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ขั้นที่หนึ่ง ไม่เพียงแต่เฉินซีจะได้ขัดเกลาอักขระจ้าววิญญาณพฤกษาที่สองกับก้าวขึ้นสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองเท่านั้น แต่พลังอิทธิฤทธิ์เช่นฝ่ามือมหาดารายังเกิดการบ่มเพาะในขอบเขตพฤกษาที่สองอีกด้วย

เวลานี้เท่ากับว่าปราณจ้าววิญญาณขั้นปฐพีที่ห้าและปราณจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สองของเขาได้เข้าไปอยู่ภายในฝ่ามือมหาดาราแล้ว ทำให้พลังอิทธิฤทธ์เพิ่มขึ้นอีกเกือบสองเท่า ทั้งที่พลังที่มีอยู่หากปะทะกันซึ่งหน้าก็มากพอที่จะต้านทานสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ได้อยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อกระหน่ำจู่โจมอย่างเต็มกำลัง มันจะสามารถบดขยี้สมบัติวิเศษระดับลึกล้ำจนไม่เหลือซากได้อย่างแน่นอน!

อย่างไรเสียฝ่ามือมหาดาราถือเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่สืบทอดมาจากที่พำนักเซียนกระบี่ และมาจากยุคโบราณจนทั่วโลกต้องตะลึงเช่นนี้แทบจะมลายหายสูญไปแล้ว อีกทั้งในเขตแดนของราชวงศ์ซ่งก็ไม่เคยมีปรากฏให้เห็นมาก่อน

เปรี้ยง!

ทันทีที่ฝ่ามือมหาดาราปรากฏออกมา ฝ่ามือพลันกวาดไปจับตัวพวกซูติงอี้มากำไว้อย่างแน่นหนา โดยไม่เปิดโอกาสให้ต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใด ก่อนจะบีบบี้อย่างโหดเหี้ยม จากนั้นมีเสียงกระดูกลั่นกร๊อบและแตกโผละ ตามมาด้วยการเปล่งเสียงร้องโหยหวนลั่นไปทั้งโถงใหญ่ทันที!

ร่างกายของผู้ฝึกพลังแปรสภาพนั้นเปราะบางแค่ไหนเล่า พวกซูติงอี้สวมทั้งชุดป้องกันอันตรายและผ้าคลุมสำหรับต่อสู้ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ แต่ความแข็งแกร่งของฝ่ามือมหาดารา ทำให้พวกมันไม่ต่างอะไรกับแผ่นกระดาษ

ติ๋ง! ติ๋ง!

เมื่อฝ่ามือมหาดาราคลายฝ่ามือออก ทั้งหยดเลือดเหนียวหนืดและชิ้นเนื้อหล่นลงมากองเป็นเศษเหลวเละอยู่กับพื้นดิน กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งกระจายทั่วห้องโถงกว้างใหญ่

ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตเคหาทองคำทั้งสี่ถูกฝ่ามือมหาดาราเพียงข้างเดียวบดขยี้เละ!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]