บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 114

บทที่ 114 สะเทือนเมืองทะเลสาบมังกร
บทที่ 114 สะเทือนเมืองทะเลสาบมังกร

ดูเหมือนว่าหลิงไป๋จะสัมผัสถึงความหดหู่ในใจของเฉินซีได้ เขาหงายมือจากนั้นไข่มุกก็ปรากฏ มันโปร่งแสงและเป็นประกายระยิบระยับ มีระลอกคลื่นชวนฝันปกคลุมไปทั่วพื้นผิว

“โอ้ ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ได้รับการขัดเกลา โดยรวบรวมผลึกสุญชีพจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในจักรวาล มันหายากและล้ำค่ามาก อีกทั้งยังสามารถรับรู้และทำลายกำแพงของดินแดนเร้นลับได้ ซูเหลิ่งใช้ของสิ่งนี้เพื่อเข้าสู่สุสานกระบี่แดนนิพพาน” หลิงไป๋ยิ้มขณะอธิบาย ก่อนที่จะโยนให้แก่เฉินซี

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หากสิ่งนี้เป็นอย่างที่หลิงไป๋กล่าวจริง ๆ นับว่ามันเป็นสิ่งของชั้นดีในการเบิกทางสู่โชคชะตาความเป็นเซียน!

สิ่งที่เรียกว่าการเบิกทางสู่โชคชะตาความเป็นเซียนก็คือ ในระหว่างเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ บรรดานิกายจะส่งลูกศิษย์ออกไปหาประสบการณ์และท่องไปทั่วโลก เพื่อค้นหาขุมทรัพย์ในสวรรค์และโลกหรือภายในดินแดนเร้นลับกับที่พำนักโบราณ หากบังเอิญได้รับสมบัติโบราณ โอสถ สมบัติวิเศษ หรือเคล็ดวิชาการบ่มเพาะระหว่างการออกไปหาประสบการณ์ อาจเป็นเพราะพวกเขาโชคดีมากที่ได้พบกับโชคชะตาความเป็นเซียน

นิกายใหญ่ทุกแห่งจะมีวิธีการฝึกฝนเช่นนี้ในทุก ๆ ปี โดยให้เหล่าศิษย์มุ่งหน้าไปยังดินแดนเร้นลับ เพื่อหาประสบการณ์ผ่านการสำรวจและแสวงหาสมบัติของสวรรค์และโลก

การฝึกฝนเช่นนี้ นอกจากขัดเกลาจิตใจและความแข็งแกร่งของลูกศิษย์แล้ว ยังทำให้มีโอกาสที่จะได้รับสืบทอดสมบัติมาจากดินแดนเร้นลับและที่พำนักสูงขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและยังนำความรุ่งโรจน์มาให้แก่นิกายที่พวกเขาสังกัดอยู่เช่นกัน

ดังนั้นการเบิกทางสู่ความเป็นเซียนจึงเป็นที่นิยมในโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างมาก และไม่มีทีท่าที่ลดความนิยมไปอีกนาน

แน่นอนว่าโชคและอันตรายเป็นดั่งเหรียญสองด้าน ดินแดนเร้นลับและที่พำนักส่วนใหญ่เต็มไปด้วยข้อจำกัด กลไกและกับดักต่าง ๆ ซากปรักหักพังโบราณบางแห่งอาจมีเศษซากของสมบัติอันน่าสะพรึงกลัวหลงเหลืออยู่ และผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่มากพอ ก็อาจจะไม่สามารถจากไปได้ตลอดกาล

ทว่า ไม่ว่าจะอันตรายหรือไม่ มันก็ยังมีผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามา เผื่อว่าตนเองจะได้พบกับโชควาสนาโดยบังเอิญ และพบกับเส้นทางสู่ความเป็นเซียนของตนเอง แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ไม่สามารถหาประตูดินแดนเร้นลับและที่พำนักได้ แล้วนับประสาอะไรกับภยันตราย…

ในขณะที่การครอบครองไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารานั้นเทียบเท่ากับการครอบครองกุญแจ ซึ่งเป็นทางลัดที่นำไปสู่ประตูไปสู่ดินแดนเร้นลับและที่พำนักเหล่านั้น เช่นนั้น หากได้ครอบครองสมบัติเช่นนี้จะมีใครใดบ้างที่ไม่รู้สึกยินดี?

เฉินซีวางไข่มุกลงในแหวนมิติอย่างระมัดระวัง ในตอนนี้ ความท้อแท้ในใจได้หายไปหมดสิ้นแล้ว เขาเก็บข้าวของในทันที ก่อนที่จะระบุทิศทางและทะยานออกจากห้วงทะเลทรายมรณะไป

การจัดอันดับมังกรซ่อนของเมืองทะเลสาบมังกรกำลังจะเริ่มขึ้น หากเขาไม่รีบออกเดินทางอาจจะสายเกินไป

ฟิ้ว!

ภายในสายลมกระโชกและพายุทราย ร่างหนึ่งพุ่งทะยานไกลออกไปราวกับลม และเพียงชั่วพริบตาก็หายวับไปในขอบฟ้า

ตระกูลซูของเมืองทะเลสาบมังกรเป็นหนึ่งในหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมือง จวนตระกูลครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลที่ห้อมล้อมด้วยอุทยานนับไม่ถ้วน ศาลาอันงดงามต่างเรียงรายกันเป็นแถว และสนามหญ้าที่มีจำนวนมาก ทุกมุมของจวนกลิ่นอายอันหรูหราและยิ่งใหญ่

โถงชุมนุมหลักของตระกูลซูเป็นห้องโถงกว้างที่ปูด้วยหินสีไพลิน และมีกระถางธูปรูปสัตว์มงคลที่เต็มไปด้วยหมอกควันกำจาย เสาหยกสี่เสามีขนาดใหญ่จนต้องใช้คนสองสามคนถึงจะโอบรอบเสาได้ มันตั้งตระหง่านอยู่ภายในห้องโถงที่สูงถึงร้อยจั้ง พวกมันแข็งแกร่งและมั่นคง อีกทั้งบนพื้นผิวยังจารึกลวดลายต่าง ๆ เช่น มังกร วิหคเพลิง เต่าศักดิ์สิทธิ์ นกกระเรียนวิญญาณ ต้นสนเขียว น้ำตก และแผนภาพมงคลอื่น ๆ หมอกและควันถูกพัดพาล้อมรอบแผนภาพเหล่านี้ ทำให้มันดูเสมือนจริง

ด้านหลังบัลลังก์หยกที่ตั้งอยู่กลางห้อง เป็นฉากกั้นที่ประดับไปด้วยอัญมณีและโลหะล้ำค่า ภูเขาแม่น้ำที่เป็นคลื่นสูงต่ำไล่เรียงกันไป ดวงอาทิตย์กับจันทราส่องแสงหากัน มันกว้างใหญ่และงดงาม เผยให้เห็นกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่

ในขณะนี้ ชายวัยกลางคนสวมชุดดำและมงกุฎนั่งอยู่บนบัลลังก์หยก เขามีตาโตและคิ้วดก โหนกแก้มกว้าง และดวงตาคู่หนึ่งที่เจิดจรัสน่าดึงดูดใจ ซึ่งส่งให้เขาดูมีภูมิฐานและสง่างามยิ่ง

เก้าอี้หยกสิบสองตัววางเรียงกันตลอดสองข้างทางเดิน ในขณะนี้ นอกจากเก้าอี้ตัวสุดท้ายทางซ้ายที่ว่างเปล่า เก้าอี้อีกสิบเอ็ดตัวต่างมีคนนั่งอยู่แล้ว

มีทั้งชายและหญิง คนหนุ่มสาว คนเฒ่าคนแก่ หรือแม้แต่เด็กชายในชุดแดงที่ดูอ่อนเยาว์กว่าคนเหล่านี้ แม้ว่ารูปลักษณ์และเสื้อผ้าจะแตกต่างกัน แต่กลิ่นอายกลับน่าสะพรึงกลัวไม่ต่างกัน กระแสหยินหยางหลั่งไหลออกมาช้า ๆ ในขณะที่ดวงวิญญาณกับปราณแท้ถูกสร้างขึ้น และปรากฏการณ์ประหลาดมากมายเกิดขึ้นเหนือศีรษะพวกเขา

เห็นได้ชัดว่าระดับการบ่มเพาะที่ต่ำที่สุดในหมู่พวกเขาอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!

ห่างออกไปทางด้านหลัง มีชายหญิงที่สวมชุดสีเหลืองเก้าคนยืนอยู่ พวกเขามีลมปราณและกิริยาท่าทางที่มั่นคง การบ่มเพาะอยู่ราว ๆ ขอบเขตเคหาทองคำ และเป็นกองกำลังหลักแห่งตระกูลซู

ที่ด้านหลังมีสมาชิกชุดสีม่วงจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยคน แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่ส่องประกายหมุนวนอยู่ภายใน ท่าทางของพวกเขากล้าหาญและไม่ธรรมดา

ในหมู่พวกเขามีเพียงคนผู้เดียวเท่านั้นที่โดดเด่นเป็นพิเศษ นั่นคือเด็กสาวในชุดสีดำ นางมีคิ้วสีดำโก่งโค้ง ความงามที่ราวกับภาพวาด นางมีนิสัยที่อดกลั้นซึ่งเผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งที่ไม่อาจปกปิดได้ และนางก็คือซูเจียว บุตรสาวของผู้นำตระกูลซู ซึ่งก็คือซูเจิ่นเทียน ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในดวงอาทิตย์คู่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร!

“วันนี้ข้าเรียกทุกคนมารวมกัน เพราะมีเรื่องจะพูดคุยอยู่สองเรื่อง” ซูเจิ่นเทียนเคาะที่วางแขนบนบัลลังก์เบา ๆ ขณะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา และทันทีที่กล่าวก็เกิดแรงกดดันที่เหมือนกับภูเขาปกคลุมไปทั่วห้องโถง

“ประการแรก ตระกูลหลี่ของเมืองหมอกสนถูกทำลายล้างเมื่อไม่กี่วันก่อน ตระกูลหลี่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตระกูลซูของเรา และเป็นแขนขาที่มีประสิทธิภาพของตระกูลซูมาโดยตลอด ตอนนี้พวกเขาได้ถูกกำจัดไปแล้ว ตระกูลซูควรจะเป็นผู้นำและจับคนร้ายเพื่อล้างแค้นให้กับตระกูลหลี่ ข้าได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้มาว่า …ผู้ที่ลงมือล้างบางตระกูลหลี่ คือเศษสวะจากตระกูลเฉิน มันเป็นหลานคนโตของสุนัขเฒ่าเฉินเทียนลี่ เจ้าเฉินซี!”

เมื่อเอ่ยคำว่า ‘เฉินซี’ ซูเจิ่นเทียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม และดูเหมือนเขาจะเกลียดชังคนผู้นี้เข้ากระดูกดำ

“ผู้ใดคือเฉินซี?”

“ใช่ คนผู้นี้ช่างสามหาวเสียนี่กระไร!? ทำลายล้างทั้งตระกูล เขาโอหังเกินไปแล้ว!”

“หืม? ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินชื่อเขามาจากที่ไหนสักแห่ง?”

เหล่าสมาชิกตระกูลในชุดสีม่วงพูดคุยกันอย่างออกรส แต่ผู้อาวุโสทั้งสิบเอ็ดคน ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งเก้าคน และซูเจียวกลับเงียบสนิท เห็นได้ชัดว่าทราบเหตุการณ์ที่เกิดในเมืองหมอกสนมาสักพักแล้ว

“เงียบซะ!” คนที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งแรกทางด้านขวาของห้องโถง เป็นเด็กชายชุดแดงที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มหันกลับมาขวับพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นขณะที่ตะโกนลั่น ทำให้เหล่าสมาชิกชุดสีม่วงต่างตกใจจนร่างสั่นสะท้าน ไม่นานพวกเขาก็ปิดปากเงียบสนิทราวกับจักจั่นที่จำศีลในฤดูหนาว

เด็กคนนั้นมีนามว่า ‘ซูหลิงเฟิง’ และเป็นผู้อาวุโสของตระกูลซู รูปลักษณ์ภายนอกของเขายังคงอ่อนเยาว์ เนื่องจากการบ่มเพาะเคล็ดวิชาประหลาด แต่อายุที่แท้จริงนั้นมากกว่าหนึ่งพันปีแล้ว!

“มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะเคยได้ยินนามของเขาหรือไม่ สิ่งสำคัญคือ เฉินซีได้แย่งชิงสมบัติวิเศษภายในที่พำนักของเซียนกระบี่แห่งดินแดนนรกร้างใต้พิภพที่ควรเป็นของตระกูลซูไป ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงทำลายล้างตระกูลหลี่ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวโดยอาศัยประโยชน์จากสมบัติวิเศษเหล่านั้นต่างหาก” ซูเจิ่นเทียนกล่าวช้า ๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]