บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 125

บทที่ 125 สำรวจค่ายกล
บทที่ 125 สำรวจค่ายกล

พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ มรดกกับทรัพยากรมหาศาลที่ถูกซ่อนเร้นไว้ในเมืองทะเลสาบมังกร ย่อมเป็นของแปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลใหญ่ ในบรรดากองกำลังอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ หากมีใครพูดถึงกองกำลังที่ทรงอำนาจที่สุดก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร

ผู้ฝึกฝนกระบี่เชี่ยวชาญการต่อสู้ฆ่าฟันมาก และในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ว่ากันว่ามีเซียนกระบี่ที่สามารถสยบเซียนปฐพีทั้งหลายให้อยู่ใต้อาณัติได้ พวกเขาเป็นเหมือนร่างจำแลงของพระเจ้าที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ และได้อุทิศตนเพื่อบ่มเพาะวิชากระบี่ ทั้งปรารถนาจะเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ จากนั้นก็กลายเป็นเซียนสวรรค์และมีชีวิตเช่นเดียวกับสวรรค์และโลก

อย่างไรก็ตาม ตำนานก็เป็นเพียงตำนานเท่านั้น ในช่วงพันปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นเซียนกระบี่เหล่านี้ด้วยตาตัวเองเลย ข่าวลือนี้ได้พิสูจน์ว่านิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั้นทรงพลังเพียงใด

บนเส้นทางภูเขาที่สูงชันและขรุขระ หลิงไป๋ตัวน้อยที่ยืนอยู่บนไหล่ของเฉินซี บ่นพึมพำแผ่วเบาอยู่ที่ข้างหูของชายหนุ่ม “นิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง มันก่อตัวขึ้นจากภูเขาทั้ง 72 ลูก และภูเขาทุกลูกต่างได้รับการคุ้มครองจากมหาค่ายกลกระบี่ พวกมันทั้งหมดต่างก็ผสานเข้าด้วยกัน และสืบทอดพลังเพื่อให้กำเนิดกลุ่มมหาค่ายกลกระบี่คุ้มนิกายที่มีข้อจำกัดนับหมื่น และพวกมันก็ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง”

หลังจากที่เขาทราบว่าหลิงไป๋สามารถหลีกเลี่ยงค่ายกลกระบี่คุ้มนิกายของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้ เฉินซีก็ไม่ลังเลที่จะออกจากเชิงเขาในทันที จากนั้นลอยขึ้นและทะยานมุ่งไปสู่ยอดเขา

“หยุดก่อน!” หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลิงไป๋ก็ชี้ไปที่หน้าผาที่อยู่เบื้องหน้าในทันที “ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีเส้นทางให้หยั่งเท้า แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นค่ายกลกระบี่หยินหยางสะบั้นดวงประทีปที่ใช้ลวงตาผู้คน ค่ายกลนี้ถูกสร้างจากกระบี่บิน 108 เล่มและไข่มุกกลืนวิญญาณ ภายในค่ายกลมีขอบเขตภาพลวงตาและพงไพรแห่งกระบี่มายมายถูกกักเก็บอยู่ภายใน และความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ใครสักคนต้องตกอยู่ในฝันร้าย ที่ทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าไร้การปกป้อง มันช่างทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง”

เฉินซีแหงนหน้ามองหน้าผาที่อยู่เบื้องหน้าราวกับมันถูกเชื่อมต่อกับสวรรค์ มันราบเรียบเหมือนคันฉ่องที่ถูกฟันจนขาดสะบั้นด้วยกระบี่เดียว พื้นผิวของหน้าผาถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและเถาวัลย์เลื้อย ซึ่งดูไม่มีอะไรผิดปกติ

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบด้วยญาณจิต เขาก็สัมผัสได้ถึงปราณกระบี่จู่โจมเข้าที่ใบหน้า และปราณของมันก็เหมือนกับสัตว์ร้ายที่เฝ้าเก็บสะสมพลังเพื่อรอซุ่มโจมตีอยู่ภายในหน้าผา อีกทั้งก็เป็นสัญญาณเตือนว่าอย่าได้ย่างกรายเข้ามา มิฉะนั้น โลหิตจะต้องสาดกระเซ็นจนต้องจบชีวิต!

“จงฟังคำแนะนำของข้าและก้าวเดินทีละก้าว จงอย่าได้เหาะเหินเพราะมันจะทำให้เกิดปฏิกิริยาของข้อจำกัด และในเวลานั้น ค่ายกลกระบี่พิทักษ์นิกายทั้งหมดจะเปิดใช้งานพร้อมกัน เมื่อถึงตอนนั้น แม้แต่เซียนก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้”

“ตกลง ข้าจะฟังเจ้า” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และสงบจิตใจให้มั่นคงก่อนที่จะก้าวเดินไปที่หน้าผา

ฟิ้ว!

หน้าผาที่ดูเหมือนแข็งและหนา กลับเป็นเหมือนชั้นอากาศที่ม้วนตัว เฉินซีก้าวเข้าไปพร้อมกับยกเท้าขึ้น ทันทีที่ก้าวเข้าไปราวกับว่าเข้าสู่โลกที่งดงามราวกับภาพวาดที่มีท้องฟ้าสีฟ้าใสพร้อมเมฆสีขาวนวล ต้นไม้เขียวชอุ่มและแม่น้ำที่ไหลเอื่อย

ในแม่น้ำที่ใสสะอาดและคดเคี้ยวมีสะพานโค้งหินปูนตั้งอยู่ บนสะพานก็มีเด็กหนุ่มขี่ควายกำลังเป่าขลุ่ยเป็นจังหวะเบา ๆ อย่างร่าเริง

ใต้สะพานโค้งมีชายชราสวมชุดคลุมฟางและหมวกไผ่กำลังพายเรือและจับปลาอยู่

ในขณะที่อีกฝั่งของแม่น้ำ กลับเป็นสรวงสวรรค์ที่มีป่าไผ่กำลังพลิ้วไหวไปตามสายลม มีประตูหินที่แลดูธรรมดาถูกซ่อนอยู่บนกำแพงหินที่สลักคำว่า ‘เคหาเซียนไร้พันธะ’

บนพื้นหญ้าที่ด้านหน้าประตูมีเหล่าสัตว์นานาชนิด เช่น เสือขาวกำลังตะปบผีเสื้อ ลิงวิญญาณที่ถือลูกท้อ กวางคาบเห็ดหลินจืออยู่ในปาก และนกกระเรียนมงกุฎแดงกำลังกระพือปีกส่งเสียงร้อง ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ราวกับเป็นสถานที่ที่เซียนอาศัยอยู่

“สหายเต๋า โปรดข้ามสะพานเถิด สะพานนี้จะนำไปสู่เคหาเซียนซึ่งเป็นสถานที่แห่งการเผชิญหน้ากับโชคชะตา” เด็กบนหลังควายกล่าวเสียงใส

“สหายเต๋า โปรดขึ้นเรือ เรือจะข้ามแม่น้ำไปสู่เคหาเซียนซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง” ชายชราในแม่น้ำหัวเราะเสียงดังขณะที่กล่าวเชื้อเชิญ

ภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้ ดูเหมือนกับดินแดนของเซียนที่อยู่ในภาพวาด ที่มีเด็กน้อยขี่ควายและชายชราสวมชุดฟาง

ดินแดนแห่งพรที่ผู้เป็นเซียนอาศัยอยู่นั้นอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ และสามารถมองเห็นได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว

เมื่อได้ยินคำเชิญจากทั้งสองคนในขณะนี้ ดูเหมือนว่าการเผชิญกับโอกาสกับโชคของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม หากเป็นคนธรรมดา จิตใจของคนผู้นั้นคงสั่นไหวไปนานแล้ว และวิญญาณของคนผู้นั้นคงจะลุ่มหลงก่อนที่จะค่อย ๆ เคลื่อนไปยังเทวสถานที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ

แต่เฉินซีได้รับการเตือนจากหลิงไป๋มาก่อน ดังนั้นจึงไม่หลงกลอุบายใด เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางสงบนิ่ง

“ชายชราคนนั้นคือหยิน ส่วนเด็กหนุ่มคนนี้คือหยาง กระแสน้ำในลำธารคือค่ายกลกระบี่หยิน หินปูนบนสะพานคือค่ายกลกระบี่หยาง ในขณะที่เคหาเซียนที่ไม่ธรรมดาซึ่งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ และฉากที่งดงามรอบด้านคือภาพลวงตาจากไข่มุกกลืนวิญญาณ”

เสี่ยวไป๋กอดอกและกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “เดิมทีข้าคิดว่ามันจะคล้ายกับค่ายกลกระบี่หยินหยางสะบั้นดวงประทีปของนิกายกระบี่ร้อยบุปผาเมื่อหมื่นปีที่แล้ว และสามารถเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาได้ แต่กลับคาดไม่ถึงว่ามันเป็นเพียงค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์ ชายชรากับเด็กหนุ่มคนนั้นคือแก่นของค่ายกล และด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายค่ายกลนี้ด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว แต่ด้วยวิธีนี้จะทำให้เกิดข้อจำกัดในค่ายกล และเจ้าจะถูกพบเห็นอย่างแน่นอน ดังนั้นต้องเดินลุยข้ามแม่น้ำและผ่านสะพานหินถึงจะออกจากค่ายกลนี้ได้”

โดยไม่ลังเล เฉินซีก้าวเข้าไปในแม่น้ำทันที จากนั้นก้าวทีละก้าวผ่านใต้สะพานและมุ่งไปข้างหน้า แม่น้ำที่เบื้องหน้านี้ดูเหมือนจะไร้ก้นบึ้ง แต่แท้จริงแล้วมันก่อตัวขึ้นจากดินแดนมายาเท่านั้น เมื่อเหยียบย่างเข้าไปมันจึงเหมือนกับเดินบนพื้นราบ

“สหายเต๋า เคหาที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำมีเคล็ดวิชาล้ำลึกและสมบัติล้ำค่าถูกรวบรวมโดยเหล่าเซียน จะไม่น่าเสียดายเกินไปหรือหากจะปล่อยโอกาาสเช่นนี้หลุดมือไป?”

“สหายเต๋า เคหานี้ได้เก็บเคล็ดวิชาชั้นยอดของโลกและเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณเซียน การอยู่ภายในนั้นจะทำให้เจ้ากลายเป็นเซียนได้ภายในหนึ่งร้อยปี!”

เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีกำลังเดินลุยผ่านแม่น้ำและสะพานหิน เด็กหนุ่มกับชายชรามีก็มีท่าทางเศร้าโศก น้ำเสียงของพวกเขาก็เผยให้เห็นมนต์เสน่ห์อันไร้ขอบเขต หากจิตใจของคนผู้นั้นไม่มั่นคงมากพอคงจะถูกล่อลวง

แต่เฉินซีกลับแสร้งเป็นหูหนวก ทันทีที่ผ่านสะพานหินไป ทิวทัศน์ทั้งหมดก็เหมือนฟองสบู่ที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ และหายไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบสนอง สุสานที่กว้างขวางและรกร้างก็สะท้อนอยู่ในดวงตา

สถานที่นี้คล้ายกับสนามรบโบราณที่มีชั้นหมอกควันสีเทาลอยอยู่ในอากาศ สายลมพัดโหยหวน พื้นดินเต็มไปด้วยคราบเลือด และมีกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนถูกปักลงบนพื้น เมื่อมองเพียงแวบเดียว กระบี่มีความหนาแน่นราวกับวัชพืช และมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน

วู้วววว~!

คลื่นเสียงคร่ำครวญราวกับภูตผีและเสียงหอนราวกับหมาป่าลอยอยู่ในอากาศ ราวกับต้องการสื่อถึงความรู้สึกที่ไม่พอใจ ไม่ยินยอม ไม่เต็มใจ น่าเวทนา และเคียดแค้น… มันเหมือนกับวิญญาณพยาบาทที่กำลังร่ำไห้และทำให้วิญญาณของผู้คนต้องสั่นคลอน

“อย่าขยับ ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลกระบี่ผนึกโลหิตพิฆาตมาร และเป็นค่ายกลสังหารขนาดใหญ่ที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง หากก้าวพลาดเพียงครั้งเดียว กระบี่นับไม่ถ้วนที่อยู่บนพื้นจะกลายเป็นอสูรกระหายเลือดกลืนกินเจ้า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]