บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 124

บทที่ 124 บุกขึ้นเขา
บทที่ 124 บุกขึ้นเขา

เหยียนชิงหนี่เป็นสาวงามอย่างไร้ที่ติ ผมยาวดำขลับราวกับสีน้ำหมึก เส้นคิ้วโก่งรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงดั่งผลเชอร์รี ผิวขาวนวลเนียนจึงเป็นที่หมายตาของผู้คน

แต่สำหรับเฉินซีความรู้สึกส่วนตัวที่มีกับนางไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อตอนที่มู่เหยากับมู่เหวินเฟยถูกเซี่ยจ้านกดดันอย่างหนัก เขาเห็นว่าสตรีผู้นี้จงใจหลีกเลี่ยงอย่างเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มคิดว่าสตรีผู้น่าจะคำนวณมาแล้วเป็นอย่างดี และเก่งในการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและเสีย นางหาใช่คนที่เรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอก

“พี่ใหญ่เหยียนชิงหนี่” เสียงมู่เหยาเอ่ยมาจากอีกด้าน ขณะที่มู่เหวินเฟยเม้มปากแน่น เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กหนุ่มรับรู้ถึงความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของเหยียนชิงหนี่แล้ว

“ไปกับข้า… เหวินเฟย เจ้าไม่อยากเข้าเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้วหรือ” เหยียนชิงหนี่จะไม่อ้อมค้อมกับเด็กชายในเรื่องนี้ นางจึงเอ่ยปากพลางยิ้มน้อย ๆ

ในขณะที่เฉินซียังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับพี่น้องมู่เหยากับมู่เหวินเฟย เพราะตอนนี้ตนอยู่ลำพังคนเดียวมาตลอด และเวลานี้ยังมีเรื่องขัดแย้งกับตระกูลซูอีกด้วย การที่มีพี่น้องคู่นี้ติดสอยห้อยตามจะนำพาความเดือดร้อนมาสู่พวกเขาเป็นแน่

“ไม่ไป ข้าจะให้พี่ใหญ่เฉินซีเป็นอาจารย์” มู่เหวินเฟยเงยหน้าเชิดคางเล็กน้อยขณะตอบด้วยเสียงอันดัง

ให้ข้าเป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ?

เฉินซีถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าน่าขันไม่น้อย เขาสัมผัสถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้แก่ตน แต่ไม่อาจตกปากรับคำได้ ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าเขามีความสามารถมากน้อยเพียงใด ดังนั้นถ้ารับมู่เหวินเฟยเป็นศิษย์ก็จะยิ่งทำให้หนุ่มน้อยตรงหน้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ประจักษ์ถึงแววตาเด็ดเดี่ยวและมีความหวังของสหายตัวน้อย เฉินซีไม่รู้ว่าจะอ้างเหตุผลใดมาตอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นพี่สาว ที่มีแววตาชวนฝันประหนึ่งดาราสุกสกาวบนฟ้ายามราตรี อันอาจทำให้ผู้พบเห็นเคลิบเคลิ้มใหลหลงและเปี่ยมไปด้วยความหวัง ซึ่งสร้างความกดดันให้แก่เฉินซีอย่างมาก

“ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจจะไปกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ถ้าเช่นนั้นก็มาอยู่กับพวกข้า” ตู้ชิงซีพูด ทว่าสายตาชำเลืองมองมู่เหยา จากนั้นแสร้งทำเป็นไม่มองเฉินซี ก่อนที่นางจะเอ่ยเชื้อเชิญพลางพูดกับตนเองอย่างพอใจ

เห็นได้ชัดว่าแม่นางน้อยผู้นี้ก็แอบมีใจให้เฉินซี หึ… ดึงพวกเขาสองมาอยู่กับข้าและจะได้ป้องกันไม่ให้นางเข้าใกล้เฉินซีอีก…

เมื่อนึกถึงตอนนี้หัวใจของหญิงสาวพลันไหววูบ ใบหน้าหมดจดของนางกลายเป็นสีแดงระเรื่อ ‘ข้าเป็นอะไรไป ไยถึงคอยระแวงสตรีทุกคนที่อยู่ใกล้เฉินซีเช่นนี้!’

ส่วนเจ้าตัวเองก็ไม่ล่วงรู้ว่าในใจของตู้ชิงซีกำลังวุ่นวายอยู่กับความคิดนับไม่ถ้วน ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มให้ขณะที่หันไปพยักหน้ากับมู่เหวินเฟย “คำแนะนำของนางก็ไม่เลว ตระกูลตู้เป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร ตราบใดที่ขยันขันแข็งฝึกฝนอย่างหนักแล้ว สักวันเจ้าอาจเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานได้แน่นอน”

“แต่…” ขณะนั้นมู่เหวินเฟยยังคงลังเล จึงถูกมู่เหยาใช้มือเคาะเบา ๆ ไปที่ศีรษะ “เชื่อฟังพี่ใหญ่เฉินซี ไม่ผิดหรอกน่า”

“ปัดโธ่ ก็ได้ ๆ” มู่เหวินเฟยหน้าเศร้า

ชายหนุ่มถึงกับอมยิ้ม จากนั้นจึงหยิบสมบัติวิเศษชุดเกราะที่มีประกายแสงเจิดจ้าขนาดเท่าฝ่ามือออกมา บนพื้นผิวปรากฏภาพอักขระยันต์เลืองรางของสมบัติวิเศษแผ่ออกมา ถึงแม้จะมองเห็นแต่ไกลเป็นใครก็ต้องรู้ว่ามีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา เฉินซีมอบให้มู่เหวินเฟยพร้อมกับบอกด้วยว่า “นี่คือเกราะเมฆาพยับ เอาไว้ใช้ป้องกันตัว”

สมบัติวิเศษป้องกันระดับมนุษย์ขั้นกลาง

เมื่อถูกมู่เหวินเฟยปฏิเสธก็ทำให้เหยียนชิงหนี่ออกจะผิดหวังเล็กน้อย ทว่าทันทีที่เห็นสมบัติวิเศษป้องกันที่เฉินซีนำออกมาและมอบให้มู่เหวินเฟย ความสิ้นหวังภายในใจของนางก็มลายหายสิ้น

แม้ว่าการสร้างสมบัติเวทระดับมนุษย์จะเป็นสิ่งที่นางสามารถทำได้ ทว่าก็ไม่ใช่ว่าจะยกให้ใครอย่างง่ายดาย อย่าว่าแต่เรื่องที่พอรู้ว่าพี่สาวน้องชายคู่นี้จะไปอยู่กับตระกูลตู้ ตนเองตระหนักแก่ใจเป็นอย่างดีว่าทั้งสองต้องได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยม แต่จะดีกว่าถ้านางทำให้พวกเขามาอยู่กับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในฐานะศิษย์สายนอกได้

ขณะนั้นแม้แต่ตัวของนางยังรู้สึกอิจฉาที่โชคเข้าข้างสองพี่น้องคู่นี้

“อ้อ จริงสิ… สายรัดมิตินี้สร้างอย่างประณีต รูปทรงงดงามและเรียบง่ายเหมาะกับแม่นางมู่เหยาเป็นอย่างยิ่ง ของชิ้นนี้สำหรับเจ้า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ถอดสายรัดมิติออกมาก่อนจะส่งต่อให้มู่เหยาอีกครั้ง

ในบรรดาสมบัติวิเศษเก็บของทั้งหลาย ย่ามนั้นด้อยมูลค่าที่สุด ในขณะที่สมบัติเวทมิติอาจสกัดออกมาเป็นแหวน สร้อยหยก สายรัดหรือปลอกแขน มูลค่าของสิ่งเหล่านี้หาได้ด้อยกว่าสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นต่ำไม่

เมื่อเห็นอีกว่าเฉินซีนำสายรัดมิติยื่นให้อีกฝ่ายหน้าตาเฉย เหยียนชิงหนี่พลันหวนนึกถึงตอนที่ได้พบกับเฉินซีเป็นครั้งแรก นางก็โยนขวดวารีวิญญาณที่หนักราวร้อยชั่งคล้ายให้ทานแก่ยาจกข้างถนน ตอนนี้เจ้าตัวทั้งละอายและเสียใจ ทั้งยังรู้สึกว่าออกจะจองหองไปหน่อย

ทันใดนั้น เหยียนชิงหนี่ก็ตัดบทด้วยการกล่าวอำลาและจากไปอย่างรวดเร็ว นางไม่อยากอยู่ในบริเวณนั้นอีกต่อไป เพราะจะยิ่งเสียอารมณ์ด้วยเรื่องอื่น

มู่เหยารู้สึกหวั่นเกรงและไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ในมือกำสายรัดมิติไว้ และเมื่อได้เห็นเหยียนชิงหนี่หุนหันกลับไป นางก็รู้สึกอัดอึดและกระสับกระส่ายขึ้นมาชั่วขณะ จากนั้นหญิงสาวก็มองไปยังเฉินซีราวกับต้องการให้ฝ่ายนั้นกล่าวให้กำลังใจไม่มากก็น้อย “พี่ใหญ่เฉินซี… น้องชายของข้าเอาแต่ได้เกินไปหรือไม่เจ้าคะ”

เฉินซีฟังพลางคลี่ยิ้ม “นี่เป็นเรื่องที่เจ้าและน้องชายต้องรับผิดชอบตัวเอง ข้าเชื่อว่าตราบเท่าที่เจ้าทั้งสองมีชีวิตที่ดีและมีเข้มแข็ง พี่ใหญ่ของพวกเจ้า… แม่นางเหยียนชิงหนี่จะมองเจ้าทั้งคู่ด้วยมุมมองที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน นางจะไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก”

ถ้าเหยียนชิงหนี่มาได้ยินวาจาของเฉินซีที่ประเมินตัวนางเอง เจ้าตัวคงจะรู้สึกเจ็บแปลบที่ถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่ง และคงปิดหน้าปิดตาหนีไปจากที่นี่เสีย เพราะนางเป็นคนที่สามารถแยกแยะดีชั่วได้อย่างยอดเยี่ยม

“โอ… ข้าจะเชื่อฟังพี่ใหญ่เฉินซีเจ้าค่ะ” มู่เหยากระแทกฝ่ามืออย่างแรง จากนั้นก็หัวเราะเสียงใสอย่างมีความสุข กระทั่งดวงตายังเป็นประกายพราวประหนึ่งดวงดารา โดยเฉพาะใบหน้าอ่อนเยาว์บริสุทธิ์ไร้เดียงสานั่น

ภาพที่ปรากฏต่อหน้า กลับทำให้การตัดสินใจดึงพี่น้องชายหญิงคู่นี้มาอยู่กับตู้ชิงซียิ่งแน่วแน่กว่าเดิม สาวน้อยตัวเล็ก ๆ เท่านี้แต่มีความงามเข้าขั้นอันตรายอย่างร้ายกาจ ด้วยตัวของเด็กหญิงรู้วิธีทำให้บุรุษเพศหลงเสน่ห์ได้แล้วทั้งที่ยังอ่อนวัย ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่ปีจะขนาดไหน

“ไปที่บ้านตระกูลของข้ากันเถอะ” เสียงของต้วนมู่เจ๋อตะโกนออกมาจากรถลากเทพหกกิเลนที่เจ้าตัวนั่งอยู่

“ไม่ได้! เฉินซีต้องไปที่ที่หนึ่งกับข้า!” ตู้ชิงซีสวนตอบกลับคำพูดอีกฝ่ายทันที จากนั้นจึงรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม ผิวแก้มจึงแดงปลั่งทันที ส่งให้ใบหน้างามที่มักเฉยชาเป็นนิจผิดแปลกไป นางดูบอบบางละมุนละไมและมีเสน่ห์สุดแสนจะพรรณนา ยามนี้ทั้งสวรรค์และพิภพต่างถูกรูปลักษณ์อันงดงามของนางบดบังจนสิ้น

เฉินซีตะลึงงัน

ซ่งหลินตาค้าง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]