บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1251

สรุปบท บทที่ 1251 การต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้น: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

สรุปตอน บทที่ 1251 การต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้น – จากเรื่อง บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดย novelones

ตอน บทที่ 1251 การต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้น ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดยนักเขียน novelones เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 1251 การต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้น

บทที่ 1251 การต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้น

พรูด!

ในจังหวะที่เฉินซีพุ่งออกมาจากผืนทราย เขาเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ของต่างพิภพถูกบดขยี้กลางอากาศจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงฉาน บังเกิดเป็นฉากนองเลือดที่น่าสังเวช แต่ก็มีความงดงามในตัว

หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นจั่วชิวไท่อู่ผู้ยิ่งใหญ่ ผมสีขาวปลิวไสว ในขณะที่เขาควบคุมพลังงานรอบกาย ทำให้ฟ้าดินดูเหมือนยอมจำนนต่อคนผู้นี้

ในตอนนั้นเอง เฉินซีรู้สึกราวกับว่าได้เห็นทวยเทพผู้เกรี้ยวกราด!

แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

จั่วชิวไท่อู่กลับคืนสู่ท่าทางเซื่องซึมและอ่อนแรง ฟ้าดินกลับคืนสู่ปกติ

มีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่ยังฟุ้งอยู่ในอากาศ

“คารวะผู้อาวุโส” เฉินซีประสานฝ่ามือคารวะ แต่ความระแวดระวังกลับพรั่งพรูในใจ เขาไม่สามารถรู้แน่ชัดว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านั้นเป็นใคร ความสนใจทั้งหมดล้วนรวมอยู่ที่ชายชราตรงหน้า

ในช่วงก่อนที่เขาจะออกจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เซวียนหยวนซิ่วเคยย้ำเตือนเกี่ยวกับจั่วชิวไท่อู่ และนอกจากความเคารพต่อจั่วชิวไท่อู่แล้ว คำกล่าวของนางยังเผยถึงความกลัวอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน

เซวียนหยวนซิ่วยังกล่าวว่า แม้แต่หัวหน้าอาจารย์ฝ่ายในที่กระหายการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งเช่นเซวียนหยวนพัวจวิน ก็ยังเคยยอมรับว่าด้อยกว่าจั่วชิวไท่อู่!

เพียงแค่อาศัยสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว จั่วชิวไท่อู่จึงเป็นผู้อาวุโสที่สามารถกระตุ้นความเคารพในหัวใจของเหล่าศิษย์ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่เขามีแซ่ว่าจั่วชิว หนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งคือตระกูลจั่วชิว!

เฉินซีไม่กล้ามองข้ามสิ่งนี้ เพราะเมื่อจั่วชิวไท่อู่ปรากฏตัวในดาวหมึกโลหิต ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็พรั่งพรูในใจอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อเทียบกับความระมัดระวังของเฉินซี ท่าทางของจั่วชิวไท่อู่กลับไม่แปรเปลี่ยน ดวงตาที่ขุ่นมัวหรี่ลง ร่างผอมแห้งโค้งงอเล็กน้อย ไร้ร่องรอยของกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจ้องมองเฉินซี ใบหน้าเหี่ยวย่นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ราวกับว่ากำลังมองผู้เยาว์ของสำนัก ซึ่งคงไว้ด้วยท่าทางของผู้อาวุโส

“เจ้าหนู มอบแผนภาพหยินหยางแห่งความโกลาหลให้ข้าซะ” จู่ ๆ จั่วชิวไท่อู่ก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่สิ่งแรกที่กล่าวถึงกลับเป็นเรื่องแผนภาพหยินหยางแห่งความโกลาหล!

หัวใจของเฉินซีตึงเครียดขึ้นทันใด …เขาต้องการแผนภาพคืนหรือ? นี่เป็นสัญญาณที่เลวร้ายนัก!

เฉินซีหายใจเข้าลึก และเม้มริมฝีปากพลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้าจำได้ว่าสมบัติชิ้นนี้อยู่ในความดูแลของผู้อาวุโสทาปาเทียนซี ดังนั้นข้าจะส่งมอบให้แก่เขาหลังการทดสอบสิ้นสุดแล้ว”

ขณะที่กล่าว เฉินซีก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว แต่ก็พบว่า ในระยะสองพันห้าร้อยลี้ ท้องฟ้าและผืนดินถูกปิดผนึกด้วยกลิ่นอายที่ไร้รูปร่างอย่างเงียบงันและน่าสะพรึงกลัว ซึ่งหมายความว่าหากชายหนุ่มต้องการที่จะหลบหนี เขาก็จะถูกสังเกตเห็นในทันที!

การตระหนักถึงสิ่งนี้ ทำให้หัวใจของเฉินซีดิ่งลง และความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว “หรือว่าตระกูลจั่วชิวคิดจะฆ่าข้าจริง ๆ?”

แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัว เพราะผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากการตายของร่างหลัก

ชายหนุ่มแค่รู้สึกว่ามันน่าเสียดาย เพราะตนเพิ่งได้รับทรัพย์สมบัติมากมายมาจากสมรภูมิฝันร้าย แต่กลับต้องพบกับศัตรูที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ซึ่งเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ความโชคร้ายมักอยู่คู่กับความโชคดี และเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้

“ทาปาเทียนซี?” เมื่อได้ยินคำว่าทาปาเทียนซี ในที่สุดใบหน้าที่เหี่ยวย่นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ซึ่งดูเย้ยหยันเป็นพิเศษ

หลังจากนั้น ชายชราก็เบนสายตาไปจดจ้องผืนทรายด้านล่าง ก่อนที่จะกล่าวว่า “ไอ้หนูได้เอ่ยถึงเจ้าแล้ว ไยถึงยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก?”

เฉินซีรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง และพยายามยับยั้งตัวเองไม่ให้หันกลับไปมอง เพราะเกรงว่าจั่วชิวไท่อู่กำลังใช้กลอุบายเพื่อหลอกตน

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ท่าทางเยาะเย้ยบนใบหน้าเหี่ยวย่นของจั่วชิวไท่อู่ก็เด่นชัดยิ่งขึ้น แต่ร่องรอยของความชื่นชมกลับปรากฏเช่นกัน

“พี่จั่วชิวได้ช่วยเฉินซีจัดการกับภัยคุกคามแล้ว ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจะจากไปอย่างเงียบ ๆ แต่ข้าคงต้องเผยตัว เนื่องจากท่านได้เผยร่องรอยของข้าแล้ว” ทว่าเฉินซีกลับต้องประหลาดใจ เพราะจั่วชิวไท่อู่ไม่ได้ใช้กลอุบายใด ๆ ทันทีที่สิ้นเสียง น้ำเสียงอันอบอุ่นก็ลอยออกมาจากผืนทรายอันกว้างใหญ่นี้

ทันใดนั้น ร่างที่สวมชุดขาว มีผมสีดอกเลา หน้าตาหล่อเหลาราวกับชายหนุ่ม พลันปรากฏกายออกมา น่าแปลกที่คนผู้นี้เป็นหนึ่งในหัวหน้าอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทาปาเทียนซี!

หรือว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมาตลอด?

เฉินซีรู้สึกตกใจและไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดตรงหน้า เพราะตัวตนที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนครึ่งขั้นได้ปรากฏตัวที่นี่ในเวลาเดียวกัน และถ้าทั้งสองมาเพื่อช่วยจัดการกับภัยคุกคามก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่ามันดูน่าสงสัยอย่างยิ่ง

“เจ้าหนู เจ้าทำได้ดีมาก ในเมื่อเจ้าออกจากสุสานได้อย่างปลอดภัยแล้ว เช่นนั้นก็ส่งแผนภาพหยินหยางโกลาหลมาให้ข้า ไม่ต้องกังวล ไม่มีใครสามารถทำอันตรายเจ้าได้” จู่ ๆ เสียงของทาปาเทียนซีก็ดังก้องอยู่ในหู ชายหนุ่มตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นและสังเกตเห็นว่าทาปาเทียนซีกำลังมองมาที่ตนด้วยรอยยิ้ม

เฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกำลังจะตอบตกลง ทว่าจั่วชิวไท่อู่พลันถอนหายใจยาว และดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย

หลังจากนั้น กระดูกสันหลังที่คดงอและร่างกายที่ผอมแห้งพลันยืดตรง กลิ่นอายน่ากลัวและกว้างใหญ่แผ่ซ่านออกมา ซึ่งจังหวะที่กะพริบตา ประกายเย็นยะเยือกอันน่าตกใจพลันสาดส่อง ทำให้เกิดความหวาดกลัวในหัวใจและวิญญาณ

เขาดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนในพริบตา!

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มยังอยู่ในทะเลทรายสีเลือด

“ข้ายังไม่ตาย…” เฉินซีรีบตรวจสอบข้าวของของตน ไม่มีสิ่งใดหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เห็นก่อนที่จะหมดสติไป ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ใครเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้นกันแน่?”

“เจ้าตื่นแล้วหรือ?” ทันใดนั้น เสียงที่สูงวัยก็ดังขึ้น

ตอนนี้เฉินซีเพิ่งสังเกตว่า มีร่างผอมแห้งและโค้งงอกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินเตี้ย ๆ ห่างไปราวห้าลี้ ชายหนุ่มไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของร่างนี้ได้อย่างเต็มที่ โดยอาศัยญาณเทวะอมตะเพียงอย่างเดียว

“จั่วชิวไท่อู่!”

หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบ แต่ยังคงมีสีหน้านิ่งสงบ ชายหนุ่มยืนขึ้นและประสานฝ่ามือคารวะ “ผู้อาวุโส”

“ทาปาเทียนซีถูกใครบางคนชักจูงให้ทำเช่นนี้ ซึ่งเขาได้สำนึกและจากไปแล้ว ในภายหน้า เขาจะไม่มีทางคุกคามเจ้าได้อีก” จั่วชิวไท่อู่ยืนขึ้น พลางเดินเอามือไพล่หลัง

ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ริ้วรอยบนใบหน้าดูเหมือนจะลึกยิ่งขึ้น เขาเป็นเหมือนชายชราในโลกมนุษย์ที่มีเวลาเหลือไม่มาก และทำให้คนอื่น ๆ กังวลว่าลมกระโชกอาจพรากชีวิตเขาได้

แต่เฉินซีทราบอย่างชัดเจนว่า นี่คือราชันเซียนครึ่งขั้นของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ที่บำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษมาเนิ่นนานจนไม่อาจนับ ไม่ต้องกล่าวถึงลมกระโชก เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แม้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ตาม

แต่หลังจากนั้น เฉินซีก็ไม่อาจใส่ใจกับเรื่องนี้ได้ เพราะตกใจกับคำพูดของจั่วชิวไท่อู่ “หรือว่าผู้ที่คิดร้ายกับข้าในครั้งนี้ คือทาปาเทียนซี?”

“เจ้าทำได้ดีและไม่ได้ให้แผนภาพหยินหยางโกลาหลแก่ทาปาเทียนซี ไม่อย่างนั้นข้าคงจัดการกับเขาได้ยากขึ้น” จั่วชิวไท่อู่หยุดตรงหน้าเฉินซี ดวงตาขุ่นมัวจดจ้องชายหนุ่มอยู่นาน ก่อนที่จะกล่าวในตอนท้ายว่า “บางครั้ง ความเกลียดชังจะทำให้ดวงตามืดบอดและทำให้คนขาดสติ ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะค่อย ๆ ทบทวนเรื่องทั้งหมดนี้”

ชายชราจากไปอย่างรวดเร็วทันทีที่กล่าวจบ

“ผู้อาวุโส!” เฉินซีตะโกนเสียงดัง แต่ร่องรอยของจั่วชิวไท่อู่กลับไม่ปรากฏให้เห็น เหลือเพียงเสียงลมหวีดหวิวเท่านั้น

ชั่วขณะหนึ่ง เฉินซียืนตะลึงดุจลาโง่ และเข้าใจอะไรบางอย่างได้ราง ๆ แต่ยังไม่กล้ายืนยัน โดยรวมแล้ว การเผชิญหน้าที่แปลกประหลาดในครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกได้ว่าจั่วชิวไท่อู่ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อตน

ถึงขนาดช่วยขจัดภัยร้าย!

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า ทาปาเทียนซี…คือคนที่ตระกูลจั่วชิวส่งมาเพื่อสังหารข้า? ราชันเซียนครึ่งขั้น พวกเขาประเมินข้าสูงส่งเหลือเกิน…” ขณะที่พึมพำกับตัวเอง สีหน้าของเฉินซีค่อย ๆ สงบลง จากนั้นความเยือกเย็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่ม

ความเกลียดชังทำให้ดวงตามืดบอด แต่หัวใจไม่สามารถบอดได้ ความเกลียดชังบางอย่างต้องได้รับการชำระคืนด้วยเลือดมิใช่หรือ?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]