บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1298

สรุปบท บทที่ 1298 ฉินหลิง: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

อ่านสรุป บทที่ 1298 ฉินหลิง จาก บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดย novelones

บทที่ บทที่ 1298 ฉินหลิง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย novelones อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 1298 ฉินหลิง

บทที่ 1298 ฉินหลิง

ว่านเจี้ยนเซิง!

เยี่ยถัง!

ทั้งสองต่างได้รับการยอมรับจากสาธารณชนว่าเป็นสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียน และเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากัน ย่อมส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกลิ่นอายที่น่าเกรงขามทันที แม้ว่ามันจะไร้สุ้มเสียง แต่ก็ทำให้หัวใจของทุกคนในบริเวณใกล้เคียงสั่นไหวอย่างไร้เหตุผล

เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ ทว่าท่าทางของเฉินซีกลับสงบไม่แปรเปลี่ยน การประชันของกลิ่นอายระหว่างยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ เปรียบเสมือนสายลมเย็นยะเยือกที่พัดโหมเข้าหาเฉินซีผู้ซึ่งบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง มันจึงไม่สามารถส่งผลกระทบใด ๆ ต่อเขาได้เลย

“รางวัลน่ะหรือ? ฮ่า ๆ! ไว้พวกเจ้ารอดูเถอะ มันจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังอย่างแน่นอน” ในขณะนี้หวังต้าวหลูหัวเราะเสียงดัง น้ำเสียงแฝงไปด้วยท่วงทำนองเต๋าที่ดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ ยิ่งกว่านั้น มันยังสลายกลิ่นอายของการเผชิญหน้าระหว่างเยี่ยถังและว่านเจี้ยนเซิงออกไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้ ว่านเจี้ยนเซิงก็หรี่ตาลง และละสายตาออก เขาเป็นเหมือนกระบี่ไร้เทียมทานที่อยู่ในฝัก กลิ่นอายสังหารอันเยือกเย็น ดุร้าย และคุกคามที่เขาแผ่ออกมานั้น ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ บรรยากาศกลับ มาสงบนิ่งเหมือนทะเลสาบที่ไร้เกลียวคลื่น

ควบคุมกลิ่นอายได้ตามใจต้องการ!

เฉินซีอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ว่านเจี้ยนเซิงนั่นสมกับที่เป็นหนึ่งในสุริยันอันเจิดจ้า ความสามารถในการควบคุมกลิ่นอายสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด

ในเวลาเดียวกัน เยี่ยถังก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ และยกน้ำเต้าสุราขึ้นมา ก่อนที่จะดื่มมันเข้าไปเต็มปาก ทำให้ผมสีดำขลับปลิวไสว และเผยท่าทางที่ห้าวหาญและดุร้าย

“คำพูดของพี่ต้าวหลู ทำให้เราตั้งตารอจริง ๆ” พิสดารเฟิงจ้องกวาดตามองผ่านเฉินซีและคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางคลี่รอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง

“ข้าก็ตั้งตารอเช่นกัน” หวังต้าวหลูยิ้มตอบ

ในขณะเดียวกัน อาจารย์ของสำนักอื่น ๆ และศิษย์ของพวกเขาก็มาถึงเช่นกัน

หวังต้าวหลูยิ้ม เขาพูดคุยกับอาจารย์ของทั้งหกสำนักอีกเล็กน้อย ในขณะที่เหล่าศิษย์ของสำนักต่างจับกลุ่มดูเชิงฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นปรปักษ์ และเจตนาที่จะชิงความเป็นใหญ่

“เฉินซี ดูสิ เช่นเดียวกับการถกวิถีเต๋าในอดีต ศิษย์ของทั้งหกสำนักนี้ถือว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเราเป็นศัตรูของพวกเขา และพวกมันไม่ต้องการอะไรมากไปกว่ายั่วยุเราด้วยสายตาของพวกมัน” จี้เซวียนปิงยิ้มเย็น พลางกล่าวกับเฉินซีผ่านกระแสปราณ

เฉินซีพยักหน้า ชายหนุ่มสังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน แต่เขาไม่มีอารมณ์ที่จะยั่วยุใครในตอนนี้

ทันใดนั้น เสียงที่มืดมนและแหลมคมก็ดังก้องขึ้นมา “ฮึ่ม! การถกวิถีเต๋าครั้งนี้ ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาในอดีต สหายเต๋าแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเจ้าทุกคนระวังตัวไว้เถิด!”

ทุกคนตกตะลึง และมองไปยังที่มาของเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน ปรากฏว่าเป็นชายในชุดคลุมสีเขียวเอามือไพล่หลังอย่างภาคภูมิ และยื่นอยู่ท่ามกลางศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์

ใบหน้าของเขาเรียวและผอมแห้ง ริมฝีปากแคบซีด ดวงตาเรียวยาว และเต็มไปด้วยประกายเย็นเยียบอันน่าสะพรึงกลัว ยิ่งกว่านั้น ทั้งร่างกายอาบย้อมไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายเยือกเย็นและไร้ซึ่งความรู้สึก ซึ่งทำให้หัวใจของผู้พบเห็นสั่นสะท้าน

เมื่อสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของศิษย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่พุ่งมาที่ตน ชายในชุดคลุมสีเขียวก็แสยะรอยยิ้มน่าสยดสยอง พร้อมกับฟันแหลมคมและขาวราวกับหิมะเต็มปาก พลางกล่าวด้วยเสียงแหลมหู “คราวนี้ ข้าเซียวเชียนซุ่ยจะพลิกสถานการณ์ และข้าจะเอาชนะพวกเจ้าทีละคน เพื่อคว้าชัย!”

คนผู้นั้นกล่าวเน้นทีละคำ ในขณะที่แผ่กลิ่นอายที่สงบ แต่กลับน่ากลัวและมืดมน คล้ายอสรพิษที่กำลังจดจ้องเหยื่อจากเงามืด ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวที่เรียกตัวเองว่าเซียวเชียนซุ่ยไม่ได้ผ่อนเสียงของตน ดังนั้นไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสและศิษย์ทุกคนในสนามประลองเท่านั้นที่ได้ยิน แม้แต่ผู้ชมที่อยู่ใต้สนามประลองก็ได้ยินเช่นกัน ทำให้เกิดความโกลาหลในฝูงชนขึ้นมาทันที

“คนผู้นี้เป็นใครกัน? ช่างเป็นความมั่นใจที่สูงส่งเสียจริง!”

“เซียวเชียนซุ่ย? ฮึ่ม! เขาก็แค่คนไร้ชื่อเสียง คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

“เขาคงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง? ถึงได้กล้ายั่วยุพวกเราเช่นนี้ในดินแดนของเรา คนผู้นี้สมควรถูกทุบตีสั่งสอนจริง ๆ”

“มีใครเคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้หรือไม่?”

เสียงของการสนทนาแผ่ขยายออกไปทั่วบริเวณโดยรอบ ศิษย์ทุกคนของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าล้วนขุ่นเคืองจากการยั่วยุนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จำคนผู้นี้ได้

เยี่ยถังและคนอื่น ๆ ในสนามประลองต่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า แต่ไม่รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด กลับกันพวกเขาแค่รู้สึกว่ามันน่าขบขันเล็กน้อย “ไอ้สารเลวนี้ช่างโอ้อวดได้อย่างไร้ยางอายจริง ๆ!”

“พี่จี้ เจ้ารู้จักเขาหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว รู้สึกบางอย่างไม่ถูกต้อง เซียวเชียนซุ่ยดูเหมือนจะไม่แยแสและสงบเกินไป ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่ใช่การแสดงพลังอย่างเปล่าประโยชน์

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเซียวเชียนซุ่ยกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของเหล่าศิษย์จากสำนักศึกษาระทมสันต์ยังคงไม่เปลี่ยนแแปลง ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำกลุ่มจากสำนักศึกษาระทมสันต์ก็ยังคงยิ้มแย้ม แต่ไม่ได้ตำหนิหรือกล่าวอะไร

รายละเอียดเหล่านี้ ทำให้เฉินซีสังเกตเห็นร่องรอยของความผิดปกติ และขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

“ข้าไม่รู้จักเขา แต่ข้าจำได้ว่า เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักศึกษาระทมสันต์” จี้เซวียนปิงส่ายศีรษะ แต่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทำให้คิ้วเลิกขึ้นอย่างฉับพลัน “หลังจากได้ยินคำถามของเจ้า ตัวข้าก็รู้สึกว่ามันแปลกเช่นกัน นี่คือการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักศึกษา ซึ่งได้รับความสนใจจากภพเซียนทั้งหมด และไม่มีทางที่สำนักศึกษาระทมสันต์จะส่งตัวโง่งมเข้าร่วมอย่างแน่นอน…” เมื่อไตร่ตรองดูอีกครั้ง จี้เซวียนปิงก็พบว่าการปรากฏตัวของชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวที่ชื่อเซียวเชียนซุ่ยนั้นค่อนข้างจะผิดปกติเกินไป

เฉินซีชำเลืองมองไปยังเยี่ยถัง เจิ่นลู่ และจ้าวเมิ่งหลี ทั้งสามก็ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเช่นกัน บนใบหน้าของพวกเขาฉายแววสับสน

หวังต้าวหลูโยนกงล้อทองแดงออกไป จากนั้นมันก็หมุนวนลอยขึ้นไปกลางอากาศ กงล้อส่งเสียงดังกึกก้องอยู่กลางเวหา ขณะที่สลากทั้งสามสิบห้าแท่งก็หมุนวนไปพร้อมกัน ยิ่งกว่านั้น พวกมันยังถูกปกคลุมด้วยพลังที่ไร้รูปร่าง ซึ่งสามารถยับยั้งพลังตรวจจับได้อย่างสมบูรณ์

“ข้าเป็นคนแรกเอง!” เซียวเชียนซุ่ยก้าวยาว ๆ ออกไปข้างหน้า จากนั้นคว้าสลากมาไว้ในมือ หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ขมวดคิ้ว “ไยกลายเป็นสลากเปล่า…”

สิ้นคำ ทุกคนอยู่ที่นี่ก็ประหลาดใจ “โชคของคนผู้นี้ไม่ดีเกินไปหน่อยหรือ?”

สิ่งที่ทำให้ทุกคนถึงกับกล่าวไม่ออก เพราะเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้จับได้สลากเปล่า ทั้งที่ไม่อยากได้ ช่างสมควรถูกทุบตีจริง ๆ!

เซียวเชียนซุ่ยแสยะยิ้มน่าสยดสยองแก่เฉินซีและคนอื่น ๆ แล้วหันหลังจากไป

“ฮึ่ม! อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าก็แล้วกัน!” จี้เซวียนปิงขมวดคิ้วและเอ่ยเสียงลอดไรฟัน

เยี่ยถังหัวเราะดังลั่นและตบไหล่จี้เซวียนปิง “ใจเย็น ๆ”

หลังจากที่เซียวเชียนซุ่ยจับสลากเสร็จ ศิษย์คนอื่น ๆ ก็เริ่มจับสลากทีละคน ไม่มีใครต่อสู้เพื่อเป็นที่หนึ่ง เพราะผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม การแย่งชิงจึงเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง

การจับสลากเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาจับสลากได้หมายเลขหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง การประลองคู่แรก คือตนกับศิษย์ที่จับสลากได้หมายเลข 34

ซึ่งศิษย์คนนั้นมีนามว่า ‘ฉินหลิง’ จากสำนักศึกษานภาไพศาล!

เมื่อเขาหวนนึกถึงสำนักศึกษานภาไพศาล เฉินซีก็ลอบแสยะยิ้ม เมื่อรู้ว่าตนจะได้สู้กับศัตรูเก่า ที่เคยสังหารศิษย์สารเลวของสำนักศึกษานภาไพศาลไปหลายคนระหว่างการสอบฝ่ายในในสมรภูมินอกพิภพ

ในขณะเดียวกัน เยี่ยถัง เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี และจี้เซวียนปิงค่อนข้างโชคดี แม้ว่าลำดับการจับสลากจะแตกต่างกัน แต่ว่านเจี้ยนเซิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา

อย่างน้อยที่สุด การต่อสู้ระหว่างเยี่ยถังและว่านเจี้ยนเซิง ต้องรอจนถึงรอบที่สอง

แก๊ง!

เสียงระฆังดังก้องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้า เป็นการประกาศว่าม่านของการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักศึกษาจะถูกเปิดออกในขณะนี้!

คนอื่น ๆ หลบไปยืนข้างสนามประลอง เหลือเพียงเฉินซีและฉินหลิงยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่ในทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]