บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1308

สรุปบท บทที่ 1308 ทะเลเพลิงสีทอง: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

สรุปเนื้อหา บทที่ 1308 ทะเลเพลิงสีทอง – บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดย novelones

บท บทที่ 1308 ทะเลเพลิงสีทอง ของ บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย novelones อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 1308 ทะเลเพลิงสีทอง

บทที่ 1308 ทะเลเพลิงสีทอง

“อวดดีอะไรอย่างนี้!”

“ไอ้สารเลวนี้อวดดีเกินไปแล้ว!”

เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีหยิบน้ำเต้าฟ้าดินออกมา ซึ่งแต่เดิมเป็นสมบัติของสำนักศึกษานภาไพศาล เหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษานภาไพศาลก็โมโหจนตาแทบถลน จิตสังหารพวยพุ่ง ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าฆ่าคนผู้นี้อีกแล้ว

อวี่ซิวสุ่ยผงะเล็กน้อย แต่แววตากลับทอประกายแปลกประหลาด และอารมณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก

“ฮึ่ม! ไร้ยางอาย! หรือว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเจ้าจะไม่มีสมบัติล้ำค่าอื่น ๆ จนถึงกับต้องมาพึ่งน้ำเต้าฟ้าดินที่เป็นของสำนักศึกษานภาไพศาลของข้า” อวี่ซิวสุ่ยกล่าวอย่างเย็นชา

เฉินซีเพียงยิ้มและพลิกฝ่ามือ ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน ชายหนุ่มเก็บน้ำเต้าฟ้าดินออกไปจริง ๆ!

ทว่าก่อนที่ทุกคนจะฟื้นจากอาการตกใจ ตะเกียงสีทองแดงก็ลอยขึ้นมาหมุนวนอยู่เหนือฝ่ามือ ตะเกียงนี้มีความสูงยี่สิบสี่ชุ่น บนพื้นผิวถูกจารึกไว้ด้วยลวดลายโบราณที่ซับซ้อนและลึกซึ้ง ทั้งยังปลดปล่อยเปลวเพลิงสีทองอร่ามออกมา

มันคือสุดยอดสมบัติของสำนักศึกษามหาเดียวดาย ตะเกียงวังไหมเขียว!

“ข้าจะเอาชนะโดยที่ไม่ใช้สมบัติของสำนักศึกษานภาไพศาลของเจ้า แต่เป็นสมบัติของสำนักศึกษามหาเดียวดาย ดีหรือไม่?” เฉินซีเล่นกับตะเกียงวังไหมเขียวอย่างสบายอารมณ์ขณะที่กล่าวช้า ๆ

สีหน้าของอวี่ซิวสุ่ยดิ่งลง และเม้มริมฝีปากแน่น

ผู้ชมทั้งขบขันและประหลาดใจ “นี่เป็นรอบสุดท้ายของการถกวิถีเต๋า แต่เฉินซีกลับไม่กังวลเลยเหรอ?”

ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของคนจากสำนักศึกษามหาเดียวดายกลับมืดมน หลังจากที่เห็นตะเกียงวังไหมเขียวของสำนักศึกษาตน “ไอ้สารเลวนี้น่าชิงชังจริง ๆ!”

แก๊ง!

เสียงระฆังดังขึ้น การต่อสู้ปะทุอย่างรวดเร็ว

ร่างของอวี่ซิวสุ่ยเปล่งประกายเจิดจ้า ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีน้ำเงิน ที่ดูพร่ามัวเล็กน้อย พร้อมกับทะยานไปยังสนามประลองด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาอันลึกซึ้ง ทันใดนั้นก็มาถึงตรงหน้าของเฉินซีราวกับภูตผี พัดหยกในมือพลันคลี่ออก ก่อนจะตวัดฟันไปที่คอของเฉินซีราวกับคมดาบ

ฟิ่ว!

มิติถูกแยกออกจากกัน ในขณะที่พลังแห่งกฎไหลเวียน พัดหยกของอวี่ซิวสุ่ยนั่นเห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติอมตะที่ทรงพลัง ทั้งแม่นยำ น่าเกรงขาม โหดเหี้ยม และดูเหมือนจะสามารถข้ามข้อกำจัดของมิติได้ ยิ่งกว่านั้น มันยังปราดเปรียว และแผ่กลิ่นอายมั่นคงที่น่าเกรงขามออกมา

“สะบั้นนรกทองคำทมิฬ!” เหล่าอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษานภาไพศาลอุทานด้วยความตกใจ เพราะนี่เป็นเคล็ดวิชาลับสุดยอดของอวี่ซิวสุ่ย และสามารถเพิ่มพูนพลังต่อสู้ได้ถึงสองเท่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันเทียบเท่ากับอวี่ซิวสุ่ยสองร่างที่โจมตีใส่เฉินซีทันที!

เห็นได้ชัดว่าการที่อวี่ซิวสุ่ยลงมือเช่นนี้ เป็นเพราะหลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเฉินซีและเหยียนอวิ๋น จึงตระหนักดีว่า เฉินซีไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งยังยากที่จะรับมือ ดังนั้นทันทีที่เปิดฉากโจมตี เขาจึงใช้เคล็ดวิชาลับสุดยอดออกมาตั้งแต่แรก

ฟึ่บ!

มิติสั่นสะเทือน แล้วร่างของเฉินซีก็หายไปจากสายตาของอวี่ซิวสุ่ยในพริบตา

ใบหน้าของอวี่ซิวสุ่ยกลายเป็นเคร่งขรึม เขาไม่รอให้การโจมตีนี้สิ้นสุดลง ก่อนจะเคลื่อนไหวไปตามตำแหน่งของกลุ่มดาวหมีใหญ่ จากนั้นก็หันขวับกลับมาประหนึ่งมังกรตวัดหาง พัดหยกทองคำทมิฬหุบเข้าและคลี่ออกเหมือนกรรไกรที่ตัดสวรรค์ออกจากกัน มันตัดมิติรอบ ๆ ออกเป็นเสี่ยง ๆ บังเกิดเป็นพลังไร้รูปร่างที่ส่งเสียงโครมครามขณะที่กวาดไปในบริเวณโดยรอบ

อย่างไรก็ตาม การโจมตีครั้งนี้ไม่สามารถบีบให้เฉินซีเผยตัวได้

ชายหนุ่มดูเหมือนจะหายไปในห้วงมิติ ไม่ใช่แค่อวี่ซิวสุ่ย แม้แต่ศิษย์ส่วนใหญ่ที่อยู่รอบ ๆ ก็ไม่สามารถจับร่องรอยของเฉินซีได้

มีเพียงสีหน้าของผู้อาวุโสที่ครอบครองการบ่มเพาะขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นที่มีท่าทางตกตะลึง

พลังมิติ… เด็กคนนี้เข้าใจความล้ำลึกของกฎแห่งมิติจริง ๆ หรือ?

สำหรับการดำรงอยู่ในระดับพวกตน กฎสูงสุดทั้งสามประเภท อันได้แก่ มิติ เวลา ชีวิตและความตาย ล้วนแต่เป็นกฎที่ต้องทำความเข้าใจ แม้จะไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้เหมือนราชันเซียน แต่พวกเขาก็เข้าใจความลึกล้ำของมันอยู่ไม่มากไม่น้อย

ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นร่างของเฉินซีวูบไหวอยู่บนสนามประลอง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวและหายไปในห้วงมิติ ดังนั้นพวกเขาจึงตระหนักได้ทันทีว่า คนผู้นี้น่าจะเข้าใจแก่นแท้ของมหาเต๋าแห่งมิติแล้ว!

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เหล่าผู้อาวุโสของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ตกตะลึงและชมเชยเช่นกัน ในขณะที่อาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มจากสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาลล้วนมีสีหน้าประหลาดใจและสับสน ไม่น่าดูแม้แต่น้อย

เวลาคือราชา และมิติคือราชัน!

มันเป็นมหาเต๋าที่มีแค่ราชันเซียนเท่านั้นที่จะเข้าใจได้

ทว่าตอนนี้ มหาเต๋าแห่งมิติได้ปรากฏอยู่ในมือของชายหนุ่มขอบเขตเซียนทองคำ แล้วผู้อาวุโสเหล่านี้ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นจะไม่ตกใจได้อย่างไร?

ทันใดนั้น พวกเขาก็นึกถึงอวิ๋นฝูเซิงเมื่อหลายปีก่อนโดยพร้อมเพรียงกัน ในเวลานั้น อวิ๋นฝูเซิงได้คว้า ‘เงาแห่งกาลเวลา’ ของกฎแห่งเวลา และเมื่อเปรียบเทียบกับเฉินซีที่อยู่ตรงหน้า ทั้งเฉินซีและอวิ๋นฝูเซิงก็มีความเป็นเลิศในมหาเต๋าของตน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าทัดเทียมกัน

แต่ที่พวกเขาไม่รู้ ก็คือเฉินซีในตอนนี้ได้ก้าวข้ามความยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูเซิงไปแล้ว!

เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นกล่าวเช่นนี้ มันทำให้เหล่าศิษย์ที่อยู่รอบข้างตกตะลึงทันที “ที่แท้เฉินซีก็เข้าใจถึงความล้ำลึกของมิติจริง ๆ!”

สิ่งนี้น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง และกระตุ้นให้เกิดความไม่เชื่อในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวี่ซิวสุ่ย เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “ผู้อาวุโส บอกให้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้หรือ?”

อย่างไรก็ตาม มันคือเรื่องจริง และเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับมัน เพราะรู้ดีว่าไม่อาจทำอะไรเฉินซีได้

แต่เขาไม่เต็มใจ!

ข้ายังไม่ได้สู้กับเขาจริง ๆ จัง ๆ แต่กลับต้องยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้หรือ? ถ้าข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

โอม!

ในขณะที่ อวี่ซิวสุ่ยพยายามดิ้นรนในใจ คลื่นพลังงานผันผวนที่น่าตกใจก็ปะทุขึ้น และปกคลุมทั้งสนามประลองอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น ดอกไม้สีทองสุกใสจำนวนมากก็ล่องลอยออกมา พวกมันเบ่งบานกลางอากาศ ก่อนที่จะกลายเป็นทะเลดอกไม้ที่สว่างไสวปกคลุมทั่วสนามประลอง

ฉากนี้วิจิตรงดงาม เหมือนดอกไม้ที่โปรยปรายลงมาจากสวรรค์ ในขณะที่ดอกบัวสีทองก็งอกเงยขึ้นมาจากพื้นดิน มันทั้งสุกใสและสว่างไสวอย่างยิ่ง ย้อมฟ้าดินทั้งหมดด้วยสีทองเจิดจ้า

มันคือพลังของตะเกียงวังไหมเขียว ดอกไม้สีทองที่เกิดจากเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัว นอกจากนี้ พวกมันยังเผาผลาญทุกสิ่งและมิติโดยรอบด้วย!

อวี่ซิวสุ่ยสัมผัสดอกไม้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพราะประมาทชั่ววูบ มันจึงเผาเสื้อผ้าของเขาทันที ก่อนจะลามไปถึงเส้นผม ก่อให้เกิดความหวาดกลัวจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และกรีดร้องเสียงหลง

แต่ในเวลาถัดมา อวี่ซิวสุ่ยกลับไม่สามารถเปล่งเสียงได้แม้แต่นิดเดียว ดูเหมือนข้อจำกัดได้ปิดผนึกพลังงานทั้งหมดที่อยู่รอบตัว รวมถึงเสียงด้วย!

“ข้า… คงไม่จบลงเหมือนเหยียนอวิ๋นใช่หรือไม่?”

อวี่ซิวสุ่ยรู้สึกประหลาดใจ และหวนนึกถึงสภาพอันน่าเศร้าที่เหยียนอวิ๋นประสบก่อนหน้านี้ ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ความหนาวเย็นแล่นเข้าสู่หัวใจ จนรู้สึกเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง ตระหนกจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง!

ภายใต้ผลกระทบของความหวาดกลัวดังกล่าว เขาวิ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง และพยายามกล่าวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้โดยเร็วที่สุด แต่ทุกสิ่งกลับไร้ประโยชน์

ในไม่ช้า ภายใต้สายตาประหลาดใจและตกตะลึงของทุกคนที่อยู่รอบข้าง ร่างกายของอวี่ซิวสุ่ยก็ถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทอง เขาถูกไฟคลอกจนดูเหมือนกองไฟ ไม่ว่าคิ้ว เส้นผม เสื้อผ้า หรือรองเท้า ทุกอย่างล้วนถูกเผาจนหมดสิ้น มันเจ็บปวดถึงขั้นทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยว อยากกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช แต่กลับไม่สามารถส่งเสียงได้แม้แต่นิดเดียว

เขาทำได้เพียงกระโดดไปมาและวิ่งไปรอบ ๆ ทำให้ดูน่าขบขันอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครกล้าหัวเราะ

เพราะเหตุการณ์นี้น่ากลัวเกินไป และโหดร้ายอย่างไร้ปรานี แม้แต่อาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ยังสงสารอย่างอดไม่ได้ …เหตุใดจึงต้องทรมานตัวเองเช่นนี้ด้วย?

“วิธีที่โหดเหี้ยมและไร้ปรานีเช่นนี้ นี่ยังคงเป็นการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักอีกหรือ? หรือว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเจ้าคิดจะฆ่าคนปิดปาก?!” พิสดารเฟิงไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นก่อนจะตวาดไปทางหวังต้าวหลูด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว โดยที่มีสีหน้าซีดเซียวและมืดมนจนถึงขีดสุด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]