บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 136

บทที่ 136 เขตแดนเต๋ากร่อนโลหิต

บทที่ 136 เขตแดนเต๋ากร่อนโลหิต

เมื่อฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็นว่าเฉินซีมีอาการตกตะลึง หลัวซิ่วที่ลอยขึ้นไปกลางอากาศพลันเปล่งเสียงหัวเราะแหลมฟังดูน่าสยดสยอง “ในเมื่ออยากสู้กัน ข้าก็จะให้เจ้าได้รู้จักพิษสงพลังที่แท้จริงของข้า!”

ขณะที่พูด ประกายโลหิตเรืองแสงทั่วร่างได้ระเบิดขึ้นอย่างแรงอีกครั้ง มวลแสงดั่งสายน้ำเชี่ยวกราก กระแสโลหิตไหลหลากและแผ่คลุมโดยรอบทั่วพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยจั้งทันที

เพียงพริบตาเดียว ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเฉินซีก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งฟ้าดินกลายเป็นแดงฉานหมดสิ้น และที่น่าตกใจยิ่งเมื่อเขาพบว่าใต้ฝ่าเท้ามีกระแสน้ำโลหิตไหลกระเพื่อม

“เฉินซีระวังให้ดี เจ้านั่นเป็นผู้บ่มเพาะเต๋าแห่งการต่อสู้ที่บรรลุขั้นเขตแดนเต๋าซึ่งเป็นขั้นที่เหนือกว่าเต๋าแห่งการรู้แจ้ง โลกโลหิตที่เจ้ากำลังเห็นตอนนี้ถูกสร้างขึ้นจากเขตแดนเต๋านั้น!” ทันใดนั้นหลิงไป๋ก็ส่งเสียงเตือนอย่างร้อนใจระคนกังวลอย่างชัดเจน

เขตแดนเต๋า!

ในใจของเฉินซีกระตุกวูบเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

การฝึกฝนเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นสี่ขั้นใหญ่ ได้แก่ ขั้นต้น ขั้นสูง ขั้นเอกภาพ และขั้นเต๋าแห่งการรู้แจ้ง แต่ในความเป็นจริงยังมีขั้นที่สูงกว่าก็คือขั้นเขตแดนเต๋า

เต๋าแห่งการรู้แจ้งนั้นคือการเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเต๋าที่ผู้บ่มเพาะกำลังฝึกฝน และเมื่อความเข้าใจในเต๋าหยั่งลึกมากยิ่งขึ้น เต๋าแห่งการรู้แจ้งจะก่อรูปทวีความหนาแน่นขึ้นทุกทีจนกระทั่งถึงขีดจำกัด ต่อจากนั้นเต๋านั้นจะแปรเปลี่ยนรูปธรรมมากขึ้นจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าเขตแดนเต๋า

ผู้บ่มเพาะที่บรรลุถึงขั้นนี้จะสามารถสร้างเขตแดนเต๋าของตนเองออกจากสวรรค์และโลกด้วยการโบกมือ และเมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูในเขตแดนของตนเอง สถานการณ์จะเป็นต่อมากขึ้น!

ซึ่งก็เช่นเดียวกับเต๋าแห่งสายลมที่เฉินซีเข้าถึงได้อย่างถ่องแท้ ถ้าเขารวบรวมและเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็จะสามารถเปลี่ยนไปเป็นเขตแดนเต๋าของเขาเองได้ ซึ่งก็คือเขตแดนเต๋าแห่งสายลม

“เขตแดนเต๋า!” จู่ ๆ ที่ด้านนอกของเจดีย์บำพ็ญทุกข์พลันเกิดเสียงเซ็งแซ่ดังสนั่น ทุกคนมองไปยังหลัวซิ่วด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นอสูรโลหิตปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรสีเลือด ใบหน้าของแต่ละคนบ่งชี้ว่าไม่อยากเชื่อสายตา

ขั้นเขตแดนเต๋าเป็นขั้นที่ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางพยายามไขว่คว้ามาตลอดชีวิต กระทั่งไปจนถึงผู้บ่มเพาะบางคนที่บรรลุขอบเขตจุติแล้วก็อาจยังไม่มีเขตแดนเต๋าเป็นของตนเองเลยด้วยซ้ำ

ถ้าใครต้องการบรรลุขั้นเขตแดนเต๋า ไม่เพียงแต่ต้องทุ่มเทฝึกฝนอย่างยากลำบากและขยันขันแข็งเท่านั้น แต่ยังต้องมีศักยภาพในการเข้าถึงและจดจำเต๋าแห่งสวรรค์ได้ในระดับสูง เพื่อค้นหาเต๋าของตัวเองและอุบัติการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกอีกมากมาย ยิ่งกว่านั้นยังต้องอาศัยโชควาสนาในการเผชิญหน้าด้วยความบังเอิญกับการหยั่งรู้อย่างเฉียบพลัน ซึ่งเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ

แนวคิดในทางพระพุทธศาสนากล่าวว่าเหตุที่ทำให้บุคคลเกิดการรู้แจ้งเห็นจริงก็ด้วยความฉับพลันกะทันหัน หากปราศจากการหยั่งรู้โดยเฉียบพลัน รวมทั้งการคว้านานัปการ การลองผิดลองถูก สภาวะจิตและความเข้าใจในระยะเริ่มต้นก็จะเป็นไปไม่ได้ที่คนคนหนึ่งจะบรรลุถึงขั้นนี้

การไปถึงขั้นเขตแดนเต๋านั้นนับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับผู้บ่มเพาะอย่างแท้จริง และคนส่วนใหญ่เหล่านั้นอาจไม่ได้มีโชคถึงขั้นที่จะบรรลุถึงขั้นเขตแดนเต๋า จนเป็นเหตุให้ต้องพบกับความโศกเศร้าจนชั่วชีวิต

เวลานี้ หลัวซิ่วผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดาราได้เข้าถึงเขตแดนเต๋าเสียแล้ว เช่นนี้แล้วจะไม่ทำให้คนอื่นตกตะลึงได้อย่างไร?

“ที่แท้ซิ่วเอ๋อร์ก็ฝึกบ่มเพาะพลังเต๋าแห่งการต่อสู้จนบรรลุถึงขั้นนี้แล้วสินะ!” ปรมาจารย์เฮ่อเหลียนสุ่ยแห่งนิกายหุบเขาดาวตก รำพึงออกมาราวกับควบคุมตนไม่ได้

คนที่อยู่กลางแท่นหยก ฟากปรมาจารย์หลิงคงจื่อแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจ้องเขม็งพลางขมวดคิ้วขณะมองไปยังเฉินซีที่ติดอยู่ในโลกที่กลายเป็นท้องสมุทรโลหิตไปแล้ว ใบหน้าซูบผอมเรียบเนียนปานเนื้อหยกพลันปรากฏความกังวลใจออกมา

กระแสคลื่นโลหิตพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง หลัวซิ่วเหยียบลงไปบนดอกบัวสีแดงสดที่มีขนาดครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งลี้บานสพรั่งเหนือท้องสมุทรโลหิต เมื่ออยู่ในฮั่นฝูสีแดงฉาน กอปรกับนัยน์ตาสีฟ้าหม่นน่าประหลาดคู่นั้น ทำให้เขากลายเป็นอสูรในตำนานที่ผุดขึ้นจากขุมนรกโลหิต ท่วงท่าสง่างามอย่างน่าตกตะลึง

“เป็นอย่างไรบ้าง เฉินซี ได้เห็นเขตแดนเต๋ากร่อนโลหิตของข้าแล้วสินะ ได้ยินว่าเจ้าเข้าถึงเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว น่าเสียดายที่ยังด้อยกว่าข้าอยู่ดี! ฮ่า ๆๆ!” เสียงหัวเราะแหลมเล็กของหลัวซิ่วดังลั่น ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง “รู้ไหมว่าเหตุใดข้าจึงต้องวิ่งไล่ตามเจ้า เพราะข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังบางอย่างที่มีเอกลักษณ์ในกายของเจ้าอย่างไรล่ะ! มันคือกลิ่นอายแห่งหกวิถีสังสารวัฏและเพลิงยมโลกชำระบาป เมื่อใดที่ข้าได้มาครอบครองจะทำให้ เขตแดนเต๋ากร่อนโลหิตที่ข้าฝึกฝนเพิ่มพูนอำนาจมากขึ้นจนแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางไม่อาจต่อกรกับข้าได้อีกต่อไป”

หกวิถีสังสารวัฏ? เพลิงยมโลกชำระบาปอย่างนั้นหรือ?

ทันใดนั้นเฉินซีก็นึกขึ้นได้ว่าได้เก็บระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารไว้ในแหวนมิติ สมบัติล้ำค่าสุดแสนลี้ลับเหล่านี้เขารับมาจากซูเหลิ่งและไม่รู้ด้วยว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร

แต่หลิงไป๋เคยให้ข้อสรุปไว้ว่าสมบัติล้ำค่าทั้งสองชิ้นนี้น่าจะมาจากหกวิถีสังสารวัฏแห่งยมโลก แต่ในเวลานั้นเฉินซีรู้สึกว่าไร้สาระเกินไปจึงไม่ได้จริงจังกับพวกมันเท่าใดนัก ตอนนี้เมื่อมาได้ยินคำพูดของหลัวซิ่ว เขาจึงคิดง่าย ๆ อยู่ในใจว่าบางทีสมบัติล้ำค่าสองชิ้นนี้อาจเกี่ยวข้องกับการหกวิถีสังสารวัฏก็เป็นได้

“ว่าอย่างไร นึกออกหรือยัง” หลัวซิ่วถามขึ้นมาอีก ขณะที่คนพูดทำหน้าทำตาล่อหลอกราวกับแมวจับหนู

“เจ้าคงกำลังพูดถึงสิ่งนี้ใช่ไหม” ขณะเดียวกันเฉินซีก็ยื่นมือที่ถือระเบียนแดนมรณะออกไป ทันทีที่สิ่งนี้ปรากฏ รัศมีอันใหญ่โตอลังการและเที่ยงธรรมก็พรั่งพรูออกมา ภูตผีวิญญาณอาฆาตจำนวนมหาศาลพลันทะลักออกมารอบท้องทะเลโลหิต สีหน้าของพวกมันโหดเหี้ยมอำมหิต พร้อมกับหวีดร้องเสียงแหลมอย่างชั่วร้ายเหมือนกับจะพยายามคว้าระเบียนแดนมรณะให้ได้ แต่พวกมันก็ถูกท้องทะเลโลหิตตรึงไว้อย่างแน่นหนา และไม่ว่ามันทุกตัวจะโหยหวนตครวญครางสักเพียงใด ก็ไม่อาจเข้าใกล้เฉินซีได้มากกว่านั้น

“นั่นแหละ! นั่นแหละ! สิ่งนั้นแหละ! พลังที่ข้าได้กลิ่นคือสิ่งที่จ้าถือ! พลังบริสุทธิ์แห่งยมโลก! เมื่อข้าได้ดูดซับพลังของสิ่งนั้น ไยข้าจะต้องกังวลว่าจะกำจัดพวกภูตผีวิญญาณอาฆาตแห่งท้องทะเลโลหิตเหล่านี้ไม่ได้ด้วยเล่า เฉินซีส่งมันให้ข้าแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะหนีรอดจากการไล่ล่าของข้าไปได้ ต่อให้วันนี้เจ้าจะทำลายยันต์เคลื่อนย้ายของตัวเองไปแล้วก็ตาม!” กล่าวจบ ร่างของหลัวซิ่วก็สั่นสะท้าน ขณะที่ดวงตาสีฟ้าหม่นของเขาสาดประกายแห่งความละโมบและปรารถนาอย่างแรงกล้า เวลานี้เขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้สูบกลืนระเบียนแดนมรณะเข้าสู่ร่างแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น

‘กำจัดภูตผีวิญญาณอาฆาตแห่งท้องทะเลโลหิตอย่างนั้นหรือ หรือว่าพลังจากสมุดระเบียนนี้จะสามารถต้านทานภูตผีวิญญาณอาฆาตและปีศาจร้ายได้?’

แม้ในหัวของเฉินซีจะมีความคิดวนเวียนอยู่เต็มไปหมด ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มกลับยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “ข้ายังมีของอีกอย่าง อยากเห็นหรือไม่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]