บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 139

บทที่ 139 ค่ายกลคุกหมากล้อมสามพันเชือด

บทที่ 139 ค่ายกลคุกหมากล้อมสามพันเชือด

ทันทีที่เฉินซีลงมือกระบี่บินทั้งหกสิบสี่เล่มได้ก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สอง และอานุภาพของมันก็ทรงพลังจนสามารถทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางต้องรู้สึกหวาดกลัว นอกจากนี้ ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสยังมีชื่อเสียงในด้านรวดเร็ว เมื่อรวมเข้ากับเต๋าแห่งสายลมที่เฉินซีรู้แจ้งแล้ว ความเร็วของมันจึงไม่ต่างกับแสงที่สาดส่องหรือสายรุ้งที่ทะยานผ่านท้องฟ้า

การโจมตีครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าทรงพลังเสมือนสายฟ้าฟาด และความเร็วของมันรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า!

ศิษย์ของตระกูลซูหลายสิบคนไม่มีโอกาสที่จะหลีกหนีและถูกฆ่าตายในทันที ฉากที่กะทันหันเช่นนี้ทำให้ทุกคนต้องอกสั่นขวัญแขวน และทำให้การเคลื่อนไหวของพวกมันต้องหยุดชะงักไป

นี่เป็นผลลัพธ์ที่เฉินซีต้องการ การบุกช่วยกลุ่มของเฉินฮ่าวในครั้งนี้ไม่ได้กระทำโดยบุ่มบ่าม แต่เป็นเพราะเฉินซีเห็นโอกาส ในขณะที่ศิษย์ของตระกูลซูกำลังบุกทะลวงแนวป้องกันของเฟยเหลิ่งชุ่ยและคนอื่น ๆ พวกมันกำลังกู่ร้องด้วยความยินดีที่จะได้รับส่วนแบ่งจากของที่ริบมา ทำให้พวกมันไม่ได้ระวังข้างหลัง ดังนั้นเขาจึงลอบจู่โจมจากข้างหลัง เพื่อทำให้พวกมันขวัญหนีดีฝ่อ

ยามนี้ เขาเป็นเหมือนเสือดุร้ายที่กระโจนลงมาจากยอดเขา เล็งไปที่เหยื่อของเขาก่อนจะลงมืออย่างไร้ความปรานี กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดมีความคม รวดเร็ว และรุนแรง พวกมันแฝงไปด้วยพลังน้ำแข็งที่เย็นเยียบจากเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ของเขา และเมื่อรวมกับเคล็ดวิชาวาตะเหินทะยานที่ลึกซึ้งและรวดเร็ว เขาก็เป็นเหมือนลำแสงอันแหลมคมพุ่งทะยานสังหารผู้คนจากทุกทิศทุกทาง

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เฉินซีโจมตีอย่างเฉียบขาด การโจมตีแต่ละครั้งคร่าชีวิตโดยปราศจากความเมตตา ดาบท่องปรภพทั้งแปดเล่มต่างก็หมุนวนและพุ่งออกไป และผู้คนไม่กี่คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็เสียชีวิตในทันที

เพียงชั่วพริบตา ศิษย์อีกสิบกว่าคนของตระกูลซูก็ถูกสังหาร นี่เป็นเพราะเฉินซีต้องการหลีกเลี่ยงการเสียปราณแท้ของเขาและไม่เต็มใจที่จะใช้ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สองอีกต่อไป ถ้าเขาใช้กำลังทั้งหมดของเขา การโจมตีเพียงครั้งเดียวอาจจะฆ่าศิษย์ของตระกูลซูได้มากกว่านั้น

เมื่อซูเจียวที่อยู่ใกล้เคียงเห็นเฉินซีปรากฏตัว ในตอนแรกนางก็รู้สึกยินดี ทว่าเมื่อนางเห็นเขาสังหารศิษย์ของตระกูลซูมากกว่าสิบคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ความเดือดดาลก็เกิดขึ้นในใจของนาง และเมื่อเห็นว่าแรงกดดันของเฉินซีนั้นเหมือนกับคลื่นยักษ์ถาโถม ซึ่งกวาดล้างทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นางก็รู้สึกเกรงกลัวและตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า “อย่าไปพัวพันกับมัน! ล่าถอยออกมาและตั้งค่ายกลซะ!”

ศิษย์ของตระกูลซูถูกเฉินซีโจมตีจนถึงจุดที่พวกมันรู้สึกสับสนมาตั้งนานแล้ว และเมื่อพวกมันได้ยินคำสั่งนี้ ราวกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากความฝัน พวกเขาละการเผชิญหน้าและล่าถอยกลับอย่างรวดเร็วเพื่อมาบรรจบกันที่ตำแหน่งของซูเจียว

เฉินซีจะเฝ้าดูพวกมันหนีไปได้อย่างไร? ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเมื่อซูเจียวสร้างค่ายกลได้สำเร็จ สถานการณ์ที่เขาเปิดฉากโจมตีด้วยความยากลำบากจะกลายเป็นไร้ค่าและกลายเป็นสถานการณ์ล่อแหลมต่อเขาในทันที ทันใดนั้นเอง ร่างของเฉินซีก็พุ่งทะยานพร้อมกับปราณกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มได้ผสานกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่เคลื่อนไปสกัดกั้นพวกมันจากทางอีกด้าน

แต่น่าเสียดายที่ศิษย์ของตระกูลซูฟื้นคืนสติมาได้แล้ว และเสียงตะโกนที่ดังของซูเจียวทำให้พวกมันหาเสาหลักยึดเหนี่ยวจิตใจได้ ดังนั้นพวกมันจึงล่าถอยไปพร้อมกับต่อต้านเฉินซี และภายใต้ราคาที่จ่ายไปด้วยการสูญเสียศิษย์ไปสองคน ในที่สุดพวกมันก็มาบรรจบกับซูเจียว

ในขณะนี้ เนื่องจากการปรากฏตัวของเฉินซี ฝ่ายของซูเจียวจึงได้ยกเลิกการโจมตีเฉินฮ่าวเช่นกัน และกองกำลังทั้งสองได้รวมกันอย่างรวดเร็วเพื่อก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่กักขังเฉินซี เฉินฮ่าว และกลุ่มของเฟยเหลิ่งชุ่ยไว้ภายในอีกครั้ง

เฉินซีรู้ว่าเขาได้สูญเสียโอกาสที่จะทำลายล้างศัตรูของเขาอย่างรวดเร็วไปแล้ว จึงไม่ได้ไล่ล่าพวกมันอีกต่อไป จากนั้นเขาก็มองไปยังกลุ่มของเฟยเหลิ่งชุ่ย และประสานมือของเขาขณะที่กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าเฉินซี ขอขอบคุณพวกท่านที่ไม่ทอดทิ้งน้องชายของข้า ข้านั้นรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง เอาไว้ในภายภาคหน้า ข้าจะให้รางวัลใหญ่แก่พวกท่านทุกคนอย่างแน่นอน”

เมื่อคำพูดของเฉินซีเข้าหูกลุ่มของเฟยเหลิ่งชุ่ย ก็ทำให้พวกเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก และรู้ว่าพวกเขารอดพ้นจากชะตากรรมที่จะถูกฆ่าตายได้ชั่วขณะ

แต่เมื่อพวกเขาเห็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่ก่อตัวโดยเหล่าศิษย์ของตระกูลซูที่อยู่รายรอบเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ หัวใจของพวกเขาก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่อีกครั้งและการแสดงออกของพวกเขาก็เคร่งขรึมในทันที

“ท่านพี่!” เฉินฮ่าวก้าวเข้ามาขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก และเขากล่าวอย่างมีความสุขว่า “ข้ารู้ว่าท่านจะต้องมา”

“จงอย่าสู้อย่างสิ้นหวังในอนาคต หากเจ้าคิดว่าชนะไม่ได้ก็จงหนี มันไม่มีสิ่งใดที่ต้องอาย” เฉินซีกล่าวด้วยเสียงต่ำ ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่สิ้นหวังทว่าไม่ยอมแพ้ของเฉินฮ่าว เขารู้สึกตกใจและกังวลเป็นอย่างมากว่า หากเฉินฮ่าวพบกับศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ในอนาคต เด็กหนุ่มอาจจะต้องตายเพราะความดื้อรั้นของตนเอง

“อืม…” เฉินฮ่าวก้มศีรษะลงและตอบอย่างแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเฉินซี

ด้วยศัตรูตัวฉกาจที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา เฉินซีรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสอนบทเรียนให้แก่เฉินฮ่าว จึงทำได้เพียงถอนหายใจและไม่ได้กล่าวอะไรอีก

“เจ้าคือเฉินซี ผู้ที่สังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกหนึ่งคนของตระกูลซูหรือ?” เฟยเหลิ่งชุ่ยมองไปที่เฉินซีด้วยแววตาที่สดใส ราวกับนางได้ค้นพบทวีปใหม่และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่เบื้องหลังเฟยเหลิ่งชุ่ยก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาจ้องมองไปที่เฉินซีด้วยสีหน้าพิกล ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงซึ่งเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันคือคนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา

“เรามาจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ากันก่อนดีกว่าหรือไม่?” เฉินซีหลีกเลี่ยงการตอบคำถามและเขาก็จ้องไปยังซูเจียวที่อยู่ห่างออกไป

“ตกลง” เฟยเหลิ่งชุ่ยและคนอื่น ๆ รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนทนา และพวกเขาก็หยุดกล่าวคำทันที ก่อนที่จะมองไปยังศิษย์ของตระกูลซูที่อยู่รายรอบ

ในขณะนี้ ภายใต้การนำของซูเจียว นอกจากคนอีกยี่สิบกว่าคนที่ถูกเฉินซีสังหารแล้ว ศิษย์ของตระกูลซูที่เหลืออีก 108 คนก็ได้ก่อค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นอีกครั้ง คนสามคนก่อตัวเป็นวงกลม วงกลมสามวงได้ก่อตัวเป็นวงแหวน ก่อนที่วงแหวนสามวงจะขยายออกเป็นกลุ่ม จากนั้นกลุ่มก้อนนั้นก็เรียงซ้อนกันเป็นวงแหวน จนพวกเขาดูเหมือนละอองคลื่นจำนวนมากที่ล้อมรอบตามจุดตำแหน่งที่แปลกประหลาด

ทันทีที่ค่ายกลขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น แรงกดดันมหาศาลพลันจู่โจมพวกเขามาจากทุกทิศทาง ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันจนถึงขีดสุด ราวกับว่าพวกเขาถูกจองจำอยู่ในคุกที่ไร้ซึ่งหนทางหลบหนี

“สิ่งนี้คือค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีของตระกูลซู ด้วยหลักการที่ว่า หนึ่งสร้างสอง สองสร้างสาม และสามสร้างทุกสิ่ง มันจึงถูกสร้างขึ้นจากองค์ประกอบของหมากล้อมซึ่งแฝงด้วยเจตนาที่จะปิดล้อมและทำลายล้าง นอกจากนั้น พลังของทุกคนสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ และตราบใดที่หนึ่งในนั้นถูกโจมตี พลังโจมตีของมันจะถูกคนอื่น ๆ สลายไป ด้วยอานุภาพเช่นนี้ มันจึงทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง” เฟยเหลิ่งชุ่ยอธิบายอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางเข้าใจค่ายกลขนาดใหญ่ตรงหน้าพวกเขาอย่างถ่องแท้

“มันทรงพลังจริง ๆ” เฉินซีพยักหน้า พลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้ง 108 คน ถูกซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ซึ่งแทบจะทัดเทียมได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]