บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 138

บทที่ 138 ลงมือ!

บทที่ 138 ลงมือ!

เมื่อเห็นเฉินฮ่าวและศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอีกเจ็ดคนติดอยู่ในวงล้อม เฉินซีก็ยังไม่ได้รีบเข้าไปช่วย

เนื่องจากศิษย์ของตระกูลซูกว่าร้อยคนได้รวมตัวล้อมกันเป็นวงกลมอยู่กลางอากาศ กำลังสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ที่แลดูแปลกประหลาด ซึ่งดูคล้ายกับมังกรที่อาบไปด้วยแสงอันไร้ขอบเขตและมีขนาดยาวอย่างยิ่งยวด อีกทั้งพลังทั้งหมดของศิษย์เหล่านั้นได้รวมตัวกันจนปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ซึ่งสามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้

สิ่งนี้เองทำให้เฉินซีไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างหุนหันพลันแล่น ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็สงสัยเป็นอย่างมากว่า เหตุใดเฉินฮ่าวและศิษย์ทั้งเจ็ดจึงสามารถยืนหยัดได้นานขนาดนี้

ในสนามรบ เฉินฮ่าวถือกระบี่ในมือซ้ายและฟันลงมาอย่างรวดเร็ว

มันเป็นการฟันที่เรียบง่ายมาก แต่ก็ทรงพลังและเที่ยงธรรม เต็มไปด้วยรัศมีอันเย็นยะเยือกพุ่งไปข้างหน้าด้วยเจตจำนงที่ไม่ย่อท้อ ในเวลานี้เอง ทุก ๆ ที่ที่ปราณกระบี่ผ่านพ้นไป กระแสลมบนท้องฟ้าจะเริ่มปั่นป่วนและพังทลายลง อีกทั้งยังเผยให้เห็นร่องรอยของการเผาไหม้จาง ๆ ราวกับว่าท้องฟ้ากำลังจะถูกเผา

ปัง!

มันเหมือนกับว่าพวกเขาถูกทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำกระแทกใส่อย่างรุนแรง และขบวนทัพขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นของศิษย์ตระกูลซูกว่าร้อยคนก็สั่นสะเทือนอย่างกะทันหัน

จากนั้นคลื่นเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจและโทสะได้ดังขึ้น ราวกับว่ามีใครบางคนสูญเสียครั้งใหญ่จากการโจมตีครั้งนี้

“ศิษย์น้องฟันได้ดี!” หญิงสาวในชุดสีขาวที่ประดับเรือนผมด้วยปิ่นปักผมรูปหงส์เพลิงและภาพลักษณ์อันสง่างามราวกับภาพวาดที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินฮ่าวอุทานออกมา

ขณะที่นางพูด อาวุธคู่หนึ่งซึ่งเหมือนดาบแต่ก็ไม่ใช่ จะว่าเหมือนกระบี่ก็ไม่เชิง ปรากฏขึ้นในมืออันบอบบางของหญิงสาวในชุดขาว ใบมีดของอาวุธนี่มีรูปร่างเหมือนฟันปล่อยพลังที่ดุร้ายอย่างไร้ขอบเขต

นี่คือศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดคู่หนึ่งที่มีนามว่า ‘ดาบคู่อัสนีผสาน’ เล่มหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกเล่มเป็นสีม่วง และเป็นอาวุธคู่ซึ่งประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้มอบให้กับหญิงสาวในชุดขาว

ว่ากันว่า เมื่อหลายปีก่อน ดาบคู่อัสนีผสานนี้เคยเป็นศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ ซึ่งผู้อาวุโสแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเคยใช้กำจัดปรมาจารย์นับไม่ถ้วนมาแล้ว ทำให้ความคับแค้นของผู้ที่ถูกสังหารนับไม่ถ้วนสถิตอยู่ในดาบคู่นี้ มันเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ดุร้ายและไร้ความปรานี แต่เนื่องจากผู้อาวุโสคนนั้นใช้มันสังหารผู้คนไปมากมาย ในยามที่เขาพยายามท้าทายภัยพิบัติจากสวรรค์ เขาจึงถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ด้วยพลังแห่งอสนีบาต ไม่เพียงแต่เขาจะเสียชีวิตเท่านั้น แต่กลับทำให้ดาบคู่อัสนีผสานต้องเสียหายอย่างหนัก จนลดระดับจากระดับสวรรค์เหลือเพียงระดับมนุษย์

ถึงกระนั้น ในบรรดาศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ ดาบคู่อัสนีผสานก็ยังคงอยู่ในระดับสูงสุด และพวกมันก็ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง

“หิมะโปรยปรายพันโยชน์!” เจตนาฆ่าฟันแวบผ่านแววตาของหญิงสาวที่สวมชุดขาว เพียงชั่วพริบตา ปราณดาบจำนวนมหาศาลก็แทงออกไป พวกมันเป็นเหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมาสู่สวรรค์และโลก ปราณดาบทุกสายมีทั้งสีฟ้าและสีม่วง พวกมันมีขนาดเท่าฝ่ามือ ในขณะที่พวกมันโปรยปรายลงมา ราวกับหิมะที่ลอยอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ได้ปลดปล่อยอานุภาพอันดุร้ายซึ่งไม่อาจต้านทานได้ออกมา

ปัง! ปัง! ปัง!

ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องบนค่ายกลขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นโดยศิษย์ของตระกูลซูกว่าร้อยคน ใบมีดสีฟ้าและสีม่วงที่มีขนาดเท่าฝ่ามือพลันพุ่งลงมาเหมือนสายฟ้าที่เกรี้ยวกราด รุนแรงและเย็นเฉียบ พวกมันทำให้เกิดประกายไฟกระจายออกไปอย่างไม่รู้จบ

“กระบวนท่าของศิษย์พี่หญิงเหลิ่งชุ่ยก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน” เฉินฮ่าวที่อยู่ใกล้เคียงเหวี่ยงกระบี่ในมือเขาเพื่อต้านทานการโจมตีที่มาจากทุกทิศทาง ขณะที่เขายกย่องอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จบ

หญิงสาวในชุดขาวผู้มีท่วงท่าสง่างามราวกับภาพวาดนี้คือ เฟยเหลิ่งชุ่ย ศิษย์เอกอันดับหนึ่งของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร

หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะสามารถต้านทานได้จนถึงตอนนี้ เต๋ากระบี่เที่ยงธรรมของเฉินฮ่าวนั้นงดงาม ทรงพลัง และเที่ยงธรรม ส่วนหญิงสาวคนนั้นก็มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ และความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งของนางนั้นเริ่มมีแววจะควบแน่นเป็นเขตแดนเต๋าได้บ้างเล็กน้อย

‘หากนางและเฉินฮ่าวยืนเคียงบ่าเคียงไหล่และต้านทานการโจมตีต่อหน้าคนอื่น ๆ พวกเขาจะยืนหยัดไปได้อีกสักระยะ’ เฉินซีที่อยู่ห่างออกไปไกลมากชื่นชมอยู่ในใจ

แต่จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วขณะที่กวาดสายตาไปยังศิษย์ของตระกูลซู ‘ช้าก่อน! ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ แต่แค่ปิดล้อม แต่พวกมันไม่ได้คิดที่จะตัดสินเป็นตาย ราวกับกำลังประวิงเวลาเพื่อรออะไรบางอย่าง…’

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็เข้าใจเจตนาของศิษย์ตระกูลซูในทันที เห็นได้ชัดว่าพวกมันต้องการบีบให้เขาออกไป จากนั้นก็จะลงมือบดขยี้ทั้งตัวเขาและเฉินฮ่าวไปพร้อม ๆ กัน!

“ศิษย์พี่หญิงเหลิ่งชุ่ย พวกศิษย์ตระกูลซูได้ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่และกักขังเราไว้ที่นี่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ปราณแท้ของเราจะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเราไม่สามารถฝ่าออกจากวงล้อมได้ ผลที่ตามมาก็คงยากที่จะจินตนาการ”

เฟยเหลิ่งชุ่ยตวัดดาบคู่อัสนีผสานไปรอบ ๆ ปราณดาบประหนึ่งกระสวยที่กวาดออกไปปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมด มันแฝงไปด้วยพลังที่ดุร้ายและเสียดแทงขณะที่พวกมันสกัดการโจมตีทั้งหมดที่อยู่โดยรอบ

เมื่อนางได้ยินที่ศิษย์น้องพูด นางก็ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้วอกแวก มหาค่ายกลข่ายสวรรค์ที่เหล่าศิษย์ของตระกูลซูก่อขึ้น แข็งแกร่งเกินกว่าจะทำลายได้ และการจะฝ่าออกไปจากวงล้อมนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ในตอนนี้ เราจึงทำได้เพียงแต่ต้านทานให้ดีที่สุดเพื่อรอคอยให้ศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายมาช่วยเหลือเรา”

“ศิษย์พี่หญิง ข้าเกรงว่าเราจะมีปัญหาในครั้งนี้ ข้าไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปแล้ว ต่อให้ศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายมาช่วยเรา ข้าเกรงว่ามันก็ไม่แตกต่างเลยแม้แต่น้อย” ในตอนนี้เอง ศิษย์อีกคนก็ร้องออกมาอย่างกระหืดกระหอบ

“ศิษย์น้องชิงหลัว เจ้าไม่ควรพูดสิ่งที่ทำให้ขวัญเสียเช่นนี้ ผลลัพธ์ยังมิอาจรู้ได้จนกว่าเจ้าจะต่อสู้จนถึงที่สุด” เฟยเหลิ่งชุ่ยขึ้นเสียงทันทีและกล่าวต่อว่า “ศิษย์น้อง พวกเรามาที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เพื่อขัดเกลาอารมณ์ของตัวเองและทำให้ดวงจิตแห่งเต๋ามั่นคง ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ทุกคนต้องยืนหยัด เพราะการอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากย่อมเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการขัดเกลาตนเอง หลังจากที่เราเผชิญกับหายนะนี้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเราอย่างแน่นอน!”

“ศิษย์พี่หญิงท่านกล่าวถูกแล้ว แต่…” ชายหนุ่มที่ชื่อชิงหลัวลังเลที่จะพูด

“แต่อะไร?” เฟิงเหลิ่งชุ่ยขมวดคิ้ว

“ศิษย์พี่หญิง ข้ากลัวว่าจะถูกท่านตำหนิ แต่เรื่องนี้เหมือนก้างปลาติดคอทำให้อึดอัดจนพูดไม่ออก” ชิงหลัวกัดฟันและกล่าวว่า “เหตุผลที่ตระกูลซูรุมล้อมพวกเรานั้นเป็นเพราะศิษย์น้องเฉินฮ่าว ซึ่งทำให้เรากำลังประสบภัยพิบัติที่ไม่สมควรจะได้รับ!”

“พวกเจ้าก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ?” ใบหน้าของเฟยเหลิ่งชุ่ยเย็นชาขณะที่จ้องมองผ่านศิษย์คนอื่น ๆ เมื่อนางเห็นพวกเขาทั้งหมดยังคงนิ่งเงียบ นางก็เข้าใจทุกอย่างในทันที จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เฉินฮ่าวเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้า เขามาจากที่เดียวกับเรา และมีหัวใจและความคิดเช่นเดียวกับเรา เรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของนิกายดาบเมฆาพเนจรเช่นเดียวกัน ข้าขอถามหน่อย หากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งทำให้ศัตรูที่น่าเกรงขามต้องขุ่นเคือง แต่นิกายของพวกเจ้ากลับไม่ยื่นมือช่วย พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?”

“ใช่แล้ว ศิษย์พี่หญิงเหลิ่งชุ่ยกล่าวได้ถูกต้อง เราทุกคนเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เราควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยหัวใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเราละทิ้งพี่น้องที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ในยามนี้ ย่อมถูกพี่น้องคนอื่น ๆ ในสำนักเหยียดหยามและทอดทิ้งอย่างแน่นอนในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นเรายังจะมีหน้าเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอีกหรือ? ศิษย์น้องเฉินฮ่าว ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วย!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]