บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1458

สรุปบท บทที่ 1458 เทวาพร่างพรม: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

อ่านสรุป บทที่ 1458 เทวาพร่างพรม จาก บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดย novelones

บทที่ บทที่ 1458 เทวาพร่างพรม คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย novelones อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 1458 เทวาพร่างพรม

……………………………………………………………………..

บทที่ 1458 เทวาพร่างพรม

ใบหน้าของซุ่ยเหรินถิงมืดมนลงเมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากหลียาง ไม่นานนักเขาก็พูดขึ้นด้วยท่าทางหยอกเย้า “อะไรกัน? สหายเต๋าหลียางมีที่อื่นให้ต้องรีบเร่งไปถึงหรืออย่างไร จึงได้ร้อนใจนัก?”

คราวนี้เป็นฝ่ายหลียางที่เริ่มหงุดหงิดเล็ก ๆ ขึ้นมาแทน “หากไม่ใช่ว่ามีเจ็ดขุนพลสังหารเทพของนิกายอำนาจเทวะอยู่ใกล้ ๆ นี้ เจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรือว่าที่สามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้ด้วยพึ่งพาแค่ประกาศิตอำนาจเทวะเพียงอย่างเดียว?”

เจ็ดขุนพลสังหารเทพ!

ฉับพลันนั้น หัวใจของจ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิงสั่นสะท้าน คนพวกนั้นคือบุคคลทั้งเจ็ดแห่งนิกายอำนาจเทวะซึ่งได้กลายเป็นเทพเมื่อนานมาแล้ว กว่าจะไปถึงจุดนั้น พวกเขาต้องเผชิญกับการรบราฆ่าฟันภายในภพทั้งสามเคียงข้างกับประมุขนิกายอำนาจเทวะมานับครั้งไม่ถ้วน และในตอนนี้พวกเขาก็ได้ครอบครองพลังเทวาอันฉกาจ หากเปรียบเทียบกันแล้ว ความแข็งแกร่งของคนทั้งสามนั้นไม่อาจเทียบได้กับขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ดแม้แต่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น จากคำพูดของหลียาง ก็แสดงว่าเจ็ดขุนพลสังหารเทพนั้นได้มาถึงที่นี่นานแล้ว!

จะไม่ให้พวกเขาตกใจได้อย่างไร?

แม้ว่าคนอื่น ๆ จะไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับขุนพลสังหารเทพมาก่อน แต่การที่พวกเขาสามารถทำให้หลียางกล่าวถึงการมีอยู่ของพวกเขาได้ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าเจ็ดขุนพลสังหารเทพนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่ซุ่ยเหรินถิงได้ยินเช่นกัน ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจรักษาภาพลักษณ์อันสงบนิ่งได้อีกต่อไป “นี่เจ้ารู้แล้วอย่างนั้นหรือ?”

หลียางตอบทั้งน้ำเสียงดูแคลน “เจ้าคิดว่าพวกเราโง่มากเลยสินะ”

ตู้ม!

ทันใดนั้น คลื่นแห่งความผันผวนก็ลั่นกัมปนาทจากเหนือผืนฟ้า ชั่วขณะหนึ่ง ฝนเทวาก็พร่างพรมจากสรวงสวรรค์ มันเหมือนกับหมอกที่ไม่อาจจับต้องซึ่งปกคลุมไปทั้งฟ้าดินด้วยประกายอันศักดิ์สิทธิ์

ท่ามกลางสายตามากมายที่เต็มไปด้วยความสนใจ ฉับพลัน ร่างทั้งเจ็ดที่สง่างามด้วยรัศมีเทวะก็ปรากฏตัวขึ้น เท้าเหยียบย่างบนแสงโชติ เรือนกายเหล่านั้นอาบไล้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่ทอดไกลไปทั่วแดนสวรรค์ ประกายวับวาวของมันไขแสงให้ทั้งจักรวาลนับอนันต์!

รัศมีอันผ่าเผยไม่ได้มีเพียงความแกร่งกล้าซึ่งฉกาจล้ำเท่านั้น หากยังทำให้แม้แต่ฟ้าดินต้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นและยอมจำนน ไม่มีสิ่งใดในทั่วภพแดนนี้กล้านี้จะดูหมิ่นดูแคลนเทพเซียนทั้งเจ็ดนี้แม้แต่สิ่งเดียว

ทันทีที่พวกเขามาถึง ผืนฟ้าและแผ่นดินกว้างใหญ่ก็พลันแน่นขนัดไปด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง มันรุนแรงเสียจนเวลาและห้วงมิติตกอยู่ใต้ความโกลาหล หยินหยางโคจรหมุนวนกลับทิศทาง ผืนปฐพีตกสู่ความสับสนวุ่นวาย ไม่ว่าแห่งหนใด ก็ล้วนแต่ถูกครอบงำด้วยบรรยากาศที่อันตรายและน่าสะพรึงขวัญ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือเจ็ดขุนพลสังหารเทพแห่งนิกายอำนาจเทวะ!

แม้แต่ตัวเฉินซีเองก็หายใจไม่ทั่วท้อง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่บีบคั้นให้กลายเป็นเพียงคนตัวเล็กจ้อย ประหนึ่งเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวความคิดหรือการปรายตามองเพียงหนึ่งครั้งจากเทพเซียนทั้งเจ็ดนี้ ก็ยิ่งใหญ่พอจะทำให้เขาถูกบดขยี้อย่างง่ายดาย!

โชคดีที่หลียางและเหมิงซิงเหอยืนอยู่เคียงข้าง รัศมีอันน่าสยดสยองสลายไปในพลันยามเมื่อคนทั้งสองอยู่ใกล้ สิ่งนี้ส่งผลให้สีหน้าของเฉินซีค่อย ๆ กลับมาดูดีอย่างเคย

แต่ถึงอย่างนั้น ประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งนี้ก็ทำให้เฉินซีตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของเจ็ดขุนพลสังหารเทพแห่งนิกายอำนาจเทวะนี้น่าเกรงขามเพียงใด!

ด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจนี้ จิตใจของเฉินซีและคนอื่น ๆ ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงหลียางและเหมิงซิงเหอเท่านั้นที่ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งมาได้จนถึงตอนนี้

“ศิษย์ซุ่ยเหรินถิงคารวะอาจารย์ลุง” เมื่อซุ่ยเหรินถิง จั่วชิวเป่ยหยง และจั่วชิวเหลิงฮวาเห็นเทพเซียนทั้งเจ็ดปรากฏตัว พวกเขาก็รีบแสดงความเคารพด้วยความนบนอบ

“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี สนใจเป้าหมายของเราก่อน” ชายวัยกลางคนซึ่งดูคล้ายจะเป็นผู้นำกลุ่มพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ เรือนกายอันกำยำโอบพันไว้ด้วยโซ่ตรวนเทวะสีแดงเลือด ความสูงใหญ่ประหนึ่งภูเขาไฟตระหง่านซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังเทวะน่าเกรงขามที่พร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกขณะ

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ขุนพลสังหารเทพคนอื่น ๆ ก็เปี่ยมได้ด้วยพลังเทวาไม่ต่างกัน กายของพวกเขาถูกห่อหุ้มซึ่งประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเป็นเจ้านรกผู้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

“นั่นคือขุนพลศักดิ์สิทธิ์ฉือเหลียน คนอื่น ๆ คือขุนพลศักดิ์สิทธิ์ชิงโม่ ขุนพลศักดิ์สิทธิ์หวงจง ขุนพลศักดิ์สิทธิ์เฮยหลิง ขุนพลศักดิ์สิทธิ์จินกวง ขุนพลศักดิ์สิทธิ์หลานฉ่าย และขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไป๋คู พวกเขาทุกคนอยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา และเป็นหมาล่าเนื้อข้างกายเจ้านิกายแห่งนิกายอำนาจเทวะ มีชื่อเสียงในเรื่องการล่าสังหารมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล” หลียางอาศัยจังหวะนี้ในการอธิบายภูมิหลังของผู้มาใหม่อย่างรวดเร็ว

“เจ็ดขุนพลสังหารเทพเหล่านี้อยู่เบื้องหลังภัยพิบัติทำลายล้างปราชญ์เมื่อครั้งบรรพกาล รวมไปถึงภัยพิบัติเทพอสูรที่เกิดขึ้นเมื่อล้านปีก่อน พวกเขาคร่าชีวิตของผู้บ่มเพาะในภพทั้งสามไปมากมายนับไม่ถ้วน ถึงอย่างนั้นการที่พวกเขาเฝ้าติดตามประมุขนิกายอำนาจเทวะแทบจะทุกฝีก้าวก็ทำให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงทัณฑ์สวรรค์และภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงสูญสลายไปนานแล้ว”

“สรุปก็คือ พวกเจ้าทุกคนมีหน้าที่แค่ระวังตัวและจับตาดูการต่อสู้นี้เอาไว้ให้ดี อย่าได้ทำการใดตามอำเภอใจเป็นอันขาด เพราะพวกเจ้าไม่มีทางต่อต้านสิ่งมีชีวิตในระดับนี้ได้อย่างแน่นอน”

หลังจากที่หลียางชี้แนะพวกเขาเสร็จ นางก็หันไปเตือนเฉินซีเป็นพิเศษ “ศิษย์น้องเล็ก จงจำไว้ว่าเจ้ายังมีข้าอยู่ อย่าได้กดดันตัวเองมากนัก”

เมื่อหญิงสาวพูดจบ ไม่เพียงแค่เฉินซีเท่านั้น แม้แต่จ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในขอบเขตเทวาก็ถูกลดขั้นให้เป็นเพียงสักขีพยานในการต่อสู้…

สรรพสิ่งบนโลกล้วนยากจะคาดเดา

เมื่อความห่างชั้นของคนสองคนเกินเส้นที่ขีดไว้ ก็มีแต่ต้องก้มหน้ายอมรับความเป็นจริงเท่านั้น

“หลียาง ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผ่านมาหลายปี เจ้าจะยังจำพวกข้าทั้งเจ็ดคนได้” ตอนนั้นเอง ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ฉือเหลียนก็พูดขึ้น โซ่สีแดงที่พันรอบตัวสว่างวาบราวมังกรเพลิง ทำให้เขาดูศักดิ์สิทธิ์และทรงพลังมากยิ่งขึ้น

หลียางยิ้ม จากนั้นนางก็แนะนำพวกนางต่อคนอื่น ๆ ผ่านกระแสปราณ “ทั้งสี่คนนี้เป็นประมุขของตำหนักจตุรวิญญาณแห่งตำหนักเต๋าหนี่หวา คนที่เป็นผู้นำคือเจ้าตำหนักวิญญาณบูรพา หยวนเชอ ส่วนคนที่เหลือได้แก่เจ้าตำหนักวิญญาณประจิม คงหลิน เจ้าตำหนักวิญญาณทักษิณา อวี่ฉือว่าน และเจ้าตำหนักวิญญาณอุตรา อวิ๋นซู่”

“พวกนางทั้งสี่มีระดับการบ่มเพาะในขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา เรียกได้ว่าทัดเทียมกับเจ็ดขุนพลสังหารเทพของนิกายอำนาจเทวะ โดยเฉพาะท่านประมุขหยวนเชอแห่งตำหนักวิญญาณประจิม นางเป็นสายใยวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นจากแสงโกลาหล ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเต๋า กล่าวคือความแข็งแกร่งของนางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้”

สำหรับสืออวี๋และเซียงหลิวหลีนั้น หลียางไม่ได้แนะนำพวกเขา

แต่ถึงอย่างนั้น เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าสตรีโฉมสะคราญและสง่างามซึ่งมีความสามารถทัดเทียมกับเจ็ดขุนพลสังหารเทพนั้นมีอยู่จริง

นี่คือทรัพยากรและกองกำลังของสามสุดยอดมหานิกาย โดยปกติแล้วพวกเขาจะวางตัวอยู่อย่างเรียบง่าย แต่ยามใดที่ต้องการเผยโฉมของตนต่อหน้าผู้คนทั้งโลกแล้ว พลังของพวกเขาก็เพียงพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายรู้สึกยำเกรงและไม่กล้าแม้แต่จะดูแคลน

ในขณะเดียวกัน เฉินซีทักทายสืออวี๋และเซียงหลิวหลี พวกเขาพูดคุยกันประมาณสองสามคำก่อนจะมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

อย่างไรเสีย ที่ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมต่อการพูดคุยนัก

อันที่จริง หลังจากที่กลุ่มของตำหนักเต๋าหนี่หวาปรากฏตัว บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน กระแสอากาศเนืองแน่นไปด้วยกลิ่นอายแห่งจิตสังหาร สามลมกระโชกแรงประหนึ่งพายุกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกขณะ

แม้ว่าเหตุการณ์ตรงหน้าก็เป็นเพียงการพูดคุยทักทายกันระหว่างหลียางและคนของตำหนักเต๋าหนี่หวาที่ดูไม่เป็นทางการนัก แต่ท้ายที่สุดพวกเขาล้วนกำลังเผชิญหน้ากับพลังของนิกายอำนาจเทวะทั้งสิ้น มันเป็นบรรยากาศที่แฝงไปด้วยการความมุ่งหมายล่าสังหารอันคละคลุ้ง

หากการทักทายนี้กระทำโดยคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาก็คงจะถูกฆ่าไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

เมื่อเจ็ดขุนพลสังหารเทพเห็นการปรากฏตัวของคนจากตำหนักเต๋าหนี่หวา สายตาของพวกเขาก็ยิ่งสะท้อนประกายเยือกเย็นมากขึ้น มันเป็นแววตาที่มีเพียงจิตสังหารอาบไล้

“ในเมื่อกองกำลังของตำหนักเต๋าหนี่หวาแสดงตัวแล้ว เขาเทพพยากรณ์ของเจ้าเล่า? ทั้งศิษย์เอกอู่เซวี่ยฉาน ศิษย์รองเซิ่งจี ศิษย์สามเที่ยอวิ๋นไห่ ไหนจะปราชญ์เฒ่าทั้งหลาย… ข้าเกรงว่าพวกเขาคงไม่เต็มใจที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่หรือไม่?” ทันใดนั้นฉือเหลียนก็พูดขึ้น ประกายแสงเทวะในดวงตาฉายแปลบปลาบ “อ้อ ไม่สิ ข้าจำผิดไป… อันดับสองเซิ่งจีหายตัวไปเมื่อนานมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาเทพพยากรณ์ของเจ้าก็คงไม่มีทางปล่อยให้เจ้ามาเสี่ยงที่นี่เพียงคนเดียวหรอกกระมัง?”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เหลือบมองเหมิงซิงเหอและแสร้งยิ้มอย่างไม่จริงใจนัก “สำหรับชายคนนั้น เขาเป็นศิษย์ของจักรพรรดิเต๋า อาชญากรแห่งสามภพ ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดของเขาเทพพยากรณ์อีกด้วย น่าเสียดายที่เจ้าได้รับสืบทอดเต๋าแห่งการล้างโลกาท้าทายสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ หากภัยพิบัติเริ่มต้นขึ้น เจ้าคงเป็นคนแรกที่ได้รับผลกระทบ”

เหมิงซิงเหอยิ้มเย็นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่าไม่ได้นึกแยแสต่อคำพูดเหล่านี้แม้แต่น้อย

แต่ถึงอย่างนั้น คำพูดเหล่านี้ก็ทำให้เฉินซีอดคิดขึ้นมาในใจไม่ได้ เต๋าแห่งการล้างโลกาท้าทายสวรรค์อย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าท่านผู้อาวุโสจี้อวี๋ และผู้อาวุโสฝูซี จะมีหนทางแสวงเต๋าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]