บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1463

บทที่ 1463 ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ

……………………………………………………………………..

บทที่ 1463 ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ

ขณะที่พูด ค้อนเหล็กก็ปรากฏขึ้นในมือของเที่ยอวิ๋นไห่

ค้อนเหล็กมีความยาวเพียงสี่ฉื่อ สีดำสนิท และมีโครงร่างที่ค่อนข้างหยาบ ดูธรรมดา แต่กลับให้ความรู้สึกสง่างาม ราวกับการหวนคืนสู่ความเรียบง่ายอีกครั้ง

เมื่อมันถูกถือไว้ในมือของเที่ยอวิ๋นไห่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ราวกับพัดใบธูปฤๅษี รัศมีอันสง่างามพลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผิวสีทองแดง เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หนาแน่น ควบคู่ไปกับร่างกายที่แข็งแกร่งดุจเจดีย์เหล็ก ส่งให้ร่างของเขาเปล่งรัศมีสง่างามยิ่งออกมา

เมื่อถึงเวลาลงมือ เที่ยอวิ๋นไห่ก็ไม่ลังเลเลยสักนิด เขาเคลื่อนที่ผ่านความว่างเปล่าก่อนที่จะทุบค้อนลงไปที่หัวของฉือเหลียน

โครม!

สวรรค์และปฐพีมืดลงทันทีที่เขาเหวี่ยงค้อน คุนเผิงคำรามลั่น มันถูกล้อมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีเข้มจำนวนนับไม่ถ้วน มันคำรามและบดขยี้ความว่างเปล่าให้กลายเป็นผง สร้างเหตตุการณ์ที่น่าตกตะลึงอย่างมาก

“มันจะมากเกินไปแล้ว!” ใบหน้าของฉือเหลียนมืดลง นับตั้งแต่เที่ยอวิ๋นไห่และปราชญ์เฒ่าปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองคนมักจะเพิกเฉยพวกเขาด้วยท่าทีสูงส่ง และตอนนี้เที่ยอวิ๋นไห่ยังโจมตีโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว สิ่งนี้ทำให้ฉือเหลียนโกรธมาก

ขณะที่พูด ร่างของเขาก็เปล่งประกาย ในขณะที่โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีแดงเข้มที่ห่อหุ้มร่างกายดิ้นสะบัดอย่างดุเดือด ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นขวานสีแดงเข้ม เข้าปะทะกับค้อนของเที่ยอวิ๋นไห่

โครม!

เสียงระเบิดของการปะทะกันดังก้องไปทั่ว พลังศักดิ์สิทธิ์พัดกระจายออกไปราวกับพายุ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น เช่นเสียงคร่ำครวญของเทพอสูร เลือดของทวยเทพหลั่งริน มหาเต๋าครวญคราง และความสับสนวุ่นวายอื่น ๆ อีกมากมาย

ร่างของฉือเหลียนซวนเซถอยกลับไปหลายสิบก้าว ในขณะที่ใบหน้าซีดขาวลงในพลัน

“ฮ่า ๆ ๆ! ข้าเป็นคนกักขฬะที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ข้าเชื่อเพียงค้อนที่อยู่ในมือเท่านั้น ฉือเหลียน แค่เจ้าคนเดียวมันไม่พอหรอก พวกเจ้าทุกคนเข้ามาพร้อมกันเลย” หลังจากโจมตีสำเร็จ เที่ยอวิ๋นไห่ก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างอาจหาญ ผิวหนังสีทองแดงที่ปกคลุมร่างกายพลุ่งพล่านด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เหวี่ยงค้อนอีกครั้งอย่างดุร้ายยิ่ง

“สู้ด้วยกัน! เราต้องไม่ปล่อยให้พวกมันทำลายค่ายกลได้โดยเด็ดขาด!” ฉือเหลียนกัดฟันขณะตะโกนขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและปะทะกับเที่ยอวิ๋นไห่อีกครั้ง

ความแข็งแกร่งของเที่ยอวิ๋นไห่ผู้นี้น่ากลัวเกินไป เขาเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงยิ่งในเขาเทพพยากรณ์ เชี่ยวชาญทักษะศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงมากมาย และฉือเหลียนก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับคนผู้นี้เพียงลำพัง

ขุนพลสังหารเทพอีกหกคนได้สะสมพลังเตรียมพร้อมไว้แต่ต้นแล้ว พวกเขาจึงพุ่งออกไปอย่างไม่ลังเล ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้

ชิงโม่ หวงจง และจินกวงเริ่มเคลื่อนไหว เพื่อเข้าร่วมผนึกกำลังกับฉือเหลียนจัดการเที่ยอวิ๋นไห่ ในขณะที่เฮยหลิง ไป๋คู และหลานฉ่ายพุ่งเข้าหานายท่านสี่ของเขาเทพพยากรณ์ ปราชญ์เฒ่า อย่างพร้อมเพรียง

“ฮึ่ม! คิดจะแยกโจมตีอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้าทุกคนมานี้!” ทันใดนั้น เที่ยอวิ๋นไห่ก็เหวี่ยงค้อนเหล็กเพื่อบังคับให้ฉือเหลียนกลับมา จากนั้นร่างของเขาก็เปล่งประกายขึ้น ในขณะที่ค้อนขนาดมหึมาถูกทุบออกไปนับครั้งไม่ถ้วนในทันที ปิดล้อมขุนพลสังหารเทพที่เหลือทั้งหมดไว้ภายใต้การโจมตีของตน!

ความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากเพียงลำพังและการดูถูกผู้เยี่ยมยุทธ์ทั่วทั้งโลกนี้ ทำให้เขามีกลิ่นอายของอำนาจสูงสุดอันน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง

“รนหาที่ตาย!”

“สารเลว! เจ้าประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”

การกระทำที่หยิ่งผยองอย่างยิ่งของเที่ยอวิ๋นไห่ ทำให้ขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ดโกรธเคืองอย่างยิ่ง พวกเขาหันมาโจมตีอย่างไร้ความเมตตา และใช้ไพ่ตายอย่างไม่มีออมมือ

ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสวรรค์และโลกเต็มไปด้วยรูปปั้นเทพเรียงทอดยาวไปหลายพันลี้ การต่อสู้อย่างดุเดือดกวาดทั่วสวรรค์ทั้งเก้า จนสวรรค์ โลก ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จมลงในความมืดมิด

นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างเหล่าทวยเทพ ที่เกินกว่าขอบเขตของสามภพแล้ว ความสามารถทุกอย่างที่พวกเขาใช้นั้น ล้วนเป็นมรดกสืบทอดมาจากวิถีแห่งสวรรค์สูงสุดของเหล่าทวยเทพ ทำให้เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ท้าทายสวรรค์เพียงใด

ยามนี้ ทั่วทั้งทวีปเนตรสวรรค์ต่างได้รับผลกระทบ ท้องฟ้ามืดมิด แผ่นดินมืดมน ความว่างเปล่าถูกทำลาย ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หายลับฟ้า โลกเริ่มพังทลาย ฟ้าฝนร้องคำรามปรากฏสายฟ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พลังศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลเข้ามาสร้างความปั่นป่วนสะเทือนโลก!

สิ่งมีชีวิตนับล้านบนทวีป ไม่ว่าจะมีระดับการฝึกฝนเท่าใด ต่างหวาดกลัวมากจนถึงจุดที่ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอลง และเริ่มหลบหนีไปทีละคน ด้วยความหวังที่ว่าจะสามารถหนีไปจากสถานที่วุ่นวายและปั่นป่วนนี้ได้โดยเร็วที่สุด

สหายขี้ขลาดบางคนตกใจจนหมดสติ บ้างก็ปัสสาวะราดด้วยความหวาดกลัวก่อนที่จะเป็นลมไป เกิดเป็นเหตุการณ์วุ่นวายโกลาหลขึ้นทั่วทั้งทวีป

ทั้งหมดนี้เกิดจาก ‘สงครามทวยเทพ’!

……

“หยาบคาย กักขฬะ ไร้อารยธรรม…. ศีลธรรมโลกเสื่อมลงทุกวัน ศีลธรรมเสื่อมถอย พวกเขารู้เพียงวิธีต่อสู้และฆ่าฟันเท่านั้น ช่างไม่มีมนุษยธรรม!” แต่ก็ยังมีอยู่บางคน ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ตัวอย่างเช่น ชายชราผมขาวในชุดคลุมขงจื๊อผู้นี้ที่ยังถอนหายใจด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ

คนผู้นี้คือศิษย์คนที่สี่ของเขาเทพพยากรณ์ ผู้ได้รับฉายาว่า ปราชญ์เฒ่า ส่วนนามที่แท้จริงถูกหลงลืมไปนานแล้ว เพราะเขาคุ้นเคยกับตำราทุกเล่มตั้งแต่สมัยบรรพกาลจนถึงปัจจุบัน และยังชอบบอกเล่าความหมายอันลึกซึ้งด้วยถ้อยคำสั้น ๆ จึงได้รับสมญานามว่า ปราชญ์เฒ่า

แต่หลังจากนั้น ชายชราก็ปิดปาก มือไพล่หลังก่อนจะลอยลงมาอย่างช้า ๆ นอกค่ายกลขจัดเทพ เขาเงยหน้าขึ้นมองเนตรทัณฑ์สวรรค์บนท้องฟ้า และอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสีขาวดุจหิมะ ก่อนจะพึมพำ “ถ้าข้าไม่ลงแรง คงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำลายค่ายกลนี้ ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าคงต้องหยาบคายสักครั้ง”

ขณะที่พูด เขาก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเหน็บม้วนคัมภีร์ในมือไว้ที่เอว จากนั้น ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มท่องกวีเสียงดัง!

“คมดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าไปที่ใด ความชั่วร้ายทั้งหมดล้วนพินาศสิ้น เมื่อกระบี่ถูกวาดออกไป วิญญาณชั่วร้ายต่างต้องหวาดกลัว เพียงนามของข้าเท่านั้นที่ดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก เซียนและเทพนั้นพินาศสิ้น” ท่ามกลางเสียงทุ้มต่ำ คำพูดที่วิจิตรงดงามมากมาย ได้กลายเป็นอักขระยันต์ทอประกายศักดิ์สิทธิ์ ก่อตัวเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้พุ่งใส่ค่ายกลอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงจากแดนเทพโบราณก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง หลังจากรับโจมตีครั้งนี้! นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าบทสวดของปราชญ์เฒ่าผู้นี้น่าทึ่งมากเพียงใด!

เมื่อหลียางเห็นเหตุการณ์นี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาและพูดด้วยความโกรธว่า “ทุกคน อย่าหัวเราะเยาะเขาเลยนะ พี่สี่ของข้าคนนี้เป็นหนอนหนังสือ ปกติเขาชอบอ่านหนังสือโบราณ คลั่งไคล้มันมากเกินไป”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]