บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1481

บทที่ 1481 ย่ำย่างอย่างองอาจ

……………………………………………………………………..

บทที่ 1481 ย่ำย่างอย่างองอาจ

ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าตั้งตระหง่านท่ามกลางฟ้าดิน ความเก่าแก่ของมันชวนให้รู้สึกขึงขังไม่น้อย

ณ ลานจัตุรัสหน้าตำหนัก เฉินซีเผชิญหน้ากับพลังมากมายด้วยตัวคนเดียว ดูเหมือนตัวเล็กจ้อยลงไปในทันที

หากคนอื่น ๆ มาอยู่ตรงนี้แทนเฉินซี ขาของคนคนนั้นคงจะสั่นระริกจนทรุดฮวบ ไม่แม้จะมีแรงหยัดยืนเพื่อต้านทานแรงกดดันประเภทนี้ได้เลย ใช่ คนที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ตรงนี้ได้อย่างน้อยต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียงครึ่งขั้น

แม้แต่เซียนปราชญ์ยังต้องหวาดหวั่นสั่นเกรงด้วยไม่อาจสัมผัสถึงพลังที่เที่ยงแท้ของอีกฝ่ายได้

อย่างไรก็ตาม เฉินซีดูเหมือนจะมีความพิเศษอยู่ไม่ใช่น้อย แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ทว่ารัศมีอันผ่าเผยที่เร้นลอดออกมานั้นช่างรุนแรงยิ่งนัก มันโยงใยไปถึงฟ้าและหลอมรวมเข้ากับดิน แม้แต่กลิ่นอายของเต๋าที่พันรัดรอบกายก็ยังเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามซึ่งทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูแคลน

จิตสังหารในใจล้นทะลักราวทะเลคลั่ง มันทำให้ลมและมวลเมฆที่อยู่รอบ ๆ กลายเป็นความโกลาหลในทันที เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำเอาสีหน้าของผู้คนจำนวนมากเปลี่ยนแปลงไป

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าภัยพิบัติจะไม่สามารถสร้างความหวั่นเกรงต่อใจของพวกเจ้าได้ แม้แต่การเกิดขึ้นใหม่ของนิกายอำนาจเทวะก็ไม่อาจทำให้พวกเจ้าระแวงระวังได้เช่นกัน กระนั้นพวกเจ้าทุกคนก็ยังต่อสู้กันเพื่อตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของข้า!” ทันใดนั้น เสียงที่ไร้ซึ่งอารมณ์ก็ดังก้องไปทั้งฟ้าดินกว้างใหญ่ เฉินซีก้าวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วพลางมองไปรอบ ๆ ทั้งสายตาคมกริบ เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็น ไม่แยแสซึ่งโอบล้อมด้วยจิตสังหารอาฆาต

แม้ว่าเขาจะยืนอยู่เพียงลำพัง ทว่ามันกลับดูทรงอำนาจและห้าวหาญยิ่งนัก

เมื่อพวกเขาทุกคนได้ยินสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่ดูแคลน โกรธเกรี้ยว อับอาย เศร้าหมอง ขบขัน ขมวดคิ้ว บ้างก็รู้สึกว่าเฉินซีนั้นคงจะเสียสติไปแล้วจึงได้พูดวาจาที่ไร้เดียงสาเช่นนี้

ชายหนุ่มยังคงมีสีหน้าเย็นชาและไม่แยแสต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

“พวกเจ้าทำลายมหาค่ายกลของสำนักของข้า สังหารอาจารย์และศิษย์ในสำนักของข้า ทำลายอาณาเขตป้องกันของสำนักของข้า ซ้ำร้ายยังนำพาความโกลาหลมาสู่สำนักของข้าอีก! ไอ้พวกสารเลวเอ๊ย พวกเจ้ามัน… สมควรตาย!”

สมควรตาย!

เพียงคำสั้น ๆ หากเปี่ยมซึ่งแรงอาฆาตแสนเสียดแทง ส่งผลให้สีหน้าของหลาย ๆ คนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

“เป็นไอ้สารเลวตัวจ้อยที่ไร้สัมมาคารวะ ในฐานะศิษย์ของสำนัก เจ้าไม่เพียงไม่เรียนรู้วิธีเคารพต่อผู้อาวุโส หากยังเอาแต่พล่ามเรื่องไร้สาระแทน เจ้าคงคิดว่าหลังจากที่เจ้าได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าแล้ว เจ้าจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นสินะ?” ชายชราผู้หนึ่งตำหนิเฉินซีด้วยไม่อาจควบคุมโทสะของตนได้อีกต่อไป เขาเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาฝ่ายใน แน่นอนว่านี่เป็นการตักเตือนเฉินซีในนามของผู้อาวุโส

ทันใดนั้น เฉินซีหันขวับมามองทั้งแววตาเย็นชาและลึกล้ำประหนึ่งสายฟ้ากัมปนาท ความเยือกเย็นเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นบนมุมปาก

“ข้าสิต้องถามท่าน ว่าการช่วยเหลือคนชั่วด้วยหมายใจถึงอำนาจภายในสำนัก ทั้งยังให้คนภายนอกเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่เล่าท่านอาจารย์? ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากพวกเจ้าตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตนและพยายามแก้ไขในสิ่งผิด ข้าก็จะยอมละเว้นชีวิตให้ แต่ถ้าไม่ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคนอย่างไม่ปรานีใด ๆ!” เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการเตือนชายชราผู้นั้นเท่านั้น หากยังเป็นการประกาศถึงเจตจำนงของตนต่ออาจารย์ทุกคนที่เข้าข้างผู้มีอำนาจจากภายนอก!

เสียงทุ้มกังวานประหนึ่งเสียงกระทบกันของกระบี่ มันแผดดังไปทั่วทั้งฟ้าดิน ทำให้ผู้ฟังตกภายใต้ความตะลึงลาน

ท่าทีเด็ดเดี่ยว เย็นชา และไร้ความปรานีของเฉินซียามเมื่อมาถึงด้านนอกโลกบรรพกาลนั้นช่างเกินความคาดหมายของพวกเขายิ่งนัก

หลังจากนั้น ความโกรธก็บังเกิดขึ้นในใจอย่างอดไม่ได้!

ใช่แล้ว พวกเขาโกรธเฉินซีแทบกระอัก ชายหนุ่มผู้นี้ชักจะโอหังเกินไปแล้ว เห็นทีที่กล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามคนอื่นทั้ง ๆ ที่อยู่แค่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นเช่นนี้ คงจะเป็นการรนหาที่ตายกระมัง!

อีกด้านหนึ่ง เฉินซีเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากที่พูดจบ สายตาที่ทอดมองออกไปนั้นแข็งกร้าวประหนึ่งกระบี่ซึ่งกวาดผู้คนโดยรอบ มันเต็มไปด้วยความเฉยเมยทว่าพิถีพิถัน ราวกับเทพเซียนผู้จ้องมองยังโลกมนุษย์

บรรยากาศโดยรอบตกสู่ความเงียบงัน ให้ความรู้สึกที่ประหลาดยิ่ง

“ฮ่า ๆ…” ทันใดนั้น เสียงหัวเราะไร้ที่มาพลันดังขึ้น แม้จะไม่มีคำพูดอื่นใดต่อจากนั้น แต่มันกลับเต็มไปด้วยรอยถากถางที่แทงทะลุโสตประสาท

“เจ้าหนู หากเจ้าทำเช่นนี้ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึง ทุกคนก็คงจะนับถือในการกระทำของเจ้า ทว่าตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว หากไม่ได้รับการคุ้มครองจากผู้อาวุโสเหล่านั้น เจ้าก็เป็นเพียงตัวตนธรรมดาโดดเดี่ยว ข้าขอเตือนเจ้าสักอย่าง หากเจ้ายังไม่อยากให้ชีวิตจบสิ้นลง ก็อย่าได้คิดจะทำอะไรตามอำเภอใจไปมากกว่านี้เลย” ใครบางคนพูดด้วยน้ำเสียงทระนงซึ่งแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน

“ก็จริงอยู่ที่เจ้าได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋า และตามธรรมเนียมเจ้าคือผู้ที่มีคุณสมบัติในการสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่ในเมื่อภัยพิบัติมาถึงแล้ว สำนักยามนี้ก็เหมือนกับมังกรไร้หัว ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จำเป็นต้องมีบุคคลซึ่งมีศักดิ์สูงและได้รับความเคารพจากคนหมู่มากขึ้นมาปกครองดูแล แน่นอนว่าคนผู้นั้นจะต้องไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ขาดความอาวุโส ขาดรากฐานที่มั่นคง และขาดพลังอย่างเจ้า” คนผู้หนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมฟังดูชอบธรรม แม้วาจาของเขาจะฟังดูสมเหตุสมผล ทว่าแท้จริงแล้วมันถูกยกขึ้นมาเพื่อเย้ยหยันเฉินซีที่ไร้ประสบการณ์ราวเด็กอมมือ ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมใดๆ ที่จะขึ้นเป็นเจ้าสำนักเลยแม้แต่น้อย

ชั่วขณะหนึ่ง เฉินซีกลายเป็นเพียงอาชญากรที่กำลังถูกฝูงชนรุมประณาม!

ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็ยังคงไม่แยแสต่อเรื่องที่เกิดขึ้น สายตาของเขาที่จ้องมองออกไปยังตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าซึ่งอยู่แสนไกล เขายืนอยู่เช่นนั้นอย่างเงียบงัน มือที่ไพล่หลังบ่งบอกถึงการจมลงสู่ภวังค์คิดอันลึกซึ้ง

ตำหนักแห่งนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยหินปูนยุคบรรพกาล และเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเก่าแก่อันสง่างาม มันตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงมายาวนานแทบจะเป็นนิรันดร์ เป็นสถานที่ซึ่งดำรงอยู่เพื่อเฝ้ามองการเคลื่อนไหวแห่งสายธารกาลเวลาและหยุดยั้งชะตากรรมอันเป็นนิรันดร์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า

มันยิ่งใหญ่ สูงส่ง เงียบสงัด และปกคลุมไปด้วยแสงที่เจิดจรัส รวมไปถึงรัศมีเทวะอันทรงพลัง ประหนึ่งตำหนักแห่งทวยเทพที่ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องยำเกรง

นับตั้งแต่ที่เฉินซีมาถึงที่นี่ ก็ปรากฏร่องรอยแห่งการเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นระหว่างตราประทับหยกนพกระแสและตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า มันทำให้รู้สึกราวกับได้กลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน และมีความผูกพันต่อมันอย่างไม่มีเหตุผล

ถึงขนาดที่ความรู้สึกแสนพิเศษนี้ทำให้จิตใจของเขารู้สึกราวกับได้รับการชำระล้าง กลายเป็นสิ่งโปร่งแสงใสกระจ่าง ชวนให้นึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาแห่งความโกลาหล การบรรลุเต๋า และการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

เฉินซีรู้ดีว่ามันเป็นพลังของตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าและพลังแห่งชะตากรรมที่ยึดโยงกับที่นี่นับตั้งแต่โบราณกาล มันเป็นพลังที่หนักแน่นและแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้!

หากสามารถใช้มันได้ มีหรือที่เขาต้องหวั่นเกรงต่อเทพเซียน?

แน่นอนว่าเฉินซีไม่สามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่เขาเชื่อมั่นว่าหากตนก้าวเข้าไปภายในตำหนัก เขาก็จะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังแห่งชะตากรรมนั้นได้

บทที่ 1481 ย่ำย่างอย่างองอาจ 1

บทที่ 1481 ย่ำย่างอย่างองอาจ 2

บทที่ 1481 ย่ำย่างอย่างองอาจ 3

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]