บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1482

บทที่ 1482 กระบี่ดื่มโลหิต

……………………………………………………………………..

บทที่ 1482 กระบี่ดื่มโลหิต

เมื่อถูกจำกัดโดยมิติและเวลา เจดีย์รูปทรงมังกรซึ่งเปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ก็เคลื่อนลงมาเพื่อโจมตี

เห็นได้ชัดว่ามันคือสมบัติอมตะที่เต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึง มันสร้างภาพมายารูปทรงมังกรจำนวนมากขณะลอยล่องไปทั่วพร้อมปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามออกมา

ฟิ่ว!

เฉินซีไม่แม้แต่เหลียวมองก่อนฟาดฟันออกไปด้วยปราณกระบี่ สิ้นเสียงดังสนั่น เจดีย์รูปทรงมังกรก็เปิดออกก่อนแสงสว่างจะกระหน่ำลงมา

ชายชราในชุดคลุมสีทองกระอักโลหิตขณะสีหน้าแปรเปลี่ยน ก่อนจะทันได้ตอบสนอง ปราณกระบี่ยังคงไม่อ่อนกำลังก่อนจะฟาดฟันมาลงที่ศีรษะ!

“กล้าดีอย่างไร!”

ผู้เยี่ยมยุทธ์อีกคนจากตระกูลจงหลีออกโรงเพื่อช่วยชายชราในชุดคลุมสีทอง เขาหยิบร่มทองแดงออกมาแล้วทะยานขึ้นสู่อากาศธาตุ ซึ่งยันต์อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนก็เคลื่อนตัวออกมาเพื่อปัดป้องการโจมตีของเฉินซี

ตู้ม!

ปราณกระบี่ฟาดฟันเข้าใส่ร่มทองแดงจนแสงสว่างร้อนแรงระเบิดออกมา

แม้การโจมตีจะถูกปัดป้อง แต่คนที่ออกโรงสั่นสะท้านจนถึงขั้นกระอักโลหิตออกมา ก่อนจะร่างจะโซเซไปด้านหลัง

“เหอะ!”

เฉินซีพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา ร่างของเขายังคงแน่นิ่งขณะนิ้วทั้งห้ากางประหนึ่งดอกบัว ปราณกระบี่อันสง่างามพวยพุ่ง ก่อนจะฉีกกระชากห้วงอากาศแล้วทะยานออกไป

ปราณกระบี่พวกนี้ล้วนเต็มไปด้วยพลังของยันต์อักขระ ความงดงามของระเบียบจนวิวัฒนาการไปสู่ความลี้ลับ แล้วกระจายผ่านเต๋าแห่งกระบี่ พลังอันเกรี้ยวกราดเช่นนั้นคล้ายกับสามารถฟาดฟันท้องนภาได้

เสียงอู้อี้ดังขึ้น แม้ชายชราในชุดคลุมสีทองและผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ถือร่มทองแดงจะพยายามขัดขืนอย่างสุดความสามารถ แต่สมบัติพิทักษ์ก็ยังถูกทะลวงจนแตกสลายในทันที ทำให้พวกเขากรีดร้องขณะถูกปราณกระบี่ฟาดฟัน

ฟ่าว

โลหิตโปรยปรายจากฟากฟ้า ซากศพร่วงหล่นสู่พื้น ก้อนโลหิตน่าสะอิดสะเอียนกระเซ็นไปทั่ว

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในพริบตา มันเริ่มต้นและจบลงรวดเร็วเกินไป ทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นอย่างมากจนหน้าเริ่มถอดสีด้วยความไม่อยากเชื่อ

ใครเล่าจะเชื่อหากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง?

“รนหาที่ตาย!”

“กลั่นแกล้งผู้อื่นชัด ๆ พวกข้าก็หลงคิดว่าเจ้าจะเป็นคนหนุ่มอวดดีที่ไม่อยากทำเรื่องน่าอับอายเสียอีก ถึงกระนั้นก็ยังล้ำเส้นและทำตัวไร้ศีลธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันคืออาชญากรรมที่ไม่อาจอภัยให้ได้”

ตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี และตระกูลเจี้ยงซึ่งอยู่แถวนั้นต่างเป็นกลุ่มที่ทรงพลังที่สุด แต่เมื่อเห็นฉากทั้งหมดนี้ พวกเขาต่างพากันเดือดดาลพร้อมกับเผยจิตสังหารออกมาเพื่อเตรียมจะลงมือ

“กลั่นแกล้งผู้อื่นหรือ? พวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากสำนักของข้า แล้วผู้ใดเชิญมาไม่ทราบ? ใครกันที่มอบความกล้าในการทำลายสำนักและสังหารอาจารย์และศิษย์ของข้า?”

เฉินซีมีท่าทีเฉยชาขณะเอ่ยด้วยเสียงอันดังลั่น

หลังจากนั้น เขาหันศีรษะกลับมา ในบริเวณดังกล่าวมีกองกำลังมากกว่าหนึ่งกลุ่ม รวมถึงบุคคลใหญ่โตจากภพพุทธองค์ ภพมังกร เผ่าวิหคอมตะ ตระกูลจี้และตระกูลอื่นต่างอยู่กันพร้อมหน้า

เฉินซีเอ่ยคำอย่างไม่ใส่ใจขณะมองกองกำลังเหล่านี้ “พวกเจ้า… อยากจะสู้จนถึงท้ายที่สุดหรือ?”

เพราะความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย จ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง และพวกเจิ่นลู่ เขาจึงยังสะกดจิตสังหารเอาไว้และวางแผนจะมอบโอกาสสุดท้ายให้อีกฝ่าย

“สู้หรือ? เจ้าให้ค่าตัวเองสูงเกินไปกระมัง?”

ชายชราจากภพมังกรเอ่ยคำด้วยท่วงท่าอวดดีหยิ่งผยอง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเฉยชา โดยผู้คนซึ่งอยู่ด้านหลังต่างยิ้มหยันเช่นกัน

“เฉินซี อย่าอวดดีให้มันมากนัก หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ชิดใกล้ระหว่างเจ้ากับเซวียนปิง ข้าจะทนอยู่กับเจ้าจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?” ผู้ชายจากตระกูลจี้เอ่ยคำเพื่อแสดงความเห็นแทนตระกูล

“อมิตาพุทธ โชคชะตาปรากฏและดับสูญ ส่วนเหตุต้นผลกรรมก่อเกิด บัดนี้ดูท่าว่านี่จะไม่ใช่โอกาสสำหรับภพพุทธองค์ ดังนั้นข้าไม่ขอก้าวก่าย” นักพรตสวมชุดคลุมสีเหลืองนวลซึ่งมีสายตาโอนอ่อนเอ่ยคำ

“เอาละ ถ้าเจ้าสามารถพิชิตตำแหน่งเจ้าสำนักได้ เผ่าวิหคอมตะจะยอมถอยเช่นกัน ถึงอย่างไรพวกข้าก็ไม่คิดทำร้ายเจ้าอยู่แล้ว” หญิงสาวรูปโฉมงดงามซึ่งสวมชุดคลุมสีเขียวเข้มเอ่ยคำอย่างเนิบช้า

ทันใดนั้น สี่กองกำลังใหญ่ล้วนแสดงจุดยืน ส่วนภพมังกรกับตระกูลจี้ยังไม่เต็มใจที่จะถอนตัว

คนของภพพุทธองค์กับเผ่าวิหคอมตะเลือกที่จะนั่งชมอยู่ด้านข้าง สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าเฉินซีจะสามารถพิชิตตำแหน่งเจ้าสำนักด้วยตัวเองได้หรือไม่

เฉินซีพยักหน้าเมื่อเห็นดังนี้ “ดี อย่างน้อยการเลือกของพวกเจ้าก็เป็นการป้องกันไม่ให้ข้าต้องกังวลเวลาฆ่าใคร”

“พูดจาอวดดีนัก! คิดหรือว่าไม่มีใครในโลกนี้สามารถทำอะไรเจ้าได้?!”

ชายชราจากภพมังกรตะโกนเสียงดังขณะคนอื่น ๆ มีสีหน้าหมองมืดครึ้มไม่ต่างกัน

ทว่าเฉินซีไม่เอ่ยคำอะไรอีกขณะทั่วร่างส่องแสง ดอกบัวสีทองเติบโตตามย่างก้าวที่เดินพร้อมพลังที่พลุ่งพล่าน ซึ่งพวกมันถูกกดทับเอาไว้ยามก้าวไปข้างหน้า เขาอยากเข้าสู่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าโดยปราศจากความลังเล

“โอหัง! ให้ข้าจัดการเอง!”

ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมาจากด้านข้างพลางถือกระบี่ไม้ แม้ดูราบเรียบธรรมดา แต่ก็เปี่ยมด้วยความยิ่งใหญ่

ทุกคนต่างยินดี คนผู้นี้คือผู้อาวุโสขอบเขตราชันเซียนจากตระกูลเจี้ยง มีนามว่าเจี้ยงฉางอวิน มีพลังฝีมือที่น่าสะพรึงยิ่ง แม้ชื่อเสียงจะไม่ได้ดีเท่าสี่ราชันเซียน แต่ก็ยังนับว่าไม่ธรรมดา

นอกจากนี้ ชายชราอีกคนยืนขึ้น เขาสวมชุดสีเทา ผิวครึ่งหนึ่งเป็นสีขาวเปล่งประกาย ส่วนอีกครึ่งแห้งเหี่ยวราวกับไร้ชีวิต เป็นรูปลักษณ์ที่เปี่ยมด้วยความเป็นและความตายจนน่าประหลาด เขาถือกระบองทองแดงซึ่งแผ่หมอกชั่วร้ายสีขาวและดำออกมา ดูน่าสะพรึงยิ่ง

ชายชราผู้นี้คือผู้อาวุโสจากตระกูลจงหลี มีนามว่าจงหลีกุย มีข่าวลือว่าเขาเคยพยายามแสวงหาการเป็นเทพ ถึงแม้จะล้มเหลวแต่ก็รอดตายมาได้ พละกำลังของเขาจึงลึกล้ำประหนึ่งหุบเหวไม่อาจหยั่งรู้ได้

“ราชันเซียนสองคนหรือ?”

เฉินซียิ้มขณะมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “คราวนี้ไม่เหลือเทพแล้ว คิดหรือว่าจะไม่มีใครในโลกสามารถทำอะไรพวกเจ้าที่อยู่ขอบเขตราชันเซียนได้?”

ทุกคนตกตะลึง เฉินซีไปเอาความกล้ามาจากไหน จะว่าไป เขาสามารถสังหารตัวตนขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นได้อย่างง่ายดาย แต่คิดหรือว่าจะสามารถเอาชนะขอบเขตราชันเซียนได้?

ผู้คนทั้งหลายต่างนับถือความกล้าของเฉินซี แต่ถึงอย่างไร ใช่ว่าทุกคนในโลกจะกล้าเมินเฉยต่อความยิ่งใหญ่ของราชันเซียนเหมือนอย่างเขาได้

บทที่ 1482 กระบี่ดื่มโลหิต 1

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]