บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1493

สรุปบท บทที่ 1493 ความแตกต่างภายในขอบเขต: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

ตอน บทที่ 1493 ความแตกต่างภายในขอบเขต จาก บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 1493 ความแตกต่างภายในขอบเขต คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ที่เขียนโดย novelones เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 1493 ความแตกต่างภายในขอบเขต

……………………………………………………………………..

บทที่ 1493 ความแตกต่างภายในขอบเขต

เพียงการตวัดกระบี่คราเดียว โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาก็ขาดผึ่งและค่อย ๆ พังทลายลงทีละข้อปล้อง!

เมื่อภัยพิบัตินี้ขยายตัวไปทั่วทั้งสามภพ ไม่ว่าใครก็ต้องได้ยลกับเหตุการณ์อันน่าสะเทือนขวัญของเทวาที่กำลังถูกกวาดล้างครั้งใหญ่

ภายในหัวใจของผู้คน โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาเป็นเสมือนการดำรงอยู่ที่ไม่มีวันแตกดับ ไหนเลยจะคิดว่าทันทีที่เฉินซีบรรลุสู่ขอบเขตราชันเซียน เขาจะสามารถทำลายมันได้ผ่านการโจมตีเพียงครั้งเดียวเช่นนี้

ทุกคนตะลึงลาน ร่างกายแข็งค้างไม่ต่างรูปปั้น

พลังโจมตีจากกระบี่เล่มนี้เกินขอบเขตของสามภพไปแล้ว และยังเกินจินตนาการไปมากโข มันเหมือนกับการโจมตีจากทวยเทพก็มิปาน ไม่อาจจะบรรยายเป็นคำพูดใดได้!

ขวับ!

เหนือท้องฟ้าขึ้นไป หลังจากที่เฉินซีฟันโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาให้ขาดจากกันในคราเดียวแล้ว เขาก็สะบัดมือและกางตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ ตาข่ายขนาดมหึมา ซึ่งมีลักษณะลวงตาและเยือกเย็นราวแสงดาวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และดักจับเศษซากของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาทั้งหมดในทันที

เมื่อบรรดาศิษย์และอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอีกครั้ง ให้ตายเถิด ใครจะคาดคิดว่าโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาจะสามารถถูกดักจับไว้ได้เช่นนี้

ความสามารถนี้ลบล้างความรู้ความเข้าใจแต่ก่อนที่เคยมีมาอย่างสิ้นเชิง

“ท่านหวังต้าวหลู โจวจื่อหลี เซวียนหยวนพั่วจวิน เสิ่นฮ่าวเทียน… พวกท่านทุกคนจงเตรียมตัวขัดเกลาชะตากรรมแห่งสวรรค์นี้!” เฉินซีออกคำสั่งถึงชื่อต่าง ๆ ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะมอบชิ้นส่วนของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาที่ดักไว้ได้ให้แก่คนเหล่านี้

พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นอาจารย์อาวุโสของสำนักศึกษาที่มีระดับการบ่มเพาะในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น รากฐานพลังต่างลึกล้ำเกิดหยั่ง ขาดแต่เพียงมหาชะตากรรมที่จะนำไปสู่ขอบเขตราชันเซียนเท่านั้น

ตามที่เคยกล่าวไว้ หากขาดซึ่งโชคชะตาแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุขอบเขตราชันเซียน

ถึงอย่างนั้น มหาชะตากรรมก็เป็นสิ่งที่ยากจะนำมาครอบครอง มันหายากยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้ ไม่อย่างนั้นแล้ว คนแข็งแกร่งอย่างพวกเขาก็คงไม่ได้หยุดอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นอย่างเช่นตอนนี้

ที่เฉินซีทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการที่จะพัฒนาระดับความแข็งแกร่งของสำนักศึกษาโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก็ควรที่จะมีราชันเซียนเพิ่มขึ้นมาสักสองสามคน

หวังต้าวหลู โจวจื่อหลี และคนอื่น ๆ ตกใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชั่วขณะหนึ่งหัวใจพลันไหวระริกด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่คิดเลยว่าเฉินซีจะมอบมหาชะตากรรมแสนพิเศษให้ในตอนนี้!

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก!” หวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะแสดงความขอบคุณด้วยความเคารพต่อเฉินซีอย่างจริงใจ

เฉินซียิ้มและบอกให้พวกเขาเข้าฌานบ่มเพาะ ชายหนุ่มแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง ประตูยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้น โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาหนาหนักที่พันอยู่รอบ ๆ ทำให้มันดูลึกลับและน่าสะพรึงกลัว

เดิมทีเฉินซีตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ในการครอบครองโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชา ทว่าหลังจากการโจมตีครั้งก่อน ประตูบานนั้นก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนั้น ช่างเป็นสถานการณ์ที่ชวนให้ประหลาดใจไม่น้อย

“โธ่! นี่สินะพวกที่ชอบรังแกคนอ่อนแอแต่เกรงกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า เจ้าคงจะรู้ตัวแล้วสินะว่าเจ้าไม่สามารถทำอะไรข้าได้ จึงได้ล่าถอยและหลบซ่อนเช่นนี้?” มุมปากเย้ยหยันประทับลงบนใบหน้าของเฉินซี

แต่ถึงอย่างนั้น ภายในใจกลับมีเพียงเสียงทอดถอนใจ เขาตระหนักดีว่าประตูบานนั้นอาจจะกำลังสั่งสมความแข็งแกร่งจากผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ถูกดูดกลืนเข้าไปสู่แดนโลกาวินาศอยู่ และด้วยเหตุนี้ ก็ทำให้มันยุ่งเกินกว่าจะสนใจผู้ใด

ไม่อย่างนั้นแล้ว มันคงไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่นอน

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดินก็พลันหายไป ประตูที่ตั้งตระหง่านบนท้องฟ้านั่นยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ คล้ายทุกอย่างได้กลับคืนสู่สภาวะปกติ

“ยินดีกับท่านเจ้าสำนักที่บรรลุขอบเขตราชันเซียน!” ทันใดนั้น เสียงแซ่ซ้องก็ดังก้องจากทุกแห่งหนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า นอกจากความเคารพและชื่นชมแล้ว ใบหน้าของเหล่าอาจารย์และศิษย์ทั้งหลายยังเอ่อล้นไปด้วยความภาคภูมิและมั่นใจ

ใช่ มันคือความมั่นใจ!

หลังจากที่พวกเขาได้เห็นการกระทำของเฉินซีในการทำลายโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวหลังจากบรรลุขอบเขตราชันเซียน ความมั่นใจก็พลันก่อตัวขึ้นในทันที มันลบล้างความกังวลที่เกิดขึ้นในใจไปหมดสิ้น

คล้ายว่าตราบใดที่เฉินซียังยืนหยัดอยู่ตรงนี้ ต่อให้ท้องฟ้าต้องพังทลาย ก็ไม่มีสิ่งใดให้กลัวเกรง

บนท้องฟ้า เฉินซีกวาดสายทอดมองออกไปโดยรอบสำนักศึกษา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่ยากจะอธิบาย มันพลุ่งพล่านเข้าไปสู่ใจราวกระแสแห่งผืนสมุทร รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันหลังกลับและลงไปยังเบื้องล่าง

ความก้าวหน้าของเฉินซีในการก้าวสู่ขอบเขตราชันเซียนเป็นไปอย่างราบรื่นมาก เขาใช้เวลาเพียงสามเดือนเท่านั้นในการปิดด่านบ่มเพาะ แน่นอน การที่ไม่พบอุปสรรคใด ๆ ตลอดเส้นทางนั่นก็เพราะการเตรียมตัวที่เพียงพอ

หลังจากบรรลุขอบเขตราชันเซียน การเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดเห็นทีจะเป็นจักรวาลภายในร่างกาย!

ขณะที่เฉินซีดำรงอยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น จักรวาลในร่างกายเพิ่งจะก่อตัวเป็นรูปร่างที่ไร้ความเสถียร ทว่าตอนนี้มันแตกต่างออกไป จักรวาลในร่างกายบัดนี้สามารถทำงานด้วยตัวเองและหมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันเต็มไปด้วยดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่โคจรอยู่ด้านในและปราณเซียนสีทองอันพิสุทธิ์ แม้แต่นิมิตแห่งมหาเต๋าและพลังชีวิตก็กระจายอยู่ในนั้นทั่วบริเวณ

ไม่เพียงเท่านี้ กฎแห่งกาลเวลา กฎแห่งปริภูมิ และกฎแห่งชีวิตและความตายก็กลายสภาพเป็นบัญชาแห่งจักรวาล ซึ่งครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่และรักษาการไหลเวียนรวมไปถึงการทำงานทั้งหลายของจักรวาลภายในร่างกายอย่างต่อเนื่อง

ณ ใจกลางของจักรวาล หลุมดำที่วิสุทธิ์ สลัวรางและเก่าแก่หมุนวนอย่างเดือดพล่าน สายใยแห่งพลังลึกลับถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในโดยไม่มีท่าทีจะสิ้นสุด มันกระจายตัวไปรอบและค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงทั้งจักรวาลอย่างช้า ๆ

ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้รวบรวมวัตถุดิบเซียนจำนวนมากด้วยตั้งใจที่จะขัดเกลาพัดเทพอัคคี แต่ที่เขายังไม่ขัดเกลามันเสียทีก็เพราะรู้สึกว่าสมบัติเหล่านี้เป็นเพียง ‘สมบัติหายาก’ พวกมันสามารถสำแดงพลังที่เหลือเชื่อออกมาได้เฉพาะในสถานการณ์การต่อสู้ที่พิเศษเท่านั้น

กล่าวก็คือ เฉินซีได้จำแนกสมบัติทั้งหลายที่ตนมีอยู่ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือสมบัติที่เป็น ‘สมบัติสำหรับการต่อสู้หลัก’ เช่น ยันต์ศัสตรา ในขณะที่อีกประเภทหนึ่งเป็น ‘สมบัติสำหรับการต่อสู้พิเศษ’ เช่น ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ น้ำเต้าฟ้าดิน ผนึกเทวศสวรรค์ เป็นต้น

ท้ายที่สุดแล้ว หากเขาต้องการดึงความแข็งแกร่งทั้งหมดออกมา สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกก็คือการขัดเกลายันต์ศัสตรา อย่างน้อยที่สุด มันก็ควรจะบรรลุถึงขั้นสูงสุดของระดับว่างเปล่า

ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่บรรลุขอบเขตราชันเซียน ชายหนุ่มก็มุ่งความสนใจไปที่การขัดเกลายันต์ศัสตราในทันที

ยันต์ศัสตราเป็นสมบัติลับของเขาเทพพยากรณ์ที่ไม่ได้ส่งต่อไปยังบุคคลภายนอก นอกจากมันจะมีคุณสมบัติพิเศษแล้ว ภายในของมันยังอัดแน่นไปด้วยยันต์เทวะจำนวนมาก

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเฉินซีต้องการขัดเกลายันต์ศัสตรา เขาจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบเซียนหายากจำนวนมหาศาล อีกทั้งยังต้องจารยันต์เทวะลงไปในนั้นเพิ่มอีกด้วย

สำหรับวัตถุดิบเซียนนั้น เฉินซีได้ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

ทว่าสำหรับยันต์เทวะนั้น ชายหนุ่มมีความคิดคร่าว ๆ ว่าจะสร้างยันต์เทวะที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งมีที่มาจากยันต์เทวะอนันต์ในโลกแห่งดวงดาว และจารมันลงในยันต์ศัสตราของตน

ทว่าเมื่อเฉินซีตั้งใจจะปิดด่านบ่มเพาะอีกครั้งเพื่อขัดเกลายันต์ศัสตรา อาซิ่วก็มาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว ใบหน้ารูปไข่ซึ่งกระจ่างด้วยร่องรอยแห่งชีวิตชีวาแต่งแต้มไปด้วยความกังวลจาง ๆ

“มีอันใดหรืออาซิ่ว?” เฉินซีพับแผนการของตนลงในทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาว “หรือมีใครรังแกเจ้า?”

อาซิ่วส่ายหน้าน้อย ๆ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงตะกุกตะกัก “ฉะ… เฉินซี ตอนนี้ตระกูลเซวียนหยวนของข้ากำลังมีปัญหา ข้าก็เลย… ก็เลย…”

เฉินซีรับรู้ถึงสิ่งที่นางต้องการจะพูดในทันที ชายหนุ่มตบไหล่นางเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าเข้าใจ”

อาซิ่วเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ดวงตาใสกระจ่างจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย “เจ้าเข้าใจอะไร?”

เฉินซียิ้ม “มันคงเป็นเรื่องที่ร้ายแรงไม่น้อยเลยใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ทำตัวผิดแผลกไปจากปกติเช่นนี้ เห็นที ตระกูลเซวียนหยวนคงจะกำลังเผชิญกับความยากลำบากครั้งใหญ่ ให้ข้าเดา มันน่าจะเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะ”

เฉินซีเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “อาซิ่วเจ้าอย่ากังวลไป ข้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกตระกูลเซวียนหยวนเป็นอันขาด”

อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มก็พอจะเดาได้ราง ๆ ว่าน่าจะเป็นเพราะภายใต้ภัยพิบัติครานี้ ทั้งเซวียนหยวนเฟิงเฉิน เซวียนหยวนท่าเป่ย และผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน เซวียนหยวนเส้าได้มุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศกับศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่แล้ว

หลังจากที่ตระกูลเซวียนหยวนสูญเสียการดำรงอยู่ของราชันเซียนทั้งสาม ก็เห็นได้ชัดว่าพวกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต

อาซิ่วคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินซีจะคาดเดาทุกอย่างออกก่อนที่นางจะพูดเสียอีก ความรู้สึกของการได้รับการใส่ใจทำให้ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตาใส ๆ ค่อย ๆ รื้นออกมาจากหัวใจ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]