บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1496

สรุปบท บทที่ 1496 ราชทูตแห่งนิกายอำนาจเทวะ: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 1496 ราชทูตแห่งนิกายอำนาจเทวะ – ตอนที่ต้องอ่านของ บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

ตอนนี้ของ บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดย novelones ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1496 ราชทูตแห่งนิกายอำนาจเทวะ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 1496 ราชทูตแห่งนิกายอำนาจเทวะ

……………………………………………………………………..

บทที่ 1496 ราชทูตแห่งนิกายอำนาจเทวะ

เสียงกระบี่คำรามพุ่งออกมาราวกับกระแสน้ำ และทำให้จักรวาลสั่นสะเทือน

อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ชั่วพริบตา ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบงัน และทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับตกอยู่ในภาพลวงตา

แต่ทุกคนก็ตระหนักดีว่ามันไม่ใช่ภาพลวงตา กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากเสียงคำรามของกระบี่อย่างฉับพลันนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อดวงจิตแห่งเต๋าของพวกเขาอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นมันจะเป็นภาพลวงตาได้อย่างไร?

ถึงขนาดที่เพราะเสียงคำรามของกระบี่นี้ ทำให้เสียงของเจี้ยงไท่จงถูกกลบโดยสิ้นเชิง และมันทำให้กลิ่นอายอันน่าเกรงขามสลายไป!

กระบี่เซียนเช่นใดที่สามารถเปล่งเสียงคำรามเช่นนี้ได้? แล้วมันเป็นของผู้ใดกัน?

ทุกคนต่างก็สงสัยใคร่รู้

มีเพียงโจวจื่อหลี หวังต้าวหลู เซวียนหยวนพัวจวิน และคนอื่น ๆ เท่านั้นที่ทราบชัดเจนว่าเสียงกระบี่คำรามนั้นมาจากภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอย่างมากกับเจ้าสำนักเฉินซี

พวกเขาจ้องมองไปยังประตูตำหนักพร้อมกัน และทั้งหมดมีความรู้สึกว่าเฉินซีกำลังจะออกจากปิดด่านบ่มเพาะ สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

โอม!

แสงจาง ๆ แวบหนึ่งได้วาบบนตัวกระบี่ที่เรียบเนียนราวกับกระจก จากนั้นมันก็หายไป ทำให้กระบี่สีดำที่ยาวสี่ฉื่อเล่มนี้ดูธรรมดายิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังเปล่งรัศมีแห่งความสง่างามเพื่อกลับคืนสู่ความเรียบง่าย

เฉินซีถือกระบี่ยันต์ศัสตราที่ได้รับการขัดเกลาใหม่ไว้ในมือและสังเกตมันอย่างระมัดระวัง ซึ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มีกลิ่นอายที่กดดันอย่างมากท่ามกลางกลิ่นอายอันเงียบสงบของยันต์ศัสตรา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายหนุ่มจดจ่ออยู่กับมัน ก็สามารถสังเกตเห็นยันต์เทวะจำนวนมหาศาลกำลังหมุนเวียนและสอดประสานกันอย่างไม่หยุดยั้งจากระยะไกล มันมีรูปแบบของการเชื่อมโยงที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแม้จะเป็นภายในของกระบี่ แต่มันก็กว้างใหญ่จนดูเหมือนจะสามารถรองรับโลกอันใหญ่โตได้!

แคร๊ก! แคร๊ก!

เฉินซีวางกระบี่ยันต์ศัสตราไว้กลางอากาศตรงหน้า ไม่ได้ใช้พลังใด ๆ แต่มิติและเวลารอบ ๆ กลับถูกฉีกกระชากด้วยพลังที่ไร้รูปร่าง ทำให้เกิดการระเบิดดังกึกก้อง ในขณะที่เวลาและมิติได้กลายเป็นระลอกคลื่นที่แตกสลาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังตกอยู่ในวัฏจักรแห่งการทำลายล้างและการฟื้นฟูอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเกิดเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด

พลังดังกล่าวอาจเกินความแข็งแกร่งของสมบัติเซียนระดับว่างเปล่าขั้นสุดยอด และมีเพียงสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ในตำนานเท่านั้นที่สามารถประชันกับพลังของมันได้!

สมบัติวิญญาณประดิษฐ์นั้นเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่ยันต์ศัสตรากลับไม่มีร่องรอยของรัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน

นั่นหมายความว่า แม้ระดับของยันต์ศัสตราในปัจจุบันจะเทียบได้กับสมบัติอมตะระดับว่างเปล่าขั้นสุดยอด แต่พลังของมันอาจเทียบได้กับสมบัติวิญญาณประดิษฐ์แล้ว!

เฉินซีรู้สึกพึงพอใจมากกับการเปลี่ยนแปลงนี้ และครุ่นคิดกับตัวเองว่า ข้าไม่ได้สูญเสียสมบัติเซียนระดับความว่างเปล่าขั้นสุดยอดและวัตถุดิบเซียนที่หายากไปกว่าร้อยชนิดอย่างเปล่าประโยชน์ ด้วยการที่มันสามารถครอบครองพลังเช่นนั้นได้ มิฉะนั้นข้าคงต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เป็นแน่…

เฉินซีมีความสุขเป็นพิเศษ เพราะเมื่อยันต์เทวะที่สถิตอยู่ในยันต์ศัสตราถูกนำมาใช้ พวกมันจะสามารถหลอมรวมเข้ากับเต๋าแห่งยันต์อักขระได้อย่างไร้ที่ติ และมันก็เพียงพอที่จะสำแดงพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นี่คือสิ่งที่เฉินซีให้ความสำคัญมากที่สุด

บางทีกระบี่เซียนอื่น ๆ อาจมีพลังที่น่าตกใจ แต่พวกมันไม่สามารถให้ความรู้สึกพิเศษแก่เฉินซีที่เชื่อมโยงกับกระบี่ด้วยเลือดได้ มีเพียงกระบี่ยันต์ศัสตราเท่านั้นที่ดูเหมือนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

แน่นอนว่า กระบี่เต๋าวิบัติก็ถือได้ว่าเป็นตัวตนที่มีเอกลักษณ์เช่นกัน มันมีพลังลึกลับเหนือธรรมชาติ และเมื่อพลังนี้ถูกใช้ มันก็สามารถปลดปล่อยกระบี่ดอกบัวโปร่งใสออกมามากมาย ซึ่งมีพลังอันไร้ขอบเขตในทำนองเดียวกัน

ทว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือกระบี่เต๋าวิบัติมีปฏิกิริยาต่อนิกายอำนาจเทวะอย่างแผ่วเบา และมันสามารถถูกใช้เป็นไพ่ตายได้

หลังจากสังเกตอย่างระมัดระวังเป็นเวลานาน เฉินซีก็เก็บยันต์ศัสตราออกไป แล้วลุกขึ้นยืนด้วยความพึงพอใจ หลังจากนั้นก็ออกจากโลกแห่งดาราและกลับคืนสู่ตำหนัก

หืม?

ทันทีที่มาถึงตำหนัก เฉินซีรู้สึกได้ทันทีว่าหวังต้าวหลู โจวจื่อหลี เซวียนหยวนพัวจวิน และคนอื่น ๆ กำลังรอที่ด้านนอกตำหนักอยู่ในขณะนี้

ข้าเพิ่งเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน หรือว่าจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นอีกครั้ง? ขณะที่ครุ่นคิด เฉินซีก็ออกคำสั่งในใจ และทันใดนั้นประตูตำหนักก็เปิดออก

“เชิญทุกท่าน”

ชายหนุ่มเข้าใจ แต่ไม่อาจยอมรับได้

หัวใจของทุกคนกระตุกวูบเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ซ่อนอยู่ในคำกล่าวของเฉินซี พวกเขาทราบชัดเจนว่าเจ้าสำนักรู้สึกโกรธเกรี้ยว และเขาตั้งใจที่จะแสดงความแข็งแกร่งต่อกองกำลังเหล่านั้นที่มารวมตัวอยู่ในเมืองเซียนสัประยุทธ์

“ท่านเจ้าสำนักเฉินซี มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าจำเป็นต้องกล่าว” ทันใดนั้น มู่หรงเทียนก็กล่าวขึ้นมา หลังจากลังเลอยู่นาน

เฉินซีเลิกคิ้ว “ปัจจุบัน กองกำลังของเราทั้งหมดเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นเราจึงควรเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และอย่าลังเลที่จะกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในใจ”

“บอกความจริงแก่ท่าน ยังมีหลายคนในสำนักที่ติดต่อกับตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี และตระกูลเจี้ยง แม้ว่าอาจารย์และศิษย์เหล่านั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหล่านั้นทางสายเลือด แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างใกล้ชิด” มู่หรงเทียนกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก

จู่ ๆ เฉินซีก็ตกอยู่ในความเงียบ และมีสีหน้าไร้อารมณ์

หวังต้าวหลู โจวจื่อหลี เสิ่นฮ่าวเทียน และอาจารย์คนอื่น ๆ ของสำนักรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาควรจัดการ แต่ตอนนี้กลับถูกมู่หรงเทียนเปิดโปง และมันทำให้พวกเขารู้สึกอับอายอย่างมาก

ผู้ยิ่งใหญ่จากกองกำลังอื่น ๆ ก็ถอนหายใจเช่นกัน เพราะในอดีต สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั่นน่าเกรงขามจนดูแคลนขุมกำลังทั้งหมดในภพเซียน แต่ตอนนี้ หลังจากประสบภัยพิบัติ อาจารย์และศิษย์บางคนก็ไม่ลังเลที่จะร่วมมือกับกองกำลังอื่นลับ ๆ ทั้งยังตั้งใจที่จะสร้างความวิบัติให้กับสำนัก เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองสถานการณ์นี้ ย่อมทำให้ผู้อื่นถอนหายใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เมื่อข้าสังหารเหล่าราชันเซียนในวันนั้น ข้าได้ให้โอกาสแก่พวกมันแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ล้างบางสำนักของพวกมันจนหมดสิ้น แต่บัดนี้ เนื่องจากพวกมันยังไม่ตระหนักถึงความผิดของตนเอง มันจึงไม่สามารถตำหนิใครได้” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น

หวังต้าวหลูอ้าปากแต่ไม่รู้จะกล่าวอะไร เพราะนี่เป็นปัญหาที่ยากจะจัดการจริง ๆ เหล่าอาจารย์และศิษย์บางคนก็ทำเช่นนั้นแม้จะตกอยู่ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ พวกเขายังคงปฏิเสธที่จะยอมแพ้ และมันก็น่าผิดหวังอย่างแท้จริง

“อาจารย์หวัง อาจารย์ใหญ่โจว ท่านสองคนจงจัดการกับเรื่องนี้ คำขอของข้าง่ายมาก ห้ามมีผู้ทรยศอยู่ในสำนักเป็นอันขาด!” เฉินซีตัดสินใจในลักษณะที่ไม่อาจโต้เถียงได้

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หวังต้าวหลูและโจวจื่อหลีก็มองหน้ากัน จากนั้นก็หยุดลังเลทันที และจากไปหลังจากได้รับคำสั่ง

ในขณะนี้ มีชายชราสวมชุดสีเทามาถึงด้านนอกสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เขาแจ้งชื่อและขอให้ศิษย์ที่ประตูทางเข้ารายงานว่าต้องการเข้าพบกับเฉินซี และเขามาจากนิกายอำนาจเทวะ!

“นิกายอำนาจเทวะ? ฮ่า! ช่างคาดไม่ถึง! ข้าคิดว่าพวกมันจะเปิดศึกกับข้าทันที ไม่นึกว่าพวกมันจะส่งคนมาเจรจาจริง ๆ” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อย และเพียงไตร่ตรองสั้น ๆ ก่อนที่จะสั่งให้อนุญาตชายชราคนนั้นเข้ามา

“คารวะท่านเจ้าสำนัก ข้ามีนามว่าซุ่ยเหวินจิง ข้าอยู่อันดับที่สี่ในบรรดาเจ็ดยอดศิษย์ชั้นสูงของนิกายอำนาจเทวะ” ชายชราจากนิกายอำนาจเทวะต้องตกตะลึงในใจ เมื่อเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าและเห็นเฉินซีซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ช่างแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ ทั้งยังบรรลุขอบเขตราชันเซียนแล้ว

“ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพื่อแสดงเจตนาดีต่อท่านในนามของนิกายอำนาจเทวะ หากท่านเต็มใจที่จะร่วมมือกับนิกายอำนาจเทวะของข้า แน่นอนว่าจะมีสถานที่สำหรับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าภายในภพเซียนในอนาคต ข้าหวังว่าท่านจะไตร่ตรองอย่างรอบคอบ” ซุ่ยเหวินจิงกล่าวด้วยท่าทีที่ไม่หยิ่งผยองหรือถ่อมตัว ทั้งยังดูกล้าหาญและตรงไปตรงมา ซึ่งดูเหมือนไม่กังวลว่าเฉินซีจะฟาดฟันตนด้วยความโกรธเกรี้ยว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]