บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 156

บทที่ 156 เพลิงยมโลกผลาญวิญญาณ

บทที่ 156 เพลิงยมโลกผลาญวิญญาณ

อาณาบริเวณอันกว้างใหญ่และลานหน้าวัง มีศิษย์พระราชวังข่ายดารามากมายและผู้อาวุโสราวสิบกว่าคนสวมผ้าคลุมหรูหราที่ประดับตราสัญลักษณ์ดวงดาวเปล่งรัศมีแรงกล้า ในบรรดาคนทั้งหมดมีคนผู้หนึ่งที่ดูเด่นเป็นสง่าคือบุรุษวัยกลางคนสวมผ้าคลุมสีทองพร้อมด้วยมงกุฎดวงดาว เขาผู้นี้หาใช่อื่นไกลแต่เป็นประมุขของพระราชวังข่ายดารา…เถี่ยอวิ๋นจื่อ

เวลานั้นทุกคนได้ยินคำพูดของไป๋หว่านฉิงซึ่งอัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังเข้ากระดูกดำกันถ้วนทั่ว คนฝ่ายพระราชวังข่ายดาราต่างมีสีหน้าตึงเครียด และแสดงอาการโกรธเคืองอย่างรุนแรงพร้อมกับตะโกนสาปแช่งเสียงอื้ออึง

“มันจะมากเกินไปแล้ว! พวกเราพระราชวังข่ายดารามีผู้บ่มเพาะถึงแปดหมื่นสี่พันคน คิดหรือว่าคนของข้าจะกลัวพวกเจ้าที่มีกันแค่สามคนน่ะ”

“พวกเจ้ารนหาที่ตายเอง! แค่พูดว่าพวกเจ้าสามคนจะมาทำลายพระราชวังข่ายดาราของข้าให้พินาศอย่างนั้นหรือ ฟังแล้วอยากหัวร่อให้ฟ้าถล่ม!”

“เหอะ! พวกเจ้าแอบดอดเข้ามาในพระราชวังข่ายดาราของข้าเอง ไม่มีทางหนีพ้นชะตากรรมทุกข์ทรมานไปได้หรอกรู้ไว้เสียด้วย ยังมีหน้ามาบอกว่าจะทำลายพระราชวังข่ายดาราให้พินาศ คนโง่เขลาปราศจากความเกรงกลัวอย่างพวกเจ้า สมควรตายแล้ว!”

“หุบปาก!” เถี่ยอวิ๋นจื่อผู้เป็นประมุขพระราชวังข่ายดาราตวาดโพล่งเสียงดังสนั่น ยามนี้เขาโกรธจนหน้าเขียว จากการประเมินด้วยสายตาของเขายามนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าพลังของพวกไป๋หว่านฉิงแกร่งกล้าเพียงใด ที่แน่ ๆ เมื่อไป๋หว่านฉิงเอ่ยพูดคำเหล่านั้นออกมา มันทำให้เขาถึงกับสบถออกมาในใจทันที ยิ่งเมื่อได้ยินพวกศิษย์เอะอะโวยวายเหมือนคนบ้าเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาต้องการฟาดสักฉาดสองฉาดให้มันตายไปเลย

ทันทีที่เถี่ยอวิ๋นจื่อระเบิดเสียงพูด เสียงเอะอะโวยวายทั้งหมดพลันเงียบกริบทันที เงียบเสียจนเกือบจะได้ยินเสียงเข็มหล่น บรรยากาศโดยรอบสงบและอึดอัดขึ้นมาทันที

ศิษย์ทุกคนจับตามองประมุขพระราชวังข่ายดาราของพวกเขาด้วยสีหน้ากังวลและสงสัย และดูเหมือนพวกเขาจะฉงนใจอย่างยิ่งด้วยว่าเหตุใดเถี่ยอวิ๋นจื่อจึงทำท่าเหมือนจะส่งเสริมฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังยับยั้งความฮึกเหิมของฝ่ายเดียวกัน แต่การบ่มเพาะพลังของพวกเขาไม่อาจสำเหนียกถึงพลังบ่มเพาะที่แท้จริงของชายชราที่อยู่ข้างกายไป๋หว่านฉิงได้เลย ดังคำกล่าวที่ว่า ‘คนโง่จึงไร้ซึ่งความกลัว’

เถี่ยอวิ๋นจื่อไม่ได้สนใจว่าศิษย์เหล่านี้จะคิดอย่างไร เขาสูดลมหายใจและหันไปมองไป๋หว่านฉิง จากนั้นจึงประสานมือแสดงคารวะต่อฝ่ายหลังมาแต่ไกล ขณะที่เขาทำท่าจะอ้าปากพูดนั้นเอง เสียงหัวเราะของใครสักคนก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

เป็นเสียงหัวเราะของชายหนุ่มผมแดงที่อยู่ข้างกายไป๋หว่านฉิงนั่นเอง ใบหน้าคมคายมีเสน่ห์และผมสีแดงดั่งเปลวไฟ ยามนี้เขาแหงนหน้าเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นสนั่นไปทั่วท้องฟ้า กลิ่นอายแห่งความโอหังพุ่งวาบออกมาจากร่างกาย

“น้าเล็ก ท่านจะพูดอะไรกับมดปลวกพวกนี้อีกเล่า ในเมื่อพวกมันกล้าจับตัวน้องซีซีของข้าเพื่อจะให้นางไปเป็นศิษย์ ฉะนั้นพวกมันทั้งหมดสมควรตาย!” ผู้พูดพลันเหลือบไปมองผูุ้บ่มเพาะของนิกายพระราชวังข่ายดาราด้วยความดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะบอกพวกเจ้าทุกคนก็ได้ว่าวันนี้คนทั้งโลกก็ไม่มีใครช่วยพวกเจ้าได้ ปล่อยตัวน้องสาวข้าเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะยอมให้พวกเจ้าตายอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกคนได้ลิ้มรสความรู้สึกเวลาที่วิญญาณของพวกเจ้าถูกเผาผลาญทรมานด้วยเพลิงยมโลก!”

โอหัง!

จองหอง!

กลิ่นกายที่แผ่ออกมาจากร่างกายและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามของชายหนุ่มผมแดงเพลิงดูราวกับอสูรในร่างคน ทำให้เซี่ยจ้าน…นายน้อยแห่งตระกูลเซี่ยยอมเชื่อฟังแต่โดยดี

“สามหาว! มากไปแล้ว! จะฆ่าพวกเราทุกคนอย่างนั้นหรือ ข้าว่าสมองของเจ้าคงจะเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ!” ศิษย์ของพระราชวังข่ายดาราที่ทนไม่ไหวต่อไป สบถโต้ตอบอย่างเดือดดาล

“สมองข้าเพี้ยนอย่างนั้นหรือ…รนหาที่ตาย!” ชายหนุ่มผมแดงหรี่ตาลง ขณะนั้นภาพเงาของแกนทองคำหยินหยางได้แผ่รัศมีเรืองรองสดใสออกมาเหนือศีรษะ ขนาดของมันใหญ่พอ ๆ กับศีรษะมนุษย์ ส่วนบนมีเทพอสูร ระลอกคลื่นถาโถม ภูเขาลูกใหญ่ ก้อนเมฆดำทะมึน อัคคี วารีและยังมีมังกร พยัคฆ์ กระเรียนเหินทะยาน พายุ…ปรากฏการณ์ประหลาดราวกับสิ่งมีชีวิตอันโอ่อ่าและยิ่งใหญ่

เปรี้ยงงงง!

เมื่อภาพเงาเลือนรางของแกนทองคำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทันใดนั้นพื้นที่รอบกายชายผมแดงก็เริ่มไหวสั่น ฉับพลันมวลอากาศน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งขึ้น ส่งผลให้ก้อนเมฆและกลุ่มหมอกในรัศมีหนึ่งพันลี้กระจายหายวับไปในอากาศ ต่อมาจึงได้บังเกิดเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขึ้นมา

น่าครั่นคร้ามแค่ไหน! แกนทองคำเพียงหนึ่งกลับประจุเต๋ารู้แจ้งถึงสิบเก้าอัน! คนที่จับตามองมาแต่ไกล เฉินซีหรี่ตาลง ในใจไหววูบด้วยความตกตะลึงอย่างมาก

เมื่อผู้บ่มเพาะก้าวสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ในตัวของผู้บ่มเพาะจะเกิดการผสานระหว่างจิตวิญญาณกับปราณแท้เข้าด้วยกัน ผู้บ่มเพาะหลายคนที่ถ่องแท้ในเต๋ารู้แจ้งจะปรากฏแกนทองคำให้เห็น และยิ่งถ่องแท้ในเต๋ารู้แจ้งมากขึ้นเท่าไร พลังของแกนทองคำก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น หากผู้นั้นก้าวต่อไปอีกขั้นจนเข้าใจในเขตแดนเต๋า พลังของแกนทองคำก็จะเพิ่มขึ้นได้สองถึงสามเท่า!

เฉินซีเคยได้เห็นแกนทองคำของซูเหลิ่งมาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะนั้นซูเหลิ่งเพิ่งถ่องแท้ในเต๋ารู้แจ้งเพียงหนึ่งเดียวชื่อว่า ‘มรรคายมโลก’ และเมื่อมรรคายมโลกผสานอยู่ภายในแกนทองคำของเขา จึงเกิดเป็นพลังลมหม่นมัวดูเป็นสีเทาทว่ามิใช่สีเทา

หากชายคนนี้เข้าใจในเขตแดนเต๋าเมื่อใด ความน่าเกรงขามของเขาจะมีมากกว่าเขตแดนเต๋ากร่อนโลหิตของหลัวซิ่วเป็นสิบเท่าเลยด้วยซ้ำ…บัดนี้เฉินซีได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งอันอ่อนด้อยของตนเอง

ครั้งหนึ่งจี้อวี๋เคยบอกกับเขาว่า อย่าคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะเพียงคนเดียว เพราะในโลกนี้มีอัจฉริยะมากมายเกินกว่าที่ตัวเขาจะจินตนาการ และคนที่มีพรสวรรค์ที่ดีกว่าเขามีอีกมากมายนับไม่ถ้วนเปรียบได้ดั่งเม็ดทรายก้นแม่น้ำ

ความแข็งแกร่งของชายผมแดงเพลิงถือเป็นข้อพิสูจน์คำพูดเหล่านี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ฟิ้วววว!

ทันทีที่เค้าโครงแกนทองคำมาปรากฏ คนผมแดงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และยามใดที่เท้าก้าวออกไปจะมีดอกบัวสีแดงฉานปานโลหิตผุดขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเสมอ จนกระทั่งเขาเดินไปปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์พระราชวังข่ายดาราปากกล้าคนนั้น เขาพลันเงื้อฝ่ามือขึ้นก่อนจะฟาดเปรี้ยงลงไป บดขยี้ศิษย์คนตรงหน้าจนแหลกละเอียดในพริบตา หลังจากนั้นกลุ่มควันสีดำจึงพวยพุ่งขึ้นและชายหนุ่มผมแดงก็เอื้อมมือออกไปคว้าร่างโปร่งแสง ร่างนั้นพยายามดิ้นรนสุดชีวิต แน่นอนว่าร่างโปร่งแสงนั้นคือวิญญาณของศิษย์ปากกล้าคนนั้นนั่นเอง

“เจ้ามันปากกล้ารนหาที่ตายแท้ ๆ เอาล่ะ ต่อไปเจ้าจะได้ลิ้มรสความรู้สึกที่ถูกเพลิงยมโลกเผาวิญญาณ ข้าจะทำให้เจ้าไม่อาจอยู่และไม่อาจตาย จากนั้นเจ้าก็จะหมดอาลัยตายอยากจมอยู่กับความทนทุกข์ทรมาน!” จบคำพูด ร่างของชายผมแดงเพลิงก็หายวับราวกับภูตผีกลับไปปรากฏที่ข้างกายของไป๋หว่านฉิง ขณะที่เส้นแสงดำทะมึนพร้อมด้วยลูกคลื่นเปลวเพลิงพุ่งวาบออกจากแกนทองคำที่อยู่เบื้องบนคนผู้นั้นทันที มันเข้าปกคลุมดวงวิญญาณเพื่อชำระล้างก่อนเผาผลาญดวงวิญญาณของศิษย์พระราชวังข่ายดาราผู้เคราะห์ร้าย

การเคลื่อนไหวของชายผมแดงเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มลงมือเคลื่อนไหวจนกระทั่งถึงตอนที่ใช้ทักษะวิชาเพลิงยมโลกผลาญวิญญาณกินเวลาเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น อย่าว่าแต่บรรดาศิษย์ของพระราชวังข่ายดาราที่ไม่ทันตั้งตัว แม้แต่เถี่ยอวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสทุกคนของพระราชวังข่ายดาราก็ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือได้ทัน

“อ๊ากกก!!” เสียงกรีดร้องโหยหวนอันน่าสังเวชดังขึ้นกลางแสงแปลบปลาบของเพลิงยมโลกดำทะมึน ดวงวิญญาณโปร่งแสงนั้นกำลังพยายามกระเสือกกระสนดิ้นรน ลำตัวโค้งงอและหลบเลี่ยงด้วยการบิดตัว ภาพที่โหดเหี้ยมอำมหิตนี้ทำให้ผู้คนที่มองดูแต่ไกลถึงกับขนหัวลุกและเสียวสันหลังวาบ

“ฮ่า ๆๆ เสียงร้องของเจ้าช่างไพเราะเพราะพริ้งจริง ๆ!” ชายผมแดงเพลิงหลับตาลง ปากพึมพำราวกับคนที่กำลังละเมอ ใบหน้าบ่งบอกถึงความร้ายกาจทว่ามีเสน่ห์แสดงออกถึงความรื่นรมย์อย่างหาใดเปรียบ

“บัดซบ! มันจับศิษย์พี่ใหญ่โจวอวี๋ไว้ พวกเรารีบไปฆ่ามันเร็ว!”

“ถูกต้อง พลังของมันแค่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น พวกเราลงมือจู่โจมไปพร้อมกัน ฆ่ามันเสียและพาดวงวิญญาณของศิษย์พี่ใหญ่โจวอวี๋กลับมา!”

“ฆ่ามัน!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]