บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 155

บทที่ 155 พบโดยบังเอิญ

บทที่ 155 พบโดยบังเอิญ

ยอดเขาใจสัจธรรม

ภายหลังจากจัดการเรื่องของเฉินฮ่าวกับเมิ่งคงจนเรียบร้อยแล้ว เฉินซีก็ทะยานขึ้นไปทางหลังเขาซึ่งเป็นอาณาเขตต้องห้ามของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทันที

เวลานี้บุตรสาวของท่านน้าไป๋…ซีซี ได้ถูกเจียงชิงผู้อาวุโสหญิงของพระราชวังข่ายดาราจับตัวไปและไม่แน่ว่านางจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ สถานการณ์ของนางในตอนนี้เขาเองไม่อาจรู้ได้ แต่ที่รู้เขาจะต้องตามหาเป่ยเหิงผู้เป็นบรรพจารย์สูงสุด จากนั้นจึงค่อยมุ่งหน้าไปยังพระราชวังข่ายดารา เพื่อหาทางบีบให้ทางพระราชวังข่ายดารายอมปล่อยตัวเสี่ยวซีออกมา!

พระราชวังข่ายดาราเป็นหนึ่งในกองกำลังแปดแห่งขนาดใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจเทียบได้กับนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ทว่าในนั้นมีผู้บ่มเพาะในขอบเขตจุติหลายคน อีกยังมี ‘ฉ่าวเส้า’ ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาคอยปกป้อง ฉะนั้นจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

ลำพังพลังของตนเองตอนนี้ การที่เฉินซีต้องการทำลายพระราชวังข่ายดาราด้วยกำลังของตัวเองนั้นไม่ต่างกับมดตัวจ้อยที่คิดจะโค่นต้นไม้ใหญ่ การไปที่นั่นคนเดียวไม่ต่างจากการไปรนหาที่ตาย เหตุที่เขาดึงเป่ยเหิงให้เข้ามามีส่วนร่วม เพราะชายหนุ่มต้องการใช้ประโยชน์จากอำนาจและอิทธิพลของอีกฝ่ายบีบให้พระราชวังข่ายดาราปล่อยตัวเสี่ยวซี ขณะเดียวกันเรื่องจะขอให้เป่ยเหิงปะทะกับพระราชวังข่ายดารานั้นดูจะเป็นไปไม่ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเป่ยเหิงนั้นเกิดขึ้นได้เพราะสตรีที่ปลอมกายเป็นชายหนุ่มรูปงามเท่านั้น ดังนั้นเป่ยเหิงจะยอมถลำเป็นอริกับพระราชวังข่ายดาราอย่างง่าย ๆ ได้อย่างไร

แต่หากจะใช้อำนาจและอิทธิพลของเป่ยเหิง ด้วยการขอให้อีกฝ่ายขอร้องทางพระราชวังข่ายดาราเป็นการส่วนตัว เฉินซีค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะยอม

ฟิ้วววว!

ลำแสงพาดผ่านไปบนท้องฟ้าเพียงชั่วไม่กี่อึดใจ เฉินซีก็มาถึงที่ทะเลสาบสีครามอันเงียบสงบท่ามกลางหุบเขาอีกครั้ง

“พี่ใหญ่เป่ยเหิง” ชายหนุ่มมองเห็นเป่ยเหิงที่สวมเสื้อคลุมสีเทาและเส้นผมสีดอกเลาจากระยะไกลได้ทันที ขณะนั้นอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่กลางดอกบัวที่ลอยอยู่ในทะเลสาบขณะฝึกบ่มเพาะพลัง ชายหนุ่มรีบประสานกำปั้นคารวะพร้อมกล่าวทักทายมาแต่ไกลทันที

“น้องชาย ดูเจ้าร้อนใจเช่นนั้น มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ” ทันทีที่เป่ยเหิงลืมตาขึ้นมอง สายตาคมปลาบดั่งสายฟ้าฟาดพลันพุ่งวาบผ่านหน้าเฉินซี จากนั้นจึงเสียงถามด้วยความประหลาดใจก็ดังขึ้น

“ขอตอบตามตรง ที่มาครั้งนี้ข้ามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่…” ต่อมาเฉินซีได้ถ่ายทอดทุกอย่างให้คนตรงหน้าทราบทันที หลังจากพูดจนหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองเป่ยเหิงอย่างเงียบงัน

“พวกมันทำเกินกว่าเหตุ!” แววตาเย็นเยียบฉายวาบในดวงตาของเป่ยเหิง จากนั้นเขานิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบให้ว่า “น้องเล็ก เจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไร”

คนถูกถามกล่าวช้าชัด “ข้าหวังว่าพี่ใหญ่เป่ยเหิงจะออกหน้าให้พวกนั้นเห็นเป็นที่ประจักษ์ และขอให้พระราชวังข่ายดาราปล่อยตัวเสี่ยวซี ตราบใดที่นางได้รับการช่วยเหลือกลับมาอย่างปลอดภัย เพียงเท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว ส่วนเรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าจัดการเองขอรับ”

เป่ยเหิงย้อนถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “น้องเล็ก แล้วเจ้าจะปล่อยพระราชวังข่ายดาราไปอย่างนั้นหรือ อย่างนี้พวกเขาจะยิ่งได้ใจน่ะสิ!”

เฉินซีส่ายศีรษะพลางตอบว่า “ข้าเข้าใจความคิดของพี่ใหญ่ดี ทว่าหากมันทำให้นิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเราต้องกลายเป็นศัตรูกับพระราชวังข่ายดารา ข้าก็รู้สึกไม่ดีเหมือนเป็นบาปติดตัวไปด้วย”

ผู้เป็นพี่ใหญ่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เรื่องนั้นก็จริงอยู่ อนิจจา…หากไม่ได้เห็นแก่ศิษย์นิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้วละก็ เห็นทีคราวนี้ข้าจะต้องทำลายพระราชวังข่ายดาราให้พินาศแน่!”

‘สหายเฒ่า…พูดจาเสแสร้งชัด ๆ…’ เฉินซีนึกพลางลอบถอนใจเล็กน้อยแต่ภายนอกของเขาไม่ได้แสดงออกถึงสิ่งที่คิด

อย่างน้อยเขาก็ทำให้เป่ยเหิงยอมออกหน้าแทนเขาได้สำเร็จ ซึ่งเท่านี้ก็ช่วยได้มากแล้ว เขายังจะไม่พอใจอะไรอีกได้อย่างไร

ความสัมพันธ์เพียงผิวเผินที่เรียกว่าผลประโยชน์เป็นอย่างนี้เอง เมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกัน คนคนหนึ่งก็จะเรียกอีกคนหนึ่งว่าเป็นพี่เป็นน้อง สรวลเสเฮฮาร่วมวงดื่มสุรา มีความใกล้ชิดสนิทสนม แต่เมื่อใดที่ไร้ซึ่งผลประโยชน์ที่จะได้ คนคนนั้นจะมีท่าทีแตกต่างไป ผลักไสไล่ส่ง ไม่จริงใจต่อกันและอาจถึงจุดแตกหักของความสัมพันธ์ก็เป็นไปได้

ความรู้สึกนั้นก็เช่นเดียวกับเวลาได้ดื่มน้ำ จะมีก็เพียงเจ้าตัวคนนั้นที่รับรู้ว่าน้ำเย็นหรือน้ำร้อนแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม ในความคิดของเป่ยเหิงมองว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ไม่เพียงเขาจะสามารถช่วยเฉินซีแก้ปัญหาในขณะที่ฝ่ายนั้นต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเท่านั้น แต่ยังทำให้ชายหนุ่มเป็นหนี้บุญคุณเขาด้วย และเมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วการแลกเปลี่ยนครั้งนี้นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก

พระราชวังข่ายดาราอยู่ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองทะเลสาบมังกร สถานที่นี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก มีตำนานเล่าขานว่าเทือกเขาแห่งนี้ก่อตัวขึ้นภายหลังปรากฏการณ์อุกกาบาตนอกโลกตกลงมา จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานนับพันปีจึงเกิดเป็นแร่ธาตุและสินแร่อันเต็มไปด้วยปราณวิญญาณขึ้นมา แม้กระทั่งมีร่องรอยสายพลังแห่งดวงดาวมากมายอยู่ภายใน สถานที่นี้จึงได้ชื่อว่า ‘ภูเขาดาวตก’

เมื่อเฉินซีมาถึงท้องฟ้าเหนือภูเขาดาวตก เขาก็เห็นยอดเขามากมายที่สูงขึ้นมาจากพื้นดินเบื้องล่าง ภูเขาบางลูกสูงตระหง่านราวกับพุ่งทะลุเข้าไปในก้อนเมฆ ภูเขาบางลูกมีความสวยงาม ในขณะที่บางลูกปกคลุมไปด้วยก้อนหินขรุขระตะปุ่มตะป่ำและมีรูปร่างแปลกตา บางลูกรายล้อมไปด้วยน้ำตกหลายแห่ง ใครก็ตามที่อยู่กลางอากาศแล้วมองลงมา จะสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณหนาแน่นซึ่งปลดปล่อยออกมาจากภูเขาที่มีขนาดมหึมาเหล่านั้น ราวกับได้อำนวยพรแห่งความสุขตราบนิจนิรันดร์

“พวกเรามาถึงภูเขาดาวตกอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังข่ายดาราแล้ว” เสียงลุ่มลึกของเป่ยเหิงเอ่ยขึ้น “สามพันปีก่อน พระราชวังข่ายดาราเป็นใหญ่ในเขตแดนทางใต้ มีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีอยู่หลายสิบคน โชคร้ายที่ในครั้งนั้นคนส่วนใหญ่ต้องมาตายลงระหว่างทำการปราบนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต มิฉะนั้นคงยากหรืออาจเป็นไปไม่ได้เลยที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าจะเจิดจรัสเหนือผู้คนและสามารถขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดของเขตแดนทางใต้เช่นเวลานี้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]