บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 154

บทที่ 154 ความโกรธของเฉินฮ่าว

บทที่ 154 ความโกรธของเฉินฮ่าว

เคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพที่เฉินซีได้รับมาจากที่พำนักของเซียนกระบี่ เมื่อครั้งที่อยู่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพ เช่นเดียวกับเคล็ดวิชามายาเทพและเคล็ดวิชาสังหารเทวา พวกมันล้วนเป็นวิชาโจมตีวิญญาณที่ลึกล้ำและยากหยั่งถึง

มีเพียงผู้บ่มเพาะที่มีญาณตระหนักรู้เท่านั้นจึงใช้เคล็ดวิชามายาเทพได้

ส่วนเคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพ ผู้บ่มเพาะที่มีญาณจิตเท่านั้นจึงจะใช้งานได้

อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาสังหารเทวากลับมีความต้องการที่สูงยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของผู้ใช้นั้นต้องบรรลุถึงระดับญาณศักดิ์สิทธิ์เสียก่อนจึงจะใช้งานได้

ในขณะนี้ ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของเฉินซี ได้บรรลุถึงระดับญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว และมันห่างจากการบรรลุสู่จิตสัมผัสเทพเพียงก้าวเดียว ดังนั้นพลังของมันจึงมากพอที่จะใช้เคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพ นอกจากนั้น อานุภาพของมันก็น่าเกรงขามมากกว่าตอนที่เขาสังหารผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหลี่ และก็เพียงพอที่จะทำลายจิตสำนึกของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไป ทำให้ผู้บ่มเพาะที่โดนเคล็ดวิชานี้โจมตีกลายเป็นคนฟั่นเฟือนในที่สุด

นอกจากนี้ ภายใต้สภาวะที่ไม่ทันตั้งตัว ก็อาจทำให้ห้วงจิตสำนึกของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน และต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็ยังต้องตกอยู่ในสภาวะมึนงงชั่วคราวจากการถูกโจมตีนั้น

“หืม?” ในขณะที่เฟิ่งหมิงไล่ตามรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้าอย่างกระชั้นชิด จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ และเขาตระหนักได้อย่างฉับพลัน ว่ามีพลังวิญญาณที่ทรงพลังกักขังเขาไว้ในทันที

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะตอบสนองต่อมันทัน ภูเขาสูงตระหง่านขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันภายในห้วงจิตสำนึกของเขา มันกระแทกลงมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้น ความเจ็บปวดที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายและทำให้สติของเขาพร่ามัว ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาไม่ได้บังคับร่างกายเอาไว้ก่อน เขาก็คงจะกระแทกเข้ากับกำแพงแล้ว

“บัดซบ! แท้จริงแล้วมันคือทักษะโจมตีวิญญาณ! ใครกัน? ใครบังอาจลอบโจมตีข้าจากเงามืด!” หลังจากนั้นไม่นาน เฟิ่งหมิงก็ได้สติจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยเจตนาสังหารอันดุร้าย

กระแสของผู้คนบนท้องถนนเป็นดั่งผ้าไหมทอดยาวออกไปอย่างคึกคัก พวกเขาต่างก็มีสีหน้าปกติ เฟิ่งหมิงได้กวาดมองไปรอบ ๆ เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่พบร่องรอยที่น่าสงสัยใด ๆ เขาจึงบ่นพึมพำในใจทันที ‘ตอนนี้การบ่มเพาะของข้าอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว และมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเท่านั้น ที่สามารถลอบโจมตีข้าจากเงามืดได้ หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้นมีปรมาจารย์คอยปกป้องเขาอยู่?’

ก็นับว่าไม่แปลกใจที่เฟิ่งหมิงจะรู้สึกสงสัยเช่นนี้ เพราะทักษะโจมตีวิญญาณนั้นไม่ค่อยเป็นที่พบเห็นนัก และเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าเฉินซีจะฝึกฝนเคล็ดวิชาเช่นนี้ ซึ่งอันที่จริง ความแข็งแกร่งของวิญญาณของชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย

‘นับว่าโชคดีที่ปรมาจารย์คนนั้นไม่ได้คิดที่จะลงมือฆ่าข้า มิฉะนั้น วันนี้ข้าเฟิ่งหมิงจะไม่ทอดร่างตายอยู่ที่นี่หรือ?’ เมื่อเขาคิดถึงจุดนี้ เฟิ่งหมิงก็ไม่กล้าติดตามเฉินซีอีกต่อไป และรีบหลบซ่อนไปท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่าน ก่อนที่จะหายสาบสูญไป

หลังจากนั้นไม่นาน เขาได้มาถึงบ้านหลังหนึ่ง และหลังจากมองไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจเขา จึงรีบผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่านขอรับ เจ้าเด็กคนนั้นมันได้ปรากฏตัวในเมืองทะเลสาบมังกรแล้ว แต่น่าเสียดายที่มีปรมาจารย์คอยปกป้องเขาอยู่ และข้าจึงไม่สามารถเข้าใกล้พวกเขาไปมากกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ปรมาจารย์คนนั้นมีทักษะโจมตีวิญญาณ แม้แต่จิตสำนึกของข้าเองก็ยังถูกเขาโจมตี จนทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าหลบหนีได้ทัน ก็เกรงว่าคงไม่อาจได้กลับมาอีกแล้ว”

เฟิ่งหมิงเข้ามาในห้องและกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ข้าขอแนะนำให้พวกเราขอกำลังเสริมจากนิกาย เมืองทะเลสาบมังกรในตอนนี้มีปรมาจารย์มากเกินไป และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแย่งชิงยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมโดยอาศัยความแข็งแกร่งของพวกเราเพียงอย่างเดียว ท้ายที่สุด เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตอนนี้อยู่ในการครอบครองของเจ้าเด็กคนนั้น ซึ่งมันได้กลายเป็นจุดสนใจของกองกำลังต่าง ๆ และทุกคนต่างก็ปรารถนาที่จะแย่งชิงมันมาไว้ในครอบครอง หากเรารีบลงมือโดยพลการ ข้าเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวตนของพวกเรา”

หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่สวมชุดสีดำกำลังเล็มต้นกับดักมารสีแดงเลือด ฝ่ามือที่บอบบางและขาวราวกับหยกเนื้อดีของนางกำลังถือกระบี่บินอันแหลมคม ด้วยการสะบัดข้อมือของนาง ใบไม้เหี่ยวเฉาบางใบจึงถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้นเป็นจำนวนมากราวกับสายฝนโปรย และท่าทางของนางก็ดูไร้ซึ่งความกังวล

ทว่า เมื่อนางได้ยินคำกล่าวของเฟิ่งหมิง มือของนางก็หยุดนิ่ง จากนั้นปราณกระบี่ที่รวดเร็วและรุนแรงก็ผลิบานบนปลายกระบี่บินอันแหลมคม ก่อนที่จะสับต้นกับดักมารสีแดงเลือดที่เบ่งบานอย่างงดงามจนกลายเป็นผุยผง และแม้แต่กระถางดอกไม้เอง ก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง’

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะทำได้แค่ต้องถอนตัวก่อนเท่านั้นสินะ” เสียงของหัวหน้าหมู่ตึกฟ่านแฝงไปด้วยความไม่เต็มใจ ในขณะที่นางกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ “เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะนำข่าวดีกลับมา แต่ใครจะรู้ แทนที่จะเป็น…”

“หรือจะมีบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้หรือขอรับ” เฟิ่งหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“ย่อมใช่อย่างแน่นอน นายท่านได้ทราบข่าวที่ผู้พิทักษ์จิตอสูรถูกสังหารแล้ว และเขาได้ส่งสาส์นจันทร์เสี้ยวโลหิตออกมา โดยมีคำสั่งให้พวกเราทั้งคู่กลับไปที่นิกายโดยด่วนและไม่อาจชักช้าแม้แต่น้อย” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านกล่าวช้า ๆ

“อะไรนะ? หากเราต้องกลับไปเช่นนี้ เราจะไม่… เป็น…” เฟิ่งหมิงไม่สามารถกล่าวต่อไปได้อีก และใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ข้าไม่ได้กังวลถึงเรื่องนั้น เพราะในเวลานี้ นายท่านต้องการคนรองมือรองเท้า และเขาจะไม่ฆ่าพวกเราอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากพวกเราได้สูญเสียยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมไป ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก่อนกลับคือนำมันกลับคืนมา” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าแค่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เดิมทีสมบัติอมตะอย่างเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ซึ่งควรอยู่ในมือของข้ากลับถูกเจ้าเด็กคนนั้นแย่งชิงไป ทำให้ข้าไม่ได้อะไรเลยนอกจากการสูญเสียสมบัติอมตะและลูกน้องของข้าไป ช่างเป็นความอัปยศอดสูที่ไม่อาจรับได้!”

“ท่านหมายถึงสิ่งใดหรือขอรับ?” เฟิ่งหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีเมื่อได้รู้ว่ามันจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขา ไม่ว่านางจะกล่าวถึงความอัปยศอดสูใด ๆ ก็ตาม เขาไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย

“สิ่งที่ข้าหมายถึงน่ะหรือ? ข้าจะทำอะไรได้อีก นายท่านได้วางแผนและเตรียมการ เพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูนิกายให้กลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์มาหลายสิบปีแล้ว และเขาจะไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้ เพราะข้อผิดพลาดที่เกิดจากพวกเราสองคน จึงได้เปิดเผยการมีอยู่ของนิกายทางอ้อม และข้าเกรงว่ากองกำลังอันยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกรคงคาดเดาถึงตัวตนของพวกเราได้แล้ว” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านกล่าวช้า ๆ

“ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านยังเรียกเราทั้งสองกลับไปที่นิกายในครั้งนี้เพื่อสะสมความแข็งแกร่ง เพื่อที่ว่าในสิบปีข้างหน้า หลังจากขัดเกลาบ่อเทวะแปรโลหิตจนเสร็จสมบูรณ์ เราจะดำเนินแผนคืนชีพจันทร์เสี้ยวโลหิตอย่างเต็มที่!”

“ในที่สุดเราจะได้เข้าสู่สงครามแล้วหรือ?” เฟิ่งหมิงรู้สึกกระตือรือร้น และเลียริมฝีปากของเขา “ราชวงศ์ซ่งเฟื่องฟูและมั่งคั่งอย่างแท้จริง การอยู่ในแดนรกร้างนรกโลหิตตลอดเวลาก็เหมือนกับอยู่ในนรกที่โหดร้าย ข้าไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกต่อไปแล้ว! แต่น่าเสียดายที่ข้ายังคงต้องรออีกสิบปี…”

“สิบปี?” เสียงของหัวหน้าหมู่ตึกฟ่านแผ่วเบา “สำหรับผู้บ่มเพาะ มันก็เป็นเพียงชั่วพริบตา”

ภายในรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้า

หลังจากที่เฉินซีขับไล่คนในชุดดำด้วยเคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพของเขา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรู้สึกผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งเขายังได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนใด ๆ เขาจะไม่เข้ามาในเมืองทะเลสาบมังกรโดยพลการเป็นอันขาด

เพราะตอนนี้เขาได้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์จึงทำให้ตกเป็นเป้าหมายของผู้คนนับไม่ถ้วน อีกทั้งเขายังได้สร้างศัตรูกับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วย ดังนั้นก่อนที่เขาจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะปกป้องตัวเองได้ การซ่อนตัวอยู่ในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรย่อมเป็นการดีที่สุด

ผ่านไปไม่นาน รถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้าก็หยุดลงที่หน้าลานบ้านภายใต้การแนะนำของเฉินฮ่าว

ลานบ้านนี้ดูเก่าและทรุดโทรม เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ถูกใช้งานมานานแล้ว เศษแผ่นสีที่ทาด้วยสีแดงหลายชิ้นหลุดลอกออกและหล่นลงมาจากประตูสีแดงสด ด้านบนของกำแพงเต็มไปด้วยหญ้าแห้งเหี่ยวและตะไคร่น้ำเกาะอยู่ อีกทั้งยังมีแมวจรจัดตัวหนึ่ง เมื่อมันเห็นคนใกล้เข้ามา มันก็กระโดดผ่านชายคาบ้านพร้อมกับเสียง ‘ฟิ้ว’ ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ทันทีที่กลุ่มของเฉินซีลงจากรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้า สารถีชราที่ขับรถม้าก็เดินลงมาพร้อมกับพวกเขา จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองลานบ้านก่อนจะเงียบไป

“คนผู้นี้คือ ‘เฉินเฟิ่งฉือ’ หัวหน้าสายลับของตระกูลต้วนมู่ เขาน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง และเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมืองทะเลสาบมังกร ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาและหูของเขาไปได้ ครั้งหนึ่งหลิงคงจื่อ ผู้เป็นประมุขของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้เชิญให้เขาเข้าร่วมกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจร แต่เขาได้ตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากการดำรงอยู่ของเฉินเฟิ่งฉือ จึงทำให้ตระกูลของต้วนมู่มีข้อมูลข่าวสารที่ดีสุดยิ่งกว่าบรรดากองกำลังอื่น ๆ” ตู้ชิงซีอธิบายให้เฉินซีฟังผ่านกระแสปราณ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินซีจึงเข้าใจในทันทีและไม่กล้าที่จะประเมินชายชราผู้มีหน้าตาธรรมดาคนนี้ต่ำอีกต่อไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]