บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1570

สรุปบท บทที่ 1570 ล่าตะวัน: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

สรุปเนื้อหา บทที่ 1570 ล่าตะวัน – บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดย novelones

บท บทที่ 1570 ล่าตะวัน ของ บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย novelones อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 1570 ล่าตะวัน

……….

บทที่ 1570 ล่าตะวัน

กลองตะบันเทพ!

มันคล้ายกับสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากความวิบัติแห่งสามภพ อำนาจสูงส่งจนสามารถสะบั้นตะวันจันทรา ทำลายโลกาได้ มันอยู่อันดับที่สิบสองเหนือกว่า ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ ซึ่งอยู่อันดับที่สิบหกถึงสี่อันดับ!

ที่สำคัญคือ กลองตะบันเทพปล่อยคลื่นเสียงที่มองไม่เห็นออกมา และเมื่อนำไปใช้ในการต่อสู้ขนาดใหญ่ ก็มักจะสร้างผลกระทบเหลือเชื่อออกมาได้

ตามตำนานเล่าว่า สมัยครั้งบรรพกาล บรรพบุรุษเผ่าจุลบรรพกาลก็ใช้กลองนี้สังหารปีศาจกว่าแสนตัวได้ในคราวเดียว และกลายเป็นชนเผ่าที่ชื่อดังไกลไปทั่วสามภพ

ที่เฉินซีกลับเป็นฝ่ายขอยืมสมบัตินี้จากอาเหลียงก่อนก็เพราะรู้อำนาจของมันดี

ครั้งนี้ศัตรูมากันมาก อีกทั้งยังอยู่ขอบเขตเทวา แล้วยังมีเทวารู้แจ้งวิญญาณที่อยู่ขอบเขตเซียนธนูอยู่อีกต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงใช้ยันต์ศัสตรา ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ หรือใช้เหรียญทองแดงโปรยสมบัติไป หากตั้งใจจะกำจัดศัตรูให้หมดโดยเร็ว ของทั้งหมดก็คงไม่เท่าอำนาจของกลองตะบันเทพที่สามารถส่งผลกระทบขนาดใหญ่ได้

วิ้ง!

เฉินซีรับกลองตะบันเทพมา มันขยายขนาดขึ้นทันที เดิมทีมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าว แต่พอขยายออกก็มีขนาดพอ ๆ กับพัดสานชิ้นหนึ่ง ดูลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อสังเกตดูดี ๆ แล้วพื้นผิวของกลองเต็มไปด้วยอักขระแห่งความโกลาหล พวกมันสลับซับซ้อนผสมผสานกันไปมาจนเกิดเป็นโลกอันลึกล้ำ ปลดปล่อยกลิ่นอายเกินหยั่งทว่าทรงพลังออกมา

จากนั้น อาเหลียงเองก็ไม่หวงวิชา นางถ่ายทอดวิชาใช้กลองตะบันเทพมาให้เขา

เฉินซีจึงรู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายไว้ใจเขาเช่นนี้

“อาเหลียง เข้าแดนเทพโบราณไป หากมีใครกล้ารังแกเจ้า ข้าไม่ปล่อยมันไว้แน่!” เฉินซีพลันเอ่ยเสียงเข้มขึ้น

“อ่า” อาเหลียงประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นก็กะพริบตาเขินอายเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลง “คุณชาย อาเหลียงดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”

เฉินซีได้แต่พูดไม่ออก สาวน้อยคนนี้คิดอะไรก็พูดออกมาหมด เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ยิ่งนัก

“ไปเถอะ ถึงเวลาเดินทางแล้ว!” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วมองไปยังฟ้าไกล

ภายในหุบเขาโลหิต

เทียบกับบรรยากาศเงียบสงัดในอดีตแล้ว หุบเขาโลหิตในตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของยอดฝีมือมากมาย มีทั้งความน่าหวาดกลัว ความโหดเหี้ยม และความทารุณผสมกันไป

“นายน้อย ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว นอกจากพวกที่ตายไปก่อนหน้านี้ เราก็รวมยอดฝีมือมาได้อีกหกสิบสี่คน ตอนนี้พวกเขาอยู่ในค่ายกลล่าตะวันแล้ว” ลุงเก้ารีบมารายงาน

ค่ายกลล่าตะวันเป็นค่ายกลสังหารโบราณซึ่งสืบทอดกันมาในตระกูลอี้ มันเป็นค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้เทพถึงพันคนในการควบคุมได้ อำนาจของมันแทบจะฆ่าสังหารได้ทั้งจักรวาลเลยทีเดียว

ลุงเก้าเป็นคนจัดการตั้งกลศักดิ์สิทธิ์ขึ้นด้วยตัวเอง ถึงแม้ตอนนี้จะมีเทพแค่หกสิบสี่คนควบคุมอยู่ แต่ก็ไม่อาจประมาทอำนาจของมันได้ ตามที่เขาคำนวณแล้ว ไม่ว่าเทวารู้แจ้งวิญญาณคนไหนก็ไม่รอดหากติดกับเข้า!

แล้วตอนนี้เขาก็เตรียมค่ายกลนี้ไว้เพื่อรับมือกับชายหนุ่มขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา อำนาจของค่ายกลนี้ก็เรียกได้ว่ามากเกินพอ

“ดีมาก ตอนนี้ก็แค่รอเหยื่อติดกับเท่านั้น” มุมปากอี้เทียนปรากฏรอยยิ้มเย่อหยิ่งมั่นใจขึ้น

“แต่นายน้อยอย่าประมาท เป็นไปได้ว่าเจ้าเด็กนั่นอาจจะเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์ ทุกคนรู้กันดีว่าความรอบรู้ในเต๋าแห่งยันต์อักขระของเขาเทพพยากรณ์นั้นนับเป็นยอดฝีมือในแดนเทพโบราณ ข้าเพียงแต่กังวลว่าค่ายกลนี้จะไม่อาจยั้งเด็กนั่นไว้ได้” ลุงเก้าคิดอยู่นานก่อนเอ่ย “เพราะฉะนั้นถึงค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ของเราจะแกร่งเพียงใดก็อาจทำอะไรเด็กนั้นไม่ได้”

“เราต้องเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้จริง” อี้เทียนมุ่นคิ้วคิด “ลุงเก้ามีแผนการอะไรบ้าง?”

น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง แต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวและโหดเหี้ยมเจืออยู่

อี้เทียนชะงักไป จากนั้นเอ่ยเสียงขรึม “ลุงเก้า ข้าขอเพียงเรื่องเดียว หากยังไม่สิ้นหนทางอื่น อย่าได้สู้เอาชีวิตเข้าแลกกับเด็กนั่นเป็นอันขาด”

ลุงเก้าได้ยินก็รู้สึกดี “นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้เรื่องนั้นดี เว้นเสียแต่ว่าเป็นสถานการณ์ที่จำเป็น แต่ในความคิดข้า หากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แค่ค่ายกลล่าตะวันก็คงพอจับตัวและสังหารมันได้”

อี้เทียนเอ่ยยิ้ม ๆ “เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี”

ลุงเก้าพลันมุ่นคิ้วลังเล ก่อนเอ่ยว่า “นายน้อย เหลืออีกเพียงวันเดียวก็จะเป็นวันที่บรรพบุรุษสั่งให้เรากลับไปแล้ว ข้าขอแนะนำว่าท่านควรกลับเอกภพมสิหิมก่อน ให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องที่นี่ดีกว่าหรือไม่?”

อี้เทียนนัยน์ตาระยับ ก่อนส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอก หากบรรพบุรุษรู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ ถึงกลับไปไม่ทันเขาก็คงไม่ลงโทษข้าแน่ อีกทั้งข้าจะทิ้งพวกเจ้าให้เสี่ยงชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”

ลุงเก้าถอนหายใจเลิกโน้มน้าว เขาเห็นการเติบโตของอี้เทียนมา จะไม่รู้ความคิดของอีกฝ่ายได้เลยหรือ? เหตุผลที่อี้เทียนไม่อยากไปไม่ใช่เพราะคิดจะอยู่และตายไปด้วยกัน แต่เป็นเพราะห่วงว่าเขาจะได้สองสมบัติวิญญาณธรรมชาติไปครองหลังสังหารเด็กนั่นได้แล้วต่างหาก

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่อี้เทียนห่วงที่สุด!

ซึ่งก็หมายความว่าอี้เทียนยังไม่ไว้ใจต่อข้ารับใช้อย่างลุงเก้า ทำให้ไม่อาจเชื่อใจได้เต็มที่

เรื่องนี้ทำให้ลุงเก้ารู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง ได้แต่หัวเราะเย้ยหยันตนเองในใจ ในความเห็นของตระกูลอี้แล้ว ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้คนหนึ่ง เหตุใดต้องคิดอะไรมากด้วย?

“ใช่แล้ว นิกายอำนาจเทวะยังไม่ทันสังเกตใช่หรือไม่?” อี้เทียนพลันถามขึ้น

ลุงเก้าพยักหน้า “พวกนั้นแค่คิดว่าตระกูลอี้กำลังตามล่าและเหยื่อจากภพเบื้องล่างเท่านั้น ยังไม่ได้สงสัยอะไร”

อี้เทียนถอนหายใจพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี เด็กนี่มีสมบัติล้ำค่ามากมาย อาจเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์และนิกายอำนาจเทวะได้ ยิ่งรู้กันน้อยก็ยิ่งดี”

ถึงจุดนี้ ลุงเก้าก็เอ่ยผ่านกระแสปราณ ‘นายน้อย หากครั้งนี้กำจัดมันไม่ได้ กองกำลังอื่นคงได้รู้เรื่องสมบัติที่เด็กนั่นมีแน่ พวกนั้นคง….”

“อย่าปล่อยให้พวกมันรอดไปได้สักคน!” อี้เทียนไม่รอลุงเก้าพูดจบก็ขัดขึ้นด้วยดวงตาเจือแววสังหาร

ลุงเก้าพยักหน้า พูดกันตามตรง เขาค่อนข้างชื่นชมนายน้อยสามผู้นี้อยู่บ้าง เพราะอี้เทียนเชี่ยวชาญกลยุทธ์แล้วมีความโหดเหี้ยม แม้จะน่าสงสัยไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เก่งกาจน้อยลง นับว่าเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมของตระกูล

“เปิดค่ายกล!”

“เปิดใช้ค่ายกล!”

ลุงเก้าคำรามเสียงยาว เขาเป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณจึงได้รับผลกระทบน้อยกว่า ดังนั้นเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้จึงหน้าเขียวหน้าแดง กระทืบเท้าด้วยความโกรธทันใด

พอคนที่ใกล้เสียสติเต็มทนได้ยินคำนี้เข้าก็ครองสติได้ทันใด ต่างฝืนความรู้สึกไม่สบายใจแล้วเคลื่อนกายเข้าตามตำแหน่ง จากนั้นเปิดใช้ค่ายกลที่ถูกตั้งไว้นานแล้วขึ้นมา

วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!

พริบตาเดียว ลำแสงพร่างพราวมากมายก็พุ่งขึ้นฟ้าจากทั่วทุกมุมในหุบเขาโลหิต ลำแสงเหล่านี้หนาแน่นนัก เมื่อมองจากที่ไกลก็เหมือนกับอาทิตย์ที่แผดเผาหลายดวงทะยานขึ้นเปล่งแสงสว่างจ้าสุกใส

พร้อมกันนั้น จู่ ๆ ค่ายกลโบราณก็แผ่พลังแห่งความโกลาหลและโหดเหี้ยมเข้าปกคลุมหุบเขาโลหิตไว้โดยสมบูรณ์

ตอนนี้ค่ายกลล่าตะวันที่ต้องใช้หกสิบสี่ขอบเขตเทวาสร้างขึ้นได้ปรากฏรูปขึ้นมาแล้ว!

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

แทบจะทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงกลองดังสนั่นมาทั่วทุกทิศ ปะทะเข้ากับค่ายกลอย่างแรงจนเกิดแรงระเบิดปะทุ

แต่สุดท้าย ค่ายกลก็สั่นสะท้านเพียงเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่สภาพเดิม

ลุงเก้าถอนหายใจออกมาทันที จากนั้นจิตสังหารก็ระบายบนใบหน้า ไอ้เด็กเวรนี่! เกือบจะทำให้คนของเขากระเจิงได้ทันทีที่ปรากฏตัวเชียวนะ หากข้าไม่ตั้งค่ายกลนี้ไว้ล่วงหน้า แค่การโจมตีเมื่อครู่ก็คงสร้างปัญหาใหญ่ให้แล้ว

“ทุกคนเตรียมสู้ไว้ หากไอ้เวรนั่นกล้าโผล่มา ก็ฆ่ามันไม่ต้องปรานี!” ลุงเก้าสั่งเสียงเข้ม

เฉินซียืนอยู่ห่างไกลจากหุบเขาสีเลือดมาก ชายหนุ่มเก็บกลองตะบันเทพไปแล้วมุ่นคิ้ว ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์หรือ?

สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว มุมปากก็ปรากฏรอยโค้งเย็นเฉียบ ในการต่อสู้ที่เคยเจอมาก็ล้วนเป็นเช่นนี้ แต่มันก็ไม่เคยขัดขวางเขาได้เลย

เพราะเขาคือผู้สืบทอดเขาเทพพยากรณ์!

ความลึกล้ำเต๋าแห่งยันต์อักขระของเขาผสานเข้ากับเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้นานแล้ว กลายเป็นรากฐานพลังที่แกร่งที่สุด เขาย่อมไม่กลัวข้อจำกัดหรือค่ายกลใดอีก

ตึก! ตึก! ตึก!

เฉินซีจึงเริ่มเดินหน้าต่ออย่างไร้ลังเล โดยย่างก้าวออกไปไม่ช้าไม่เร็ว เสื้อผ้าอาภรณ์สะบัดพลิ้วสบาย ประหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านตน ทุกก้าวทำให้ห้วงอากาศสั่นสะท้าน เกิดเป็นคลื่นพลังกระจายตัวออกรอบข้าง

หากมองจากไกล ๆ ถึงแม้ใบหน้าเขาจะนิ่งสงบ แต่ก็มีท่าทีเย่อหยิ่งเหนือใครอยู่

……….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]