บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 158

บทที่ 158 การสังเวยโลหิต

บทที่ 158 การสังเวยโลหิต

อัสนีดาราพิฆาตเกิดจากการควบแน่นของพลังดาราจักรที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งมาจากดวงดาวที่ล่องลอยอยู่มากมายบนท้องฟ้า และหลอมรวมเข้ากับปราณของสายฟ้าที่ก่อตัวขึ้น ซึ่งแฝงไปด้วยพลังดาราจักรจำนวนมากกับพลังของสายฟ้าที่เสียดแทง สายฟ้าทุกสายที่ฟาดลงมานั้นมีอานุภาพเพียงพอที่จะทำลายล้างทุกสรรพสิ่งในโลกหรือบดขยี้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีให้กลายเป็นผุยผง

ซึ่งคำว่า ‘สังหารเซียน’ ในชื่อของค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราก็มาจากเหตุนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อที่จะใช้มหาค่ายกลนี้ พระราชวังข่ายดาราจึงได้ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่พวกเขาเก็บสะสมตลอดหลายพันปีจนหมดสิ้น ดังนั้น ผู้คนจึงสามารถจินตนาการถึงอานุภาพของค่ายกลที่แสนจะน่าสะพรึงกลัวได้อย่างง่ายดาย

หากไม่ใช่เพราะกระจกดาราปฐพีที่ห้า ซึ่งเป็นกึ่งสมบัติอมตะของเป่ยเหิง สามารถต้านทานสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงมา เฉินซีคงถูกสายฟ้าทำลายจนสิ้นซากไปนานแล้ว

แต่นับว่าโชคดีที่เขามีม่านแสงนี้คอยลดทอนอานุภาพของอัสนีดาราพิฆาตไปมากกว่าครึ่ง จึงทำให้เขาสามารถซึมซับพลังดาราจักรที่บริสุทธ์และมหาศาลได้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เขาขัดเกลาร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นได้

ดั่งคำพังเพยที่ว่าไว้ ‘พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส’ น่าจะตรงกับสถานการณ์ของเฉินซีในปัจจุบัน ที่เปลี่ยนภยันตรายให้กลายเป็นความปลอดภัย และเปลี่ยนหายนะเป็นโชคลาภ แม้กระทั่งตัวเป่ยเหิงเองก็ไม่คาดคิดว่า ชายหนุ่มจะกล้าหยิบยืมพลังของอัสนีดาราพิฆาตเพื่อใช้ในการบ่มเพาะ ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำที่เสี่ยงชีวิตของเขา ทำให้เป่ยเหิงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

บนท้องฟ้าที่ห่างจากภูเขาดาวตกออกไปราวสองลี้ ประมุขของพระราชวังข่ายดารา เถี่ยอวิ๋นจื่อ และผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ไฉ่เส้า กำลังยืนอยู่เคียงข้างกัน ภายใต้สายตาของพวกเขาทั้งสอง พื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของภูเขาดาวตกถูกปกคลุมไปด้วยอัสนีดาราพิฆาตจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งกำลังโหมกระหน่ำลงมาราวกับทางช้างเผือกที่ถาโถมมาจากสวรรค์ทั้งเก้า และประกายของสายฟ้าที่พร่างพรายราวกับแสงตะวัน ก็สว่างวาบลงมาที่พวกเขาอยู่เป็นระยะ จนทำให้ใบหน้าของพวกเขาสว่างไสวและมืดสลัวไปมา

“สิ่งนี้คือค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราหรือ? มันผ่านไปกี่ปีแล้ว… ตั้งแต่ที่ข้าได้เป็นประมุข นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นมัน แม้ว่ามันต้องใช้แก่นแท้แห่งดาราและวารีวิญญาณกว่าหนึ่งร้อยล้านขวดที่เก็บรวบรวมมาอย่างยากลำบากตลอดเวลาหลายพันปี ตราบใดที่มันสามารถทำลายเซียนปฐพีได้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว!” เถี่ยอวิ๋นจื่อบ่นพึมพำ และใบหน้าที่มืดมนของเขาเผยให้เห็นถึงความบ้าคลั่ง

“โดยรวมแล้ว หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ การสังหารผู้บ่มเพาะที่เชี่ยวชาญเต๋าแห่งมิติและมีการบ่มขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก จะทำให้พระราชวังข่ายดาราของข้ามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะ! ฮ่า ๆๆ!” ไฉ่เส้าหัวเราะเสียงดัง “แสดงให้ข้าดูหน่อยสิ ว่าผู้ใดจะกล้าดูหมิ่นพระราชวังข่ายดาราอยู่อีกต่อไปหรือไม่”

“หือ สิ่งนั้นคือ?” ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็เห็นว่ามีดอกบัวเขียวขจีจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในภูเขาดาวตก ดอกบัวทุกดอกครอบคลุมพื้นที่สี่จั้ง ภายในดอกบัวมีนักพรตสวมหมวกบัณฑิตและชุดคลุมโบราณนั่งหรือยืนอยู่ นักพรตเหล่านี้มีอิริยาบถที่แตกต่างกันไป บางคนก็สร้างผนึกด้วยมือของพวกเขา บางส่วนก็ร่ายรำกระบี่หรือท่องคัมภีร์ต่าง ๆ… แต่พวกเขาทั้งหมดได้ซัดลำแสงสีครามพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ จนทำให้ท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ!

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

ในขณะที่อัสนีดาราพิฆาตผ่าลงมายังดอกบัวเหล่านั้น จนทำให้พวกมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที ทว่า ภายในดอกบัวเหล่านั้นมีไป๋หว่านฉิง ไป๋กัง และ ไป๋เถิงยืนอยู่ พวกเขาได้รับการปกป้องจากของดอกบัวเขียวขจีจำนวนมาก ราวกับว่าพวกเขาได้เข้าสู่อีกโลกหนึ่ง ไม่ว่าอัสนีดาราพิฆาตจะรุนแรงสักเพียงใด มันก็ไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้แม้แต่น้อย

“สมบัติอมตะ! มันคือสมบัติอมตะจริง ๆ!” สีหน้าของไฉ่เส้าผันผวนอย่างไม่รู้จบขณะที่ร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับเขาได้พบเห็นสิ่งที่น่าสยดหยองเป็นอย่างยิ่ง

“สมบัติอมตะหรือ? บัดซบ! ท่านอาจารย์ลุง ค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราของเราคงไม่อาจกักขังพวกมันได้อีกต่อไป เราควรทำเยี่ยงไรต่อไปดี?” ท่าทางของเถี่ยอวิ๋นจื่อเองก็ดูเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางกระหม่อมเช่นเดียวกัน และใบหน้าของเขาก็ไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาตระหนักได้ว่า ครั้งนี้เขาทำให้ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ต้องขุ่นเคือง ถ้าลองทบทวนให้ดี ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีที่ใช้สมบัติอมตะเป็นดั่งอาวุธ แล้วกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเขาจะน่าเกรงขามขนาดไหน?

สีหน้าของไฉ่เส้าแปรผันไปมา เขากัดฟันแน่นอยู่ครู่หนึ่ง และจึงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ฆ่าพวกมันซะ! จงใช้เคล็ดวิชาสังเวยโลหิตเพื่อกระตุ้นพลังของค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราอย่างเต็มที่ คราวนี้ต้องฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีให้จงได้ หากเราปล่อยให้มันหลบหนีไป พระราชวังข่ายดาราจะต้องประสบกับการแก้แค้นที่ไม่รู้จักจบสิ้น และอาจถึงขั้นถูกลบล้างออกจากโลกแห่งการบ่มเพาะ หากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีผู้ใดที่สามารถรับผลที่ตามมาได้”

“เคล็ดวิชาสังเวยโลหิต!?”

“ท่านอาจารย์ลุง มันต้องคร่าชีวิตผู้คนนับหมื่นเพื่อที่จะสามารถกระตุ้นพลังของค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์! นี่… นี่มันจะไม่อำมหิตไปหน่อยหรือขอรับ?” เถี่ยอวิ๋นจื่อสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว และเขากล่าวด้วยสีหน้าสับสน

“ฮึ่ม! สถานการณ์เช่นนี้เจ้ายังมีจิตเมตตาอีกหรือ? ที่นิกายของเราได้เลี้ยงดูสั่งสอนเหล่าศิษย์ ก็เพื่อให้พวกเขาช่วยฝ่าฟันวิกฤตที่เกิดขึ้นกับนิกายมิใช่รึ?” ไฉ่เส้ามีสีหน้าอำมหิต และเจตนาฆ่าของเขาก็เพิ่มพูนขึ้น

“เจ้าเพียงแค่สังเวยศิษย์ไปบางส่วน แต่จะได้รับสมบัติอมตะเป็นการตอบแทน ทั้งยังเป็นสมบัติอมตะที่แท้จริง ไม่เหมือนกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่เป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่าและไม่อาจเทียบได้เลยแม้แต่น้อย!”

“ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสมบัติอมตะเช่นนี้ หากข้าบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพี พระราชวังข่ายดาราของเราย่อมอยู่เหนือกว่านิกายกระบี่เมฆาพเนจร และจะกลายเป็นนิกายอันดับหนึ่งในดินแดนทางใต้ เมื่อถึงตอนนั้น เราจะสามารถรับสมัครศิษย์ได้มากมายเท่าที่เราต้องการ ดังนั้น เหตุใดเราต้องกังวลถึงสิ่งที่ทำให้นิกายไม่เจริญรุ่งเรืองล่ะ”

“ตกลง! ข้าจะลงมือพร้อมกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ทันที เพื่อเซ่นสังเวยวิญญาณและเลือดของเหล่าศิษย์เพียงไม่กี่หมื่นคนให้กับมหาค่ายกลนี้!” เถี่ยอวิ๋นจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวในที่สุด

ในฐานะผู้นำของนิกาย เถี่ยอวิ๋นจื่อเป็นคนอำมหิตและโหดเหี้ยม และหลังจากที่เขาไตร่ตรองถึงข้อดีและข้อเสียแล้ว ร่างของเขาก็ทะยานออกไปในทันทีและมุ่งไปยังช่องเขาอันห่างไกลซึ่งมีผู้อาวุโสทั้งสิบเจ็ดคนและศิษย์อีกหกหมื่นคนได้ซ่อนตัวอยู่

“ช้าก่อน! นั่นมันกระจกดาราแห่งปฐพีที่ห้า!ระยำเอ๊ย! เจ้าเป่ยเหิง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็อยู่ที่นี่เช่นกัน!” ใบหน้าของไฉ่เส้ามืดมนลงในทันที

เถี่ยอวิ๋นจื่อหยุดฝีเท้าของเขาอย่างกะทันหัน จากนั้นแหงนหน้าขึ้นมอง และสังเกตเห็นว่าในช่องเขาแคบ ๆ ในภูเขาดาวตก มีกระจกขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ และกำลังปล่อยม่านแสงสีทองออกมา เพื่อต้านทานอัสนีดาราพิฆาต ที่ซัดสาดลงมาจากทั่วท้องฟ้า เมื่อเขาค่อย ๆ ร่อนลงมา ก็เห็นเงาร่างของคนสองคนที่อยู่ภายในม่านแสงสีทองได้อย่างราง ๆ

“นั่นมันเจ้าเฉินซี!” เถี่ยอวิ๋นจื่อกล่าวออกมาด้วยความฉงนและประหลาดใจ อันที่จริง เขามีความประทับใจต่อเฉินซีอย่างลึกซึ้ง และเพียงชั่วพริบตา เขาก็จำได้ว่าเงาร่างนั้นคือผู้ใด ดังนั้น ต่อให้ไม่ต้องคาดเดา ร่างที่อยู่เคียงข้างเฉินซีนั้น ย่อมเป็นเป่ยเหิงอย่างแน่นอน เพราะเขาได้ครอบครองกึ่งสมบัติอมตะที่ถูกเรียกว่า กระจกดาราแห่งปฐพีที่ห้า

“หืม? เจ้าเด็กคนนั้นหรือที่ฆ่าเทียนเอ๋อร์ของข้า?” ร่างกายของไฉ่เส้าสั่นสะท้าน และสีหน้าของเขาก็เย็นชาลงในทันใด

“ถูกต้อง จากข้อมูลของตระกูลซู เจ้าเด็กคนนี้น่าจะฆ่าศิษย์น้องเล่อเทียน” เถี่ยอวิ๋นจื่อกล่าวช้า ๆ “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเด็กคนนี้ยังได้พิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ถ้าไม่ใช่เพราะเป่ยเหิงคอยปกป้องมัน ข้าคงแย่งชิงเจดีย์จากมันมาตั้งนานแล้ว”

“ดี! สวรรค์กำลังส่งเสริมพระราชวังข่ายดาราจริง ๆ!” น้ำเสียงของไฉ่เส้าราวกับถูกเค้นออกมาจากรอยแยกระหว่างฟันของเขา และเขาก็กล่าวทีละคำว่า “ไม่เพียงแต่ข้าจะสามารถฆ่าเจ้าเฒ่าที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น แต่ยังสามารถล้างแค้นให้กับเทียนเอ๋อร์ได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เป่ยเหิงล้มตายไปแล้วและพระราชวังข่ายดาราได้ครอบครองสมบัติอมตะทั้งสองชิ้น การทำลายล้างนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในภายภาคหน้า ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”

“ไปซะ จงใช้เคล็ดวิชาสังเวยโลหิตเป็นการด่วน! ความหวังของพระราชวังข่ายดาราที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกแห่งการบ่มเพาะขึ้นอยู่กับการต่อสู้ในครั้งนี้!” สีหน้าของไฉ่เส้านั้นคลุ้มคลั่งจนน่ากลัว เส้นผมของเขาปลิวไสว ขณะที่เขาตะโกนสั่งด้วยเสียงทุ้มหนัก

ฟิ้ว!

เถี่ยอวิ๋นจื่อจะกล้าชักช้าต่อไปได้อย่างไร เขารีบทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที

“อ๊าก! ผู้อาวุโสสาม ท่านฆ่าข้าทำไม”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]