บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1643

สรุปบท บทที่ 1643 เมืองเฟิงฉี: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

สรุปเนื้อหา บทที่ 1643 เมืองเฟิงฉี – บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดย novelones

บท บทที่ 1643 เมืองเฟิงฉี ของ บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย novelones อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 1643 เมืองเฟิงฉี

………………..

บทที่ 1643 เมืองเฟิงฉี

ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึงสามในสิบส่วน!

นี่เป็นการพัฒนาที่น่าตกใจอย่างยิ่ง หากเป็นในการต่อสู้จริง ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า แม้แต่การเพิ่มขึ้นเพียงเท่าตัวก็มากพอแล้วที่จะพลิกสถานการณ์แล้ว

เช่นเมื่อยามที่เฉินซีต่อสู้กับสวินหยางผิงก่อนหน้านี้ เขาอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบเล็กน้อย เนื่องจากยันต์ศัสตราในตอนนั้น ไม่สามารถเทียบกับสมบัติวิญญาณธรรมชาติของสวินหยางผิงได้

ไม่เช่นนั้น ด้วยพลังการต่อสู้ของเฉินซี มันก็เพียงพอแล้วที่จะทุบตีสวินหยางผิงได้อย่างง่ายดาย

ในทำนองเดียวกัน หากเขาขัดเกลายันต์ศัสตราได้สำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงสวินหยางผิงที่อยู่อันดับเจ็ดสิบหกใน เทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ แม้แต่คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าและมีอันดับสูงกว่า เฉินซีก็ไม่กลัวเลย

หนึ่งเดือนต่อมา

ชิ้ง!

หลังจากนั้น สายฟ้าสีดำจำนวนหนึ่งก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับกระแสน้ำ กลายเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์สีดำธรรมดา ๆ ที่ดูเรียบง่ายและสะอาดหมดจด

อักขระยันต์เลือนรางปกคลุมอยู่หนาแน่น ทำให้ตัวกระบี่ดูลึกลับและน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น

ครืน!

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ถึงยันต์ศัสตราจะลอยอยู่บนท้องฟ้าและไม่ได้เคลื่อนไหวเลย แต่พื้นที่รอบ ๆ ก็พังทลายลงเป็นชิ้น ๆ ทีละน้อย ก่อนที่จะกลายเป็นระลอกคลื่นที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าเฉินซีจะไม่ได้ใช้ยันต์ศัสตรา แต่เพียงพลังของตัวกระบี่เองก็เกินพอที่จะบดขยี้พื้นที่และทำลายองค์ประกอบทั้งห้าแล้ว!

นี่คือยันต์ศัสตราหลังจากที่ถูกขัดเกลาอีกครั้ง

พลังของมันน่ากลัวมากจนเกินกว่าที่เฉินซีคาดหวังไว้เสียอีก นี่มันเทียบกับสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ระดับสูงเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ทรงพลังมากเท่ากับสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ระดับสูงในมือของผู้ที่มีขอบเขตที่สูงกว่า

โอม!

เฉินซีเปิดปาก จากนั้นก็กลืนยันต์ศัสตราที่เปลี่ยนไปเป็นอักขระยันต์รูปกระบี่ที่มีขนาดเท่ากำปั้นของทารกเข้าไป

เมื่อเขาขัดเกลายันต์ศัสตราในครั้งนี้ เฉินซีไม่เพียงแต่ใช้วัสดุศักดิ์สิทธิ์ที่หายากจนหมด แต่เขายังใช้ยันต์เทวะอนันต์ต่าง ๆ ที่เชี่ยวชาญเพื่อพัฒนากฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ตนครอบครอง และเปลี่ยนพวกมันให้เป็นยันต์เทวะหลากหลายรูปแบบ ท้ายที่สุด เขาก็จารึกทั้งหมดนั้นลงบนยันต์ศัสตรา

ทำให้ยันต์ศัสตราเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นอาวุธรูปแบบต่าง ๆ ตามความคิดของเฉินซีได้ ทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร้จำกัดและไม่อาจคาดเดาพลังได้

“ไม่เลว แค่พละกำลังในยามนี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ครอบครองสมบัติวิญญาณธรรมชาติได้แล้ว” ร่องรอยของความพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี

จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างสมบัติวิญญาณธรรมชาติกับสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ หากมองในแง่ของความสามารถในการรุกเพียงอย่างเดียว ยันต์ศัสตราก็ไม่ได้ด้อยกว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติมากนัก

แน่นอนว่ามันจะเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หากนำไปเปรียบเทียบกับกระบี่มลทินอเวจีหรือกระบี่พิฆาตฟ้า ที่อยู่ในมือของจักรพรรดินีอวี้เชอ

หลังบ่มเพาะมาถึงระดับเดียวกับเฉินซี ความแข็งแกร่งของตนเองถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนพลังของสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ก็นับเป็นเพียงสิ่งสนับสนุนในการต่อสู้เท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครสามารถพึ่งพาสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ได้อยู่ตลอดเวลา เพราะมันจะทำให้ลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ผิดเพี้ยนไปหมด

ฉะนั้นท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าสมบัติวิญญาณประดิษฐ์จะทรงพลัง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกฝน ความเข้าใจในเต๋า และประสบการณ์การต่อสู้ของตัวเองแล้ว… มันก็เป็นเพียงแหล่งความแข็งแกร่งภายนอก และจัดเป็นวิธีการต่อสู้แบบหนึ่งเท่านั้น

“ยันต์ศัสตราของเขาเทพพยากรณ์ สมควรได้รับชื่อเสียงจริง ๆ” ทันใดนั้น เสียงทุ้มลึกสายหนึ่งก็ดังก้องขึ้น

“องค์จักรพรรดินี” เฉินซียืนขึ้นและประสานมือคำนับ

“เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” จักรพรรดินีอวี้เชอถาม

“ถึงเวลาลงมือแล้ว” เฉินซีพยักหน้า เพราะมันได้ถึงเวลาออกเดินทางที่ตกลงกันเอาไว้แล้ว

“นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่ข้ารวบรวมไว้ได้ในตอนนี้ ระหว่างทางเจ้าสามารถตรวจสอบมันดูได้ บางทีมันอาจช่วยได้เมื่อเจ้าเข้าไปในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่” จักรพรรดินีอวี้เชอส่งแผ่นหยกให้ แล้วเดินนำออกไปอย่างรวดเร็ว “มาเถิด อวิ๋นชิงรออยู่นานแล้ว”

เฉินซีไม่ได้สนใจที่จะดูแผ่นหยกในมือ และรีบตามนางไป

ด้านนอกตำหนักเมฆาวารี

ความเงียบงันปกคลุมไปทั่ว เมื่อการชุมนุมล่าดาราสิ้นสุดลง ศิษย์ที่เข้าร่วมทั้งหมดก็จากไป และสถานที่แห่งนี้ก็กลับคืนสู่สภาพสงบสุขอีกครั้ง

ในยามนี้ ชายชราคนนั้น อวิ๋นชิงกำลังยืนรออยู่ที่หน้าตำหนักเมฆาวารี

เฉินซียิ้มและพยักหน้าเพื่อแสดงว่าตนเข้าใจ

“อวิ๋นชิง ข้าขอฝากเจ้าด้วย” จักรพรรดินีอวี้เชอมองไปทางอวิ๋นชิง “จำไว้ว่าเจ้าต้องส่งเฉินซีไปอย่างปลอดภัย”

“ขอรับ” อวิ๋นชิงพยักหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่เฉินซีรู้ดีว่าเขาสามารถมั่นใจ ต่อความยึดมั่นในคำสั่งของชายชราผู้นี้ได้อย่างแน่นอน

“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าทั้งสองก็ควรออกเดินทางได้แล้ว อวิ๋นชิงจะรอการกลับมาอย่างมีชัยของเจ้า อยู่นอกซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่” ดวงตาที่กระจ่างใสของจักรพรรดินีอวี้เชอจับจ้องมาที่เฉินซี “ดูแลตัวเองด้วย”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกสบายใจเล็กน้อย คือแม้ว่าซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่จะน่ากลัว แต่มันจะเข้าสู่ช่วงที่คล้ายกับการ ‘จำศีล’ หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ในช่วงเวลานี้ อันตรายภายในนั้นจะลดลงอย่างมาก และผู้เยี่ยมยุทธ์ก็จะสามารถเข้าไปสำรวจได้อย่างปลอดภัย

“บางทีเมื่อไปถึงที่นั่น ข้าอาจจะสามารถค้นหาได้ว่า ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ เกี่ยวข้องกับอักษรโบราณบนชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากหรือไม่… ” หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็เก็บแผ่นหยกนั้นไป และจมลงในความคิด

เขาไม่มั่นใจในภารกิจนี้มากนัก ท้ายที่สุด จากสิ่งที่จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าว ผู้คนทั้งหมดที่เข้าไปในซากโบราณในครั้งนี้ล้วนเป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณระดับสูง และเกือบทั้งหมดล้วนมาจากขุมอำนาจเก่าแก่ของเอกภพจักรวรรดิ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครรับประกันได้ว่า หลังจากเข้าสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ความขัดแย้งระหว่างพวกเขากับอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ปะทุขึ้น

ดังนั้นเฉินซีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง

กงเหย่เจ๋อฟู… เฉินซีนึกถึงชื่อนี้อีกครั้ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า ตระกูลกงเหย่ที่กงเหย่เจ๋อฟูอยู่นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายอำนาจเทวะอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่แม้แต่สมาชิกคนสำคัญมากมายจากจระกูล ได้เข้ามารับตำแหน่งที่สำคัญต่าง ๆ ในนิกายอำนาจเทวะ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขามีอำนาจมากมายนัก

นี่คือเหตุผลที่จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าวว่า การจัดการกับกงเหย่เจ๋อฟูนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเฉินซี

สิ่งนี้ยังช่วยให้ชายหนุ่มเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า กองกำลังของนิกายอำนาจเทวะในแดนเทพโบราณนั้นทรงพลังเพียงใด อาจกล่าวได้ว่ามีอยู่ทั่วโลก

สิ่งเดียวที่ยังคงเป็นปริศนาสำหรับเฉินซี คือความสัมพันธ์ระหว่างสามภพและแดนเทพโบราณ ไม่ว่าจะเป็น เขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา หรือนิกายอำนาจเทวะ พวกเขาต่างก็ลงหลักปักฐานในแดนเทพโบราณมานานแล้ว แล้วเหตุใดพวกเขาถึงให้ความสำคัญกับสามภพขนาดนั้น?

หากสามภพเป็นเหมือน ‘ภพที่ต่ำกว่า’ ที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ของแดนเทพโบราณดูถูกเหยียดหยาม แล้วทำไมพวกเขาถึงมีความสัมพันธ์ที่แยกกันไม่ออกกับทั้งสามนิกายที่ยิ่งใหญ่ได้กัน?

ทั้งหมดนี้มีเหตุผลเบื้องหลังบางอย่างแน่นอน!

เฉินซีมั่นใจอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้ปัจจุบัน เขาก็ยังคงไม่สามารถให้คำตอบที่เฉพาะเจาะจงได้

ครึ่งเดือนต่อมา จู่ ๆ เฉินซีก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ

ในตอนนี้ รถม้าอาชาเขานิลที่ก็หยุดลงกะทันหัน ในเวลาเดียวกัน เสียงแก่ชราและไม่แยแสของอวิ๋นชิงก็ดังมาจากด้านนอก

“คุณชายเฉินซี เรามาถึงเมืองเฟิงฉีแล้ว”

“มาถึงแล้ว?” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินลงจากรถม้า แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นเมืองแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าที่ไกลออกไป มันใหญ่โตและงดงาม ราวกับอาณาจักรที่สร้างขึ้นบนท้องฟ้า

นี่คือเมืองเฟิงฉี เมืองที่ถูกสร้างขึ้นที่บนชายแดนสุดขอบตะวันออกของแดนเทพโบราณ ที่คงอยู่มานานจนไม่อาจนับ

ไกลออกไปทางตะวันออกของเมืองเฟิงฉี คือมหาสมุทรอันเลื่องชื่อที่กล่าวกันว่า มีซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่อยู่ภายในนั้น ‘มหาสมุทรสุสานเทวะ’!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]