บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1649

สรุปบท บทที่ 1649 ประตูเทียมฟ้า: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

สรุปตอน บทที่ 1649 ประตูเทียมฟ้า – จากเรื่อง บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดย novelones

ตอน บทที่ 1649 ประตูเทียมฟ้า ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดยนักเขียน novelones เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 1649 ประตูเทียมฟ้า

………………..

บทที่ 1649 ประตูเทียมฟ้า

สหายเต๋าผู้นี้ไม่ได้เย่อหยิ่งถือตัวเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก… เฉินซีขมวดคิ้วขณะที่มองคุนอู๋ชิงจากไป เขาไม่กล้าดูแคลนบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่มาจากตระกูลโบราณในเอกภพจักรวรรดิอีกเลย

เหตุผลนั้นชัดเจน คนที่สามารถครอบครองพลังของมหาเทวาวิญญาณ และมีชื่อปรากฏอยู่ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณจะเป็นพวกโง่เง่าไร้น้ำยาไปได้อย่างไร

เฉินซีพาตัวเองเคลื่อนย้ายผ่านมิติไปด้วยไม่ต้องการจะเสียเวลาอีกต่อไป

ตามคำชี้แนะของจักรพรรดินีอวี้เชอ ตราบใดที่เขาเดินทางไปยังส่วนลึกของมหาสมุทรสุสานเทวะเรื่อย ๆ ก็จะพบกับซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่อย่างแน่นอน

เฉินซีไม่สงสัยในเรื่องนั้นเลย เพราะตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเขาก็สังเกตเห็นว่าผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ก็กำลังกระทำเช่นเดียวกัน คนเหล่านั้นเคลื่อนย้ายผ่านมิติไปตามทิศทางที่แน่นอน

เวลาหลายวันผ่านไปเพียงพริบตา

ในยามนี้ เฉินซีใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเดินทาง โชคดีที่เขามีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬในครอบครอง ก็เลยไม่จำต้องเสียเวลาไปกับการฟื้นฟูความแข็งแกร่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาสามารถเคลื่อนย้ายมิติไปได้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ออกเดินทางก่อนหน้ามาก กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ เขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าคนที่เคยร่วมทางบัดนี้ได้หายไปจากสายตาจนหมดสิ้น

ถึงอย่างนั้น เฉินซีก็ยังไม่ลืมว่าจนถึงตอนนี้ ทั้งลั่วฉ่าวหนง เจียหนาน และกงเหย่เจ๋อฟูได้รุดหน้าไปไกลกว่าเขามากแล้ว

เพราะแบบนั้น ตอนนี้จึงยังดีใจไม่ออก

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เฉินซีสังเกตเห็นว่าผู้บ่มเพาะจำนวนมากกำลังหาโอกาสเท่าที่จะหาได้เพื่อล่าสัตว์อสูรในมหาสมุทรเช่นเดียวกับที่คุนอู๋ชิงทำ เสียงของการต่อสู้ที่ดังระงมไม่เคยสร่างซาไปสักขณะ

สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าการล่าสัตว์อสูรจะเป็นประโยชน์ต่อการสำรวจซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ในภายหลัง?

หลังจากที่คิดว่าจะลองดูสักตั้ง เขาก็เริ่มออกล่าและสังหารสัตว์อสูรเหล่านั้นไปตามรายทาง

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่ได้ใช้ศพคนอื่นเป็นเหยื่อล่อพวกมันอย่างที่คุนอู๋ชิงทำ แต่เลือกที่จะใช้ตัวเองเป็นตัวล่อแทนโดยการปล่อยให้เลือดของตนไหลออกมาเพื่อที่จะดึงดูดสัตว์อสูรเหล่านั้น ด้วยการทำเช่นนี้ ทำให้เขาประสบความสำเร็จอยู่ราว ๆ สองในสิบครั้ง

หลังจากนั้น เฉินซีก็รวบรวมซากของสัตว์อสูรที่ล่ามาได้เผื่อว่าจะต้องใช้ในอนาคต

ตู้ม!

ในวันนี้ เฉินซีเดินทางผ่านท้องฟ้าเหนือผืนสมุทร พร้อมกันนั้นเขาก็ใช้วิธีการเดิมในการล่อให้สัตว์อสูรที่มีรูปร่างประหลาดออกมา มันมีสามขา กระดูกสันหลังปกคลุมไปด้วยหนามแหนมสีเขียวเข้ม ในขณะที่หัวของมันหน้าตาเหมือนกับวัว

มันกระโจนออกมาจากใต้ผืนน้ำ ก่อนจะพ่นหนามที่เรียงยาวอยู่ตามกระดูกสันหลังออกมาประหนึ่งขว้างหอกแหลม เป้าหมายของมันมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นก็คือเฉินซี

แกร๊ง!

เฉินซีตวัดยันต์ศัสตราในมืออย่างผ่อนคลาย

ขวับ!

กระนั้น เมื่อเฉินซีเริ่มโจมตี กระแสน้ำสีขาวราวหิมะก็พุ่งผ่านท้องฟ้าก่อนจะตกลงมาด้วยรูปลักษณ์อย่างจันทร์เสี้ยว

ฉึบ! ฉับ!

ทั้งการโจมตีด้วยกระบี่ของเฉินซีและจันทร์เสี้ยวสีขาวที่พุ่งเป้าไปยังสัตว์อสูรเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ร่างของมันถูกเฉือนออกเป็นสามท่อน เลือดที่สาดกระเซ็นทั่วอากาศเป็นสัญญาณถึงจุดจบที่น่าสังเวชนั้น

เฉินซีหรี่ตาคมกริบลงเมื่อเห็นสิ่งนี้ ชายหนุ่มไม่ได้เก็บกวาดซากร่างบนลานต่อสู้อย่างรวดเร็ว หากแต่จ้องมองยังเจ้าของการโจมตีแทรกจังหวะที่อยู่ด้านข้าง

“ข้าคิดว่า มันน่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” เฉินซีพูดในสิ่งที่คิดอย่างเฉยเมย

“ฮ่า ๆ สหายเต๋าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด อันที่จริง ตั้งแต่ที่ข้าได้เห็นว่าเจ้านั้นแข็งแกร่งเพียงไร ข้าก็ไม่อาจอดกลั้นความปรารถนาที่จะได้ร่วมมือกับเจ้า” คุนอู๋ชิงพูดทั้งรอยยิ้ม “ด้วยความแข็งแกร่งของเราสองคน ถ้าหากเราร่วมมือกันละก็ การเข้าไปสำรวจซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ก็จะไม่มีอะไรที่น่ากังวล ยิ่งไปกว่านั้น ในส่วนของการครอบครองรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า สำหรับเราทั้งคู่มันก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายอย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก เจ้าว่าจริงหรือไม่?”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ตบหน้าผากตัวเองก่อนจะพูดต่อ “จริงสิ เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ข้า คุนอู๋ชิง ขอสาบานต่อฟ้าว่าจะไม่หลอกลวงหรือคิดคดทรยศต่อคู่หูของข้าเป็นอันขาด”

หากเป็นผู้บ่มเพาะคนอื่น ก็คงจะถูกล่อลวงไปด้วยคำชวนเชื่อเหล่านั้น ไม่ว่าจะคำสาบาน โอกาสที่หาได้ยาก หรือแม้แต่การที่คุนอู๋ชิงมีชื่ออยู่ในยี่สิบอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ก็ล้วนแต่ทำให้วาจาของเขากลายเป็นสิ่งที่ล่อตาต่อใจ

อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาปฏิเสธไปโดยไม่ลังเล “ต้องขอโทษด้วย ตัวข้านั้นเคยชินกับการทำอะไรเพียงลำพัง แต่อย่างไรก็ต้องขอขอบคุณในน้ำใจของสหายเต๋ามาก”

เขารู้ดี จริงอยู่ที่ข้อเสนอนั้นฟังดูดีไม่น้อย แต่เชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้ว คุนอู๋ชิงคงจะไม่ลังเลที่จะฆ่าเขาเพื่อแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไป

การร่วมมือกับคุนอู๋ชิงไม่ต่างอะไรจากการยื่นมีดให้อีกฝ่าย เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย

คุนอู๋ชิงขมวดคิ้วก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “สหายเต๋าไม่ลองพิจารณาสักหน่อยหรือ? เท่าที่ข้ารู้มา มหาเทวาวิญญาณคนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มจับคู่จับกลุ่มกันแล้ว หากเป็นเช่นนี้ โอกาสที่เจ้าจะได้ครอบครองสิ่งใด ๆ ในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ก็จะน้อยลงไปอีก”

สีหน้าของคนฟังมืดหม่น คล้ายรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ทว่าฉับพลันนั้น จู่ ๆ เขาก็หัวเราะออกมา ก่อนจะพยักหน้าและพูดขึ้น “เยี่ยม เยี่ยมเลย ทุกคนล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง เช่นนั้น ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า หวังว่าสหายเต๋าจะเดินทางอย่างราบรื่นและได้พบพานในสิ่งที่ปรารถนา ขอตัว”

เมื่อมาถึงที่หน้าประตู สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมมากขึ้น รัศมีอันทรงพลังของมันก่อตัวขึ้นอย่างหนาแน่นเกินกว่าที่ใครจะทนไหว ราวกับว่ามีวัตถุชิ้นหนักอึ้งถูกเขวี้ยงออกมาจากด้านในอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเคลื่อนย้ายมิติช้าลง เช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ที่หน่วงมากขึ้น

ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่… ดูเหมือนว่ากฎเต๋าแห่งสวรรค์จะก่อตัวขึ้นภายในรัศมีเหล่านี้ ข้าชักสงสัยขึ้นมาเสียแล้วว่าหากเข้าไปภายในนั้นได้สำเร็จ ข้าจะต้องเผชิญกับอันตรายแบบไหน… เฉินซีสูดลมหายใจลึก ดวงตาฉายประกายเด็ดเดี่ยวขณะที่พาร่างของตนพุ่งเข้าไปยังประตู

สิ่งที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจพลันเกิดขึ้น จู่ ๆ แรงดึงดูดอันน่าสะพรึงกลัวเกินต้านทานจากประตูก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ เพียงพริบตา สิ่งที่เฉินซีมองเห็นมีเพียงสีดำสนิท ร่างถูกลากเข้าไปในส่วนลึกของประตูอย่างที่แม้แต่เขาเองก็ยังควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ได้

ท่ามกลางผืนฟ้ากว้างใหญ่ ภูเขาลดหลั่นทอดยาว ฟ้าดินพลุ่งพล่านซึ่งกลิ่นอายอันรกร้าง เฉินซีรู้สึกราวว่าตนได้ย้อนกลับไปในยุคบรรพกาลหรือไม่ก็ยุคแรกกำเนิดยามที่โลกเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาภายใต้ความโกลาหล

ทุกสิ่งเต็มไปด้วยรัศมีบรรพกาล

ที่นี่ไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ไม่มีเมืองหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ มีเพียงภูเขา ทะเลสาบ และป่าดึกดำบรรพ์ที่กินพื้นที่ยาวไกลอย่างไร้เขตแดนกำหนด

เฉินซียืนอยู่เบื้องหน้าภูเขาเพื่อทอดมองทัศนียภาพกว้างไกล เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เขาประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ นี่น่ะหรือซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่?

ไม่เหมือนที่จินตนาการเลยสักนิด เขาคิดว่ามันคงจะเป็นพื้นที่รกร้างกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้าง แท้จริงแล้วมันช่างต่างออกไปลิบลับ

ทันใดนั้น ดวงตาของเฉินซีก็ฉาบไปด้วยความตกใจ เมื่อเขาเห็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยแสงโกลาหลงอกออกมาจากซอกของหน้าผา

มันมีความยาวประมาณฉื่อ ดอกและใบโอนอ่อนไปตามสายลม ทั่วทั้งลำต้นเต็มไปด้วยอักขระแห่งความโกลาหลที่ประกอบซึ่งความล้ำลึกแห่งเต๋า ทั้งยังมีแสงเจิดจ้าเปล่งประกายออกมา

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ชนิดพิเศษที่ได้ยากยิ่ง เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต

ตอนนี้เอง เฉินซีพบว่าบนหน้าผานั้น มีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์จำนวนอย่างน้อยสามชนิดงอกบานอยู่ด้านบน!

สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสมบัติศักดิ์มากมายซ่อนตัวอยู่ภายใต้ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่เช่นนี้

หงึ่ง!

กระนั้นทันทีที่เฉินซีกำลังสาวเท้าไปข้างหน้าเพื่อเก็บสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากภายในร่างกายก็เริ่มโคจรอย่างช้า ๆ ในขณะที่แผนภาพกระบี่ผุพังที่อาบไปด้วยเลือดปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ครั้งนี้มันชัดเจนยิ่งกว่าที่ผ่านมา คราบเลือดบนกระบี่เล่มนั้นมีสีแดงสด มันยังดูเปียกชื้นราวกับจะรินไหลลงพื้นดิน

ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ในขณะที่กำลังสัมผัสเจตจำนงกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสิ่งใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งอดีตที่เต็มไปด้วยความเก่าแก่อันอ้างว้าง ซึ่งมันก็ทำให้จิตใจสั่นสะท้าน!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]