บทที่ 168 ผู้ไร้นามกับผู้มีชื่อเสียง
บทที่ 168 ผู้ไร้นามกับผู้มีชื่อเสียง
กลุ่มที่มาถึงในภายหลังได้หยุดม้าลง ผู้คุ้มกันผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมและดูเหมือนจะเป็นผู้นำได้กวาดสายตามองไปโดยรอบ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว ก่อนที่จะขี่ม้าโลหิตเพลิงเมฆาไปยังเบื้องหน้ารถม้าสมบัติที่สร้างมาจากหยกขาวและผลึกน้ำแข็ง จากนั้นก็ประสานมือแล้วกล่าวว่า “คุณหนู พวกนั้นคือคนของตระกูลตง เราควรเดินหน้าต่อไปหรือไม่”
ม่านของรถม้าสมบัติถูกเปิดออก ภายในนั้นมีเด็กสาวที่สวมชุดคลุมหรูหราสีฟ้าที่มีนกเพลิงอมตะโบยบินกำลังก้าวเดินลงมาอย่างช้า ๆ
เด็กสาวคนนี้อายุประมาณสิบสี่หรือสิบห้าปี นางมีใบหน้ารูปไข่ที่สง่าและงดงาม คิ้วของนางเหมือนดั่งภูเขาสองลูกที่อยู่ห่างไกลโพ้น รูม่านตาของนางเหมือนแต้มหมึกสองจุด ริมฝีปากสีเชอร์รี่ของนางอมชมพูและอิ่มเอิบ อีกทั้งยังโค้งงอเป็นมุมที่งดงาม ผิวของนางขาวกระจ่าง อ่อนโยน และเรียบเนียนเหมือนหยก ผมยาวสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกของนางถูกเกล้าเป็นมวยด้วยปิ่นหยกทั้งหกอัน จึงเผยให้เห็นถึงลำคอขาวนวลราวกับหิมะ นางช่างงดงามและละเอียดลออราวกับดอกบัวที่ลอยอยู่ในน้ำที่ใสกระจ่าง ยิ่งไปกว่านั้น ยังเปล่งรัศมีแห่งความงามออกมาจนแทบลืมหายใจ
ทว่าการแสดงออกของนางกลับดูเย่อหยิ่งและเย็นชา ซึ่งแฝงไปด้วยความรู้สึกเย็นเยียบที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ราวกับว่านางเป็นเจ้าหญิงแห่งแดนน้ำแข็ง
ที่ด้านหลังของนางก็มีข้ารับใช้หญิงสองสามคนติดตามมา สีหน้าของพวกนางก็ดูเย็นชา และมีสายตาที่หยิ่งยโสเช่นเดียวกัน
ทันทีที่เด็กสาวคนนี้ปรากฏตัว กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ได้แผ่ออกมาจากร่างกายของนาง ทำให้ผู้คนต้องหยุดการสนทนาทันที และสายตาของพวกเขาก็จดจ้องไปที่นางขณะเผยให้เห็นร่องรอยความปรารถนาและตัณหาอันแรงกล้า
เฉินซีเองก็ยังต้องยอมรับว่า เด็กสาวคนนี้งดงามอย่างแท้จริง และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นางอาจจะกลายเป็นสาวงามที่สามารถพลิกโฉมดินแดนได้
“ทะเลสาบนี้ไม่ได้เป็นของตระกูลตง ในเมื่อพวกเขาสามารถพักผ่อนที่นี่ได้ แล้วเหตุใดพวกเราจะพักไม่ได้ล่ะ? หวังคุน จงตั้งค่ายซะ การทดสอบเข้านิกายของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรคือวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเรามาพักแรมกันเถอะ” เด็กสาวกล่าวช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่ใสกังวานราวกับเสียงของลำธารที่ไหลริน
“ขอรับ” ชายวัยกลางคนชื่อหวังคุนประสานมือของเขาและรับคำสั่ง จากนั้นได้สั่งให้ผู้คุ้มกันคนอื่นเข้ายึดครองอีกฝั่งของทะเลสาบทันที ซึ่งมันก็เกือบจะเกิดความขัดแย้งกับผู้คุ้มกันของตระกูลตงที่ได้มาถึงก่อนหน้านี้ ทำให้บรรยากาศโดยรอบมาคุขึ้นมาในทันที
“หึ ข้าสงสัยนักว่าจะเป็นผู้ใด ที่แท้ก็เป็นหวังอวิ๋นฉือ คุณหนูคนที่สองของตระกูลหวังนี่เอง ถึงแม้เราจะอยู่ห่างไกลกัน แต่พรหมลิขิตก็ได้ชักนำให้มาพบกัน ตัวข้านั้นก็อยากจะไปที่ตระกูลหวังมาตั้งนานแล้ว เพื่อที่จะสู่ขอเจ้ากับท่านลุงหวังให้ได้แต่งงานกับข้า ในตอนนี้โชคชะตาได้กำหนดให้เรามาพบกันที่นี่ มันจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากพรหมลิขิต” ชายหนุ่มรูปงามลุกขึ้นยืนและเชิดคางขึ้น ก่อนที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตงเซวียนหง เจ้าควรให้เกียรติกันบ้าง มิฉะนั้นอย่าได้หาว่าข้าหยาบคาย เจ้าควรรู้ไว้ว่า ข้าทำตามคำพูดเสมอ” หวังอวิ๋นฉือกล่าวอย่างเย็นชา
“คิดว่าข้าเกรงกลัวเจ้าหรือ?” ตงเซวียนหงระเบิดความโกรธออกมา “เมื่อข้าได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้ว จากนั้นค่อยมาดูกันว่าท่านพ่อของเจ้าจะเห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างเราหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างเหมาะสม”
เคร้ง!
ด้วยการพลิกมือขวาของนาง กระบี่ที่เปล่งประกายด้วยลำแสงอันเยียบเย็นก็ปรากฏขึ้นในมือของหวังอวิ๋นฉือ และชี้ไปที่ตงเซวียนหงจากระยะไกล นางเม้มริมฝีปากแน่นสนิทและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านข้างของหวังอวิ๋นฉือก็ชักกระบี่ของพวกเขาออกมาอย่างพร้อมเพรียง และสีหน้าของพวกเขาต่างก็เผยให้เห็นความพร้อมที่จะเข้าปะทะ
ในอีกด้านหนึ่ง องครักษ์ของตงเซวียนหงก็ชักอาวุธของพวกเขาออกมาเช่นกัน เมื่อพวกเขาเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปด้วยดี พวกเขาจึงยืนอยู่ที่ด้านข้าง เพื่อเผชิญหน้ากับผู้คุ้มกันของตระกูลหวังจากระยะไกล
ทันใดนั้น บรรยากาศโดยรอบก็ตกอยู่ในความล่อแหลมที่พร้อมจะเกิดการปะทะได้ทุกเมื่อ และแม้แต่กระแสอากาศเองก็ดูเหมือนจะเย็นยะเยือกขึ้นในทันที
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกหนทุกแห่งในที่แห่งนี้ คืออาณาเขตของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และการก่อปัญหาขึ้นในที่แห่งนี้ก็ไม่เป็นการดีเช่นกัน ดังนั้นข้าหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะอดกลั้นต่อกันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย็งที่จะเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น จะเป็นการดีหากทั้งสองฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ” เฉินซีถือคัมภีร์สีฟ้าไว้ในมือขณะที่เขายืนขึ้นจากนั้นก็ส่ายศีรษะและถอนหายใจออกมา
บังเอิญว่าสถานที่ที่เขานั่งอ่านคัมภีร์อยู่นั้น อยู่ระหว่างคนทั้งสองกลุ่มที่กำลังเผชิญหน้ากัน และเขาก็ไม่ได้เป็นที่สะดุดตาจนผู้คนเหล่านี้ไม่ได้สังเกตถึง อีกทั้งเขาก็ไม่สามารถเฝ้าดูอย่างเฉยเมย ในขณะที่คนทั้งสองกลุ่มกำลังจะต่อสู้กันภายในอาณาเขตของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เพราะถ้าเขาทำเช่นนั้น ก็ไม่คู่ควรกับการที่เป่ยเหิงได้ดูแลเขาเสมอมา
“สร้างปัญหา? ข้าเพียงกล่าวกับเจ้าไม่เพียงกี่คำก่อนหน้านี้ เจ้าคิดว่าตัวเองสนิทสนมกับนายน้อยคนนี้หรือ? แล้วยังกล้าสอนบทเรียนให้กับข้าคนนี้อีก? จงรีบไสหัวไปซะ! มิฉะนั้นข้าก็จะทุบตีเจ้าด้วยเช่นกัน!” ตงเซวียนหงขมวดคิ้วขณะกล่าวออกมา
หวังอวิ๋นฉือเพิ่งสังเกตเห็นเฉินซีเช่นกัน ริมฝีปากสีชมพูและอิ่มเอิบของนางได้โค้งงอเป็นเส้นโค้งที่เย่อหยิ่งและดูแคลน เมื่อนางได้ยินคำพูดของเฉินซี ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้กล่าวอันใดออกมา แต่ทัศนคติของนางก็เผยออกมาอย่างชัดเจน
นายเคยพบเห็นผู้คนมากมายที่ประเมินความสามารถของตัวเองสูงล้ำ และเพื่อที่จะเอาชนะใจนาง ก็มีคนมากมายที่ไม่แยแสต่อชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป ดังนั้นการกระทำเช่นนี้ของเฉินซี จึงเป็นเรื่องที่น่าขบขันและไร้เดียงสาในสายตาของนาง
อันที่จริง กลิ่นอายของเฉินซีได้ถูกยับยั้งไว้ และเขาเองก็ถือคัมภีร์สีฟ้าไว้ในมือ แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูไม่ธรรมดา แต่ในตอนนี้เขากลับเหมือนหนอนหนังสือผู้คงแก่เรียนทั่วไป ดังนั้นจะยังมีผู้ใดใส่ใจกับเขาอีก?
“พี่ใหญ่ ดูนั่นสิ ท่าทางจะมีผู้คนทะเลาะกันอยู่ตรงนั้น”
“หุบปากซะ รีบไปจัดการเรื่องของเราเถอะ”
ทันใดนั้นก็มีคนอีกสองคนเดินเข้ามาจากระยะไกล คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง มีใบหน้าหล่อเหลาและมีท่าทางหนักแน่น ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวที่สง่างามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหญิงสาวคนนี้ ดวงตาของนางราวกับดวงดาวที่ส่องประกายท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ซึ่งเต็มไปด้วยความระยิบระยับและลึกล้ำจนยากหยั่งถึง ราวกับเป็นเมฆหมอกและหยาดน้ำ เผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ยากจะพรรณนา
หืม? พวกเจ้ามู่เหยากับมู่เหวินเฟยหรือ?
สายตาของเฉินซีกวาดไปทั่วและจดจำพี่น้องคู่นี้ได้ทันที เมื่อห้าปีที่แล้ว การเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิดที่นอกเมืองทะเลสาบมังกร ทำให้เขาได้รู้จักกับพี่น้องคู่นี้ หลังจากนั้นที่ศาลาชุมนุมเซียน เฉินก็เป็นที่สะดุดตา เพราะได้มอบบทเรียนให้กับเซี่ยจ้านซึ่งเป็นนายน้อยของตระกูลเซี่ยอย่างดุเดือด และเขายังได้จัดแจ้งให้พี่น้องคู่นี้เข้าสู่ตระกูลตู้เพื่อฝึกฝน ตอนนี้พวกเขาไม่ได้พบกันมานานกว่าห้าปีแล้ว รูปร่างหน้าตาของทั้งคู่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และพวกเขาก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มและเด็กสาวตัวมอมแมมเหมือนเมื่อหลายปีก่อนอีกต่อไปแล้ว
“พี่ใหญ่ ดูนั่นสิ…” มู่เหวินเฟยสังเกตเห็นเฉินซีที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนในทันที และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงก่อนจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
มู่เหยาเองก็เงยหน้าขึ้นมอง และดวงตาใสกระจ่างของนางก็สว่างขึ้นในทันที ในขณะที่นางกำลังจะอ้าปาก แต่เฉินซีกลับก้าวเข้ามาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าสองคนมาที่นี่ทำไมหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...
ลงวันละหลายตอนใต้ใหม่ครับ...
ไม่ลงต่อแล้วหรือครับ ผมยังรออยู่นะครับ...