บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 169

บทที่ 169 การมาเยือนของสหายเก่า

บทที่ 169 การมาเยือนของสหายเก่า

ขวับ!

เหล่าศิษย์สายในทั้งเจ็ดสิบสองคนต่างอ้าปากค้างเมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของพวกเขาราวกับพบเห็นภูตผี และแทบไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง

โดยเฉพาะตงฟางซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ที่ได้รับความไว้วางใจจากเฉินซี ให้ทำหน้าที่สำคัญในการเป็นผู้นำเหล่าศิษย์ชายทั้งสามสิบห้าคน สีหน้าของเขาแข็งทื่อเป็นอย่างมาก และแม้แต่ริมฝีปากของเขาก็เริ่มสั่นไหว

“ท่านพี่ หลังจากที่ท่านพ่อได้รับข้อความจากท่าน ก็ได้สั่งให้ข้ารีบเดินทางโดยไม่หยุดพัก เพื่อให้ทันการทดสอบเข้านิกาย ฮ่า ๆๆ! ข้าไม่ได้พบท่านมาตั้งหลายปี ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าท่านน่าเกรงขามยิ่งกว่าแต่ก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของยอดเขาใจสัจธรรมอีกด้วย” ตงเซวียนหงหัวเราะเสียงดังขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า ในระหว่างที่เขาพูด เขาได้ชำเลืองมองทุกสิ่งรอบข้างอย่างอิ่มเอมใจด้วยใบหน้าอันภาคภูมิ ราวกับได้รับเกียรติจากตำแหน่งของพี่ชายเช่นกัน

“ช่างสุภาพนัก! เด็กคนนี้เป็นน้องชายของหัวหน้าผู้ดูแลของยอดเขาใจสัจธรรมจริงหรือ? จะมีผู้ใดกล้าสร้างความลำบากแก่เขาในระหว่างการทดสอบเข้านิกายในครั้งนี้”

“เฮ้อ มันจะดีสักเพียงใด หากข้ามีญาติเช่นเขาบ้าง”

“นี่แหละคือโชคชะตา และเจ้าไม่สามารถได้มันมาด้วยการแสวงหาหรอกน่ะ!”

เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ เหล่าผู้บ่มเพาะจากนอกนิกายที่กำลังเฝ้าดูอยู่บนยอดเขาใจสัจธรรม แสดงออกถึงความชื่นชมขณะที่พวกเขาอุทานโดยไม่รู้จบ ทำให้ตงเซวียนหงรู้สึกภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น จนถึงขั้นที่คางของเขาเชิดขึ้นไปบนท้องฟ้าในไม่ช้า

“ท่านพี่ ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอ แต่เมื่อข้าผ่านการทดสอบเข้านิกายแล้ว เราก็จะได้อยู่ด้วยกันทุกวันแล้ว” เมื่อทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอุทานด้วยความชื่นชม หวังอวิ๋นฉือก็เดินไปข้างหน้าเพื่อจับแขนของหวังหว่านอย่างใกล้ชิด จากนั้นนางก็ชี้ไปที่เฉินซีและกล่าวว่า “คนผู้นี้ใช้กลอุบายต่าง ๆ มากมายตลอดทางเพื่อดึงดูดความสนใจของข้า และเขาก็น่าหัวร่อเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างน้อย เขาก็ยังพาข้าไปถึงยอดเขาใจสัจธรรม ดังนั้นข้าจะมิถือสาเขา และควรจะให้รางวัลกับเขาดีหรือไม่?”

ทันใดนั้น สีหน้าของหวังหว่านพลันแข็งทื่อและไม่น่าแลดู และเคียงข้างของนาง สายตาของศิษย์สายในคนอื่น ๆ ต่างก็เบิกโพลงราวกับกระด้งและตกตะลึงโดยสิ้นเชิง

แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป มันก็ได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกับคำพูดของตงเซวียนหงเช่นกัน ซึ่งทำให้เกิดเสียงอุทานด้วยความชื่นชมจากผู้บ่มเพาะโดยรอบ และความหยิ่งผยองของหวังอวิ๋นฉือก็ได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมากเช่นกัน

“ฮึ่ม!” ตงเซวียนหงดูเหมือนจะรู้สึกราวกับว่าจุดสนใจของเขาถูกหันเหออกไป และเขาก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงอย่างเหยียดหยามก่อนจะหันหลังกลับไป และพบว่าเฉินซียังคงยืนนิ่งเฉยโดยไม่ขยับเขยื้อน ทำให้เขาขุ่นเคืองในใจและตำหนิอย่างรุนแรง “เจ้าเด็กน้อย หรือว่าเจ้าไม่ได้ยินคำพูดของข้า?”

“โอ้จริงสิ เห็นแก่ที่เจ้านำทางมา จงรับวารีวิญญาณหนึ่งร้อยจินไปซะ นี่เป็นรางวัลของเจ้า” ในเวลาเดียวกันกับที่ตงเซวียนหงพูด หวังอวิ๋นฉือก็หยิบถุงเก็บของออกมาและโยนให้เฉินซีราวกับว่านางกำลังทิ้งขยะ และตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้เหลือบมองเขาเลยแม้แต่น้อย

เพียะ! เพียะ!

ตงฟางกับหวังหว่านไม่อาจอดกลั้นโทสะและความหวาดกลัวในใจได้อีกต่อไป พวกเขาจึงลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งคู่ต่างก็ตบตงเซวียนหงและหวังอวิ๋นฉืออย่างรุนแรง จนใบหน้าของพวกเขากลายเป็นสีแดงและปูดบวมในทันที

พวกเขาคิดไม่ถึงว่า น้องชายและน้องสาวของพวกเขาจะโง่เขลาและตาบอดถึงขั้นกล้าดุด่าเฉินซีต่อหน้าพวกเขา พวกเขาช่างโง่เขลา…ราวกับหมูอย่างแท้จริง

“ท่านพี่ เหตุใดถึงตีข้า? ข้าทำอะไรผิด? ทั้งที่ตอนที่เรายังเล็ก ท่านนั้นเอ็นดูข้ามากที่สุดอยู่เสมอ!” ตงเซวียนหงร้องออกมาด้วยเสียงที่เสียดหู และใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ

“ท่านพี่! ท่าน…” หวังอวิ๋นฉือเอามือลูบใบหน้าของนางเช่นกัน และนางก็จ้องมองพี่สาวของนางด้วยความประหลาดใจ

นายน้อยและคุณหนูที่ทุกคนต่างก็ชื่นชอบและเอ็นดู กลับถูกพี่น้องของพวกเขาตบหน้าต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ความรู้สึกอัปยศอดสูเช่นนี้ แทบจะทำให้คนทั้งสองกลายเป็นบ้า

ผู้คนรอบข้างมองดูฉากนี้ด้วยความไม่อยากเชื่อ เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้แน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าพวกเขาจะเค้นสมองขนาดไหนก็ตาม

“สองคนนี้เป็นน้องชายและน้องสาวของพวกเจ้าใช่หรือไม่” ในที่สุดเฉินซีก็พูดออกมา สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งเช่นเคย ในขณะนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า ตงเซวียนหงผู้นี้ไม่ได้คิดจะสร้างความสัมพันธ์กับเขา แต่มีความสัมพันธ์กับตงฟางแทน

“หุบปากซะ! เจ้าเด็กตัวสารเลว ฟังข้าซะ ไม่งั้นข้าจะ… อ๊า!” ตงเซวียนหงตั้งใจที่จะระบายความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในอกของเขาใส่เฉินซี แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า ขณะที่เขายังกล่าวไม่ทันจบ พี่ชายของเขาก็ได้ตบไปที่ใบหน้าของเขาอย่างรุนแรงอีกครั้ง

เดิมที หวังอวิ๋นฉือกำลังอ้าปากของนางและตั้งใจจะระบายความโกรธต่อเฉินซีเช่นกัน แต่เมื่อนางเห็นดวงตาแสนเย็นชาของพี่ใหญ่ของนาง นางก็รู้สึกหวาดกลัวในทันที จนไม่อาจกล่าวอะไรออกมาสักคำ

“ท่านบรรพจารย์อา คนผู้นี้เป็นน้องชายของศิษย์จริง ๆ ท่านโปรดให้อภัยด้วยขอรับ!” ตงฟางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะโค้งคำนับ เพราะเขารู้ว่า ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปมันไร้ประโยชน์และเขาจึงทำได้เพียงแสดงออกอย่างจริงใจที่สุดเพื่อช่วยชดใช้ให้แก่น้องชายของเขา

“ท่านบรรพจารย์อา โปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ!” หวังหว่านโค้งคำนับในเวลาเดียวกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]