บทที่ 1706 เหล่าไป๋
………………..
บทที่ 1706 เหล่าไป๋
สุ้มเสียงนั้นดูเหมือนจะโกรธเคืองและรำคาญอยู่บ้าง
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ ยามนี้เขามั่นใจคร่าว ๆ ว่าเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้มีเจตนาร้าย ทั้งยังดูเหมือนแค่ปากพล่อยและรนหาเรื่องถูกทุบตี
เฉินซีจึงตั้งใจที่จะมุ่งหน้าต่อไป
แต่ทันใดนั้น จู่ ๆ คลื่นพลังผันผวนก็อุบัติในห้วงความว่างเปล่า จากนั้นอสูรนภาที่สง่างามก็ปรากฏตัวขึ้น
มันมีปีกขาวผ่องดุจหิมะ กรงเล็บที่ดูเหมือนสร้างจากทองคำและเปล่งประกายระยิบระยับ และดวงตาคู่หนึ่งที่สว่างราวดวงดาว ทั้งยังเผยกลิ่นอายที่คุกคามและดุร้าย
มีมงกุฎขนนกประดับอยู่บนหัวมัน ทั้งเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีที่แวววาวและไร้ซึ่งตัวตนอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น ปีกของมันก็หุบพับ ส่วนหัวที่ขาวเรียวยาวเชิดสูงอย่างภาคภูมิ สะท้อนถึงความสง่างาม โอ่อ่าและหยิ่งผยองถึงขีดสุด
เฉินซีอดประหลาดใจมิได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะมองอสูรนภาตัวนี้อย่างไร เพียงรู้สึกว่ามันเหมือนกับไก่ขนขาว ทั้งยังมีดีแค่รูปลักษณ์ภายนอก และดูเหมือนเป็นการอวดโฉมมากกว่า
ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจ งั้นเจ้าของเสียงนั้นคือมัน! แต่มัน… ดูเหมือนไก่ขนขาวจริง ๆ
เมื่อครุ่นคิดเช่นนี้ มุมปากก็บิดโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ข้าขอเรียนนามอันสูงส่งของผู้อาวุโสได้หรือไม่?”
‘ไก่ขนขาว’ ตัวนี้ ดูเหมือนจะไม่ตระหนักถึงคำแดกดันของเฉินซีแม้แต่น้อย
มันเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ และกล่าวด้วยท่าทางเหมือนผู้อาวุโสผู้ทรงภูมิ “เด็กน้อย มารยาทของเจ้าไม่เลวเลย บอกความจริงแก่เจ้า บรรพบุรุษของข้าถือกำเนิดภายในความโกลาหลในยุคหม่านกู่ เมื่อครั้งที่ข้าถือกำเนิด เมฆมงคลเจ็ดสีก็เคลื่อนลงมาจากฟ้า มีดอกบัวทองนับหมื่นผุดขึ้นมาจากพื้น เหล่าทวยเทพต่างหวาดกลัว สุริยันจันทราและดาราสั่นสะเทือน หากเจ้ามิได้เห็นด้วยสองตาของตัวเอง คงไม่มีทางที่จะเจ้าจะจินตนาการว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ที่โชติช่วงเพียงใด จนถึงทุกวันนี้ สิ่งนี้ได้จารึกอยู่ในม่านประวัติศาสตร์ของยุคหม่านกู่ซึ่งไม่อาจลบเลือนออกไปได้…”
ยิ่งกล่าวก็ยิ่งตื่นเต้น น้ำลายกระเซ็นสาดไปทั่ว จิตใจยิ่งคึกคักฮึกเหิม และดูเหมือนกำลังคิดคำนึงถึงเรื่องราวในอดีต
เฉินซีกลับขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่เคยเห็นตาเฒ่าที่หน้าทนเช่นนี้มาก่อน แต่ท้ายที่สุดด้วยความเคารพ ชายหนุ่มจึงระงับความชิงชังในใจ แล้วฟังต่อ
ตามคำบอกเล่าของไก่ขนขาวตัวนี้ มันเป็นเทพโดยกำเนิดที่ถือกำเนิดในความโกลาหลแห่งยุคหม่านกู่ นอกจากนั้น แทบทุกสิ่งที่กล่าวมานั้นล้วนเกินจริงและเป็นการโอ้อวดตน เช่นเดียวกับเรื่องที่มันติดตามเทพเพื่อท่องไปทั่วโลกา กวาดล้างไปทั่วเอกภพมากมาย นอกนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นใดควรค่าแก่การจดจำ
สิ่งนี้ทำให้เฉินถึงกับจนคำพูด เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะพบเจอกับตัวประหลาดเช่นนี้ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนที่เคร่งขรึม คนผู้นี้ไม่เพียงแต่ปากพล่อยจนสมควรถูกทุบตีเท่านั้น แต่ยังโอ้อวดเกินจริง ซ้ำยังเผยท่าทางภาคภูมิและพึงพอใจมาตั้งแต่ต้นจนจบอีกด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้พบกับอสูรนภาซึ่งมีลักษณะเช่นนี้ และเขาก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เหล่าไป๋….” เฉินซีอ้าปากกล่าวและตั้งชื่อเล่นให้กับมัน
ทว่าสิ่งนี้กลับกระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจทันที ก่อนที่เฉินซีจะกล่าวจบ มันก็กล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก “บังอาจ! เจ้ากล้าเรียกข้าว่าอะไร? บรรพบุรุษของเจ้า? เจ้ากล้าดีอย่างไรทำให้ชื่อของข้าด่างพร้อย หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในยุคหม่านกู่ แม้แต่เซวียนก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้!”
เฉินซีรู้สึกถึงคลื่นแห่งความสิ้นหวัง จึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้า….”
“สามหาว! กล้าดียังไงถึงเรียกบรรพบุรุษของเจ้าด้วยคำว่า ‘เจ้า’? นี่เป็นการดูหมิ่นอย่างยิ่ง….”
เฉินซียื่นมือออกไปทันทีและคว้าคอของมันราวกับกำลังจับไก่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เสียงไก่ขนขาวหยุดลงกะทันหัน โลกจึงกลับมาเงียบสงบดังเดิม
“เจ้ากล้าเรียกตัวเองว่าบรรพบุรุษ ทั้งที่มีความสามารถแค่นี้หรือ?” เฉินซีกล่าวอย่างไม่แยแส “ ถ้าเจ้ายังกล้าพูดพล่ามอีก อย่าหาว่าข้าไร้ปรานี!”
ไก่ขนขาวโกรธแค้นจนตัวสั่นสะท้านไปหมด และจ้องเขม็งอย่างอาฆาต แม้มันจะอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เฉินซีบีบคอมันไว้แน่น ทำให้ใบหน้าของมันแดงก่ำจากการขาดอากาศ
ในที่สุดมันก็สูญเสียกำลังใจและหดหู่อย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ลำคอเป็นอิสระ ไก่ขนขาวก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าเด็กบัดซบ เจ้ากล้าดีอย่างไรปฏิบัติต่อบรรพบุรุษของเจ้าเช่นนี้! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม้แต่เซวียนก็ยังต้องเรียกบรรพบุรุษอย่างเคารพในฐานะ ‘อาจารย์’? เจ้า….”
เสียงแสบหูหยุดกะทันหัน เมื่อเฉินซีคว้าคอของมันอีกครั้ง ทำให้มันโกรธมากจนแทบระเบิด ในขณะที่ความโกรธแค้นและความเศร้าอย่างไร้ขอบเขตปะทุขึ้นในใจ โลกเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ แม้แต่เด็กน้อยก็ยังกล้าดูหมิ่นข้า…
มารดามัน!
ช่างน่าสมเพชจริง ๆ!
“นับจากนี้ เจ้าจะถูกเรียกว่าเหล่าไป๋ หากเจ้าคิดมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็จงเชื่อฟังคำข้าแต่โดยดี เพราะข้าจะไม่อดกลั้นหากเจ้ายังพูดมากอีก” เฉินซีเหลือบมองอย่างเย็นชาก่อนจะปล่อยมือ
เหล่าไป๋โกรธแค้นจากการถูกคุกคามเช่นนี้ และตั้งใจอ้าปากเพื่อกล่าวบางอย่าง ทว่าสายตาของเฉินซีกลับจ้องเขม็ง ทำให้ใบหน้ามันแข็งทื่อฉับพลัน พร้อมกล้ำกลืนคำที่เกือบหลุดจากปากกลับลงท้องไป มันเจ็บแค้นจนมงกุฎขนนกบนหัวสั่นสะเทือน ทั้งยังเดือดดาลอย่างมาก
“รากเต๋าวิภูจักรวรรดิอยู่ที่ใด” ในที่สุด เฉินซีก็สามารถสยบอสูรนภาผู้นี้ได้ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
คราวนี้เหล่าไป๋กลับตอบอย่างง่ายดาย “เจ้าอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่ภูเขาที่กว้างใหญ่นี้เรียกว่าสันเขาอสูร ภูเขาเหล่านี้ทุกลูกได้สะกดวิญญาณกระบี่ไว้ ซึ่งพวกมันทั้งหมดประสบกับปราณหักเห เพราะลุ่มหลงในวิถีเต๋าแห่งกระบี่มากเกินไป จึงเหลือเพียงวิญญาณกระบี่ที่ยังคงอยู่ที่นี่ ตราบใดที่เจ้าสามารถพิชิตพวกมันทั้งหมดได้ เจ้าก็สามารถเห็นร่างของรากเต๋าวิภูจักรวรรดิ”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ มันก็เหลือบมองเฉินซีและกล่าวอย่างเฉยเมย “เฉินซี ข้าต้องเตือนเจ้าก่อน หากเจ้าไม่ผ่านการทดสอบนี้ นั่นหมายถึงความตาย แม้ว่าข้าจะรู้สึกเห็นใจ แต่ข้าก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้เพราะกฎเกณฑ์”
เหล่าไป๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงเย็นเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย “ข้าไม่ได้ขู่นะ วิญญาณกระบี่ทุกตัวได้บรรลุแก่นแท้ของกระบวนท่าเชือดเฉือนกาสรแล้ว เจ้าก็ประจักษ์ชัดว่าเพลงกระบี่นี้น่าพรั่นพรึงเพียงใด”
เชือดเฉือนกาสร!
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง และสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง กระบวนท่านี้เปี่ยมด้วยพลังทำลายล้าง ทั้งยังแม่นยำ และรวดเร็วสุดเปรียบปาน ในยามต่อสู้ตัวต่อตัว มันเหนือกว่าเพลงกระบี่อื่น ๆ ทั้งหมดในแง่ของพลังทำลาย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือกระบวนท่านี้ไม่เพียงแต่มีพลังทำลายล้างที่น่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังแม่นยำอย่างยิ่งอีกด้วย เมื่อใดที่มันเล็งเป้าไปที่ใคร ก็ไม่มีทางจะหลบเลี่ยงมันได้ และทำได้เพียงต้านทานซึ่งหน้าเท่านั้น
ตามที่เหล่าไป๋กล่าวไว้ เหล่าวิญญาณกระบี่ที่ถูกสะกดในสันเขาอสูรนั้น ล้วนบรรลุแก่นแท้ของเพลงกระบี่นี้ แล้วเฉินซีจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
หลังจากไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งอยู่เนิ่นนาน ดวงตาพลันเปล่งประกายเด็ดเดี่ยว แล้วพุ่งเข้าสู่สันเขาอสูรทันที
เขาต้องได้รากเต๋าวิภูจักรวรรดิ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ต่อให้การทดสอบนี้จะอันตรายสักเพียงใด เขาก็จะไม่หยุดเพียงเพราะเหตุนี้
“ฮ่า ฮ่า! กล้าหาญไม่เบา เซวียนดูคนไม่ผิดจริง ๆ” เหล่าไป๋เหลือบมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้น มันก็ตะโกนว่า “เฉินซี เจ้ายังจำกระบวนท่าโอบวลัยที่เจ้าเข้าใจก่อนหน้านี้ได้หรือไม่”
“อีกแล้ว! เฉินซี เจ้าคนไม่มีสัมมาคารวะ! แต่ข้าผู้เป็นบรรพบุรุษของเจ้า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เจ้ายอมรับคำชี้แนะด้วยใจที่เปิดกว้าง” เหล่าไป๋เงยหน้าขึ้นสูงและถอนหายใจยาวแรง
“….” เฉินซีถึงกับจนคำพูด เขาแอบตัดสินใจแล้วว่า จะไม่สุภาพต่ออสูรไร้ยางอายตัวนี้อีกในภายหน้าอย่างแน่นอน!
วู~ วู~ วู~
พายุพัดโหมกระหน่ำดุจใบมีด และส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วสันเขาอสูร ฟ้าดินถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่เงียบงัน มีเพียงภูเขาแห้งแล้งเหล่านั้นที่ตั้งอยู่ที่นี่ พวกมันเป็นเหมือนสัตว์ร้ายในยุคหม่านกู่ที่หลับใหลอยู่ที่นี่มานานเกินนับ และการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็อาจปลุกให้พวกมันตื่นจากนิทรา
เสื้อผ้าของเฉินซีปลิวสะบัดในขณะเขายืนอยู่ห่างออกไป และพินิจทุกสิ่งในระยะไกล อากาศอบอวลไปด้วยเจตจำนงกระบี่จาง ๆ และทำให้ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงก่อนที่จะฉายแสงเย็นเยียบ
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...