เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1736

บทที่ 1736 เหล่าไป๋ผู้ถือดี

………………..

บทที่ 1736 เหล่าไป๋ผู้ถือดี

ทุกคนต่างประหลาดใจ และพวกเขาจ้องมองไปที่เหล่าไป๋ด้วยสีหน้าสงสัย

ไม่มีใครกล่าวด้วยความไม่พอใจอีกเลย และทุกคนก็มองดูอย่างเย็นชาจากด้านข้าง ราวกับพวกเขาตั้งใจจะดูว่าวิหคเฒ่าปากร้ายตัวนี้จะมีความรู้พอที่จะตอบคำถามของพวกเขาได้หรือไม่

เหล่าไป๋รู้สึกพึงพอใจมากขึ้นเมื่อเห็นเช่นนี้ มันเชิดหน้าอกขึ้นและเผยให้เห็นท่าทางที่อวดดี พลางกล่าวว่า “ดูสิ ท่านปู่ของเจ้าเพียงมองแวบเดียวก็บอกได้ทันทีว่าวิญญาณของเจ้าได้รับบาดเจ็บ แล้วข้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะชี้แนะแก่เจ้าได้อย่างไร?”

เทพอสูรในชุดหนังสัตว์มีท่าทางประหลาดใจปนลังเล หลังจากนั้นเขาก็คำรามอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเช่นนั้นบอกข้าที… เคล็ดวิชาใดที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของข้าได้?”

เหล่าไป๋กล่าวอย่างดูถูกว่า “มันจะไปยากอะไร? ท่านปู่ของเจ้าย่อมมีวิธีคลี่คลายปัญหานี้ให้แก่เจ้าอย่างน้อยสิบหกวิธี แต่ว่า…”

เมื่อมันกล่าวมาถึงจุดนี่ จู่ ๆ มันก็ปิดปากเงียบ จากนั้นลูกตาก็กลอกไปมา ราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง

“แต่อะไร?” ชายคนนั้นอดไม่ได้ที่จะถาม

“ฮึ่ม! สำหรับข้าดูเหมือนนกตัวนี้กำลังโอ้อวดเท่านั้น”

ผู้บ่มเพาะในบริเวณใกล้เคียงขมวดคิ้ว และพวกเขาพยายามยั่วยุให้เหล่าไป๋บอกคำตอบ

“ช่างเถอะ วันนี้ท่านปู่ของเจ้าจะแสดงความเมตตาและจะมอบโชคลาภสูงสุดให้ เพื่อเจ้าที่จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง” เหล่าไป๋ถอนหายใจลึก ๆ และทำให้มุมปากของทุกคนในบริเวณใกล้เคียงกระตุก

“เจ้า….” สีหน้าของเทพอสูรในชุดหนังสัตว์ดิ่งลง จักรพรรดิผู้สง่างามเช่นเขา ผู้ซึ่งได้รับการเชิดชูจากผู้คนไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม แล้วตั้งแต่เมื่อใดที่เขาต้องทนถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยนกเช่นนี้?

อย่างไรก็ตาม เขาถูกขัดจังหวะโดยเหล่าไป๋ก่อนที่จะทันได้กล่าวจบ “จงฟังดี ๆ เพราะข้าจะกล่าวแค่ครั้งเดียว”

ขณะที่กล่าว มันก็วางปีกไว้ด้านหลังและก้าวผ่านอวกาศไปพร้อม ๆ กับเผยให้เห็นท่าทางของผู้รอบรู้ “วิชาคุมวิญญาณสุญตาเลื่อนลอยนั่นบ่มเพาะตามหลักของฟ้า ความลึกซึ้ง ความจริง ยุคสมัย และต้นกำเนิด มันชักนำพลังงานจากสายฟ้าสวรรค์ เปลวเพลิงบนโลก วารีทมิฬ ปราณแท้ ปราณโบราณ และจิตวิญญาณต้นกำเนิด เพื่อที่จะขัดเกลาร่างกาย ควบแน่นวิญญาณสุญตา และทะลวงจุดชีพจรในวิญญาณโลหิต…”

“อย่างไรก็ตาม ข้อห้ามร้ายแรงที่สุดในการบ่มเพาะเคล็ดวิชานี้ คืออาการบาดเจ็บที่วิญญาณ ไม่เช่นนั้นคงถือได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาอันดับหนึ่งในเลยก็ว่าได้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ เทพอสูรบรรพกาลที่มีสติปัญญาล้ำเลิศได้บัญญัติเคล็ดวิชาหล่อเลี้ยงวิญญาณสุญตาเพื่อตอบสนองต่อข้อบกพร่องนี้ และนั้นจึงทำให้พวกเขาสามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชาได้สำเร็จ…”

เสียงของเหล่าไป๋ดังก้องไปทั่วป่าไผ่ม่วง ทำให้จากที่เทพอสูรในชุดหนังสัตว์รู้สึกอับอายและโกรธแค้นเหล่าไป๋ ทว่าเมื่อฟังในสิ่งที่เหล่าไป๋กล่าว เขาก็ตกตะลึงทันที

เขารู้สึกคล้ายกับถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง ราวกับลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง มีเพียงเสียงที่แหลมเสียดหูของเหล่าไป๋เท่านั้น

แต่สำหรับเทพอสูรในชุดหนังสัตว์ เสียงนี้กลับช่างวิเศษเกินจะพรรณนาได้ มันเหมือนกับเสียงสวดภาวนาของมหาเต๋า และมันค่อย ๆ คลี่คลายคำถามที่สะสมอยู่ในใจของเขามานานหลายปี ทำให้รู้แจ้งโดยฉับพลัน

ในทางกลับกัน คนอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกลับไม่สามารถระบุว่าคำกล่าวของเหล่าไป๋นั่นลึกซึ้งเพียงใด

แต่พวกเขาสามารถบอกได้ว่า ชายคนนั้นดูคล้ายกับถูกเขาสิงจริง ๆ สีหน้าของเขาบางครั้งก็เต็มไปด้วยประหลาดใจ บ้างก็เต็มไปด้วยตกใจ บางครั้งก็ยิ้มแย้มแจ่มใส บางครั้งดูเหมือนกำลังครุ่นคิด…

ดูเหมือนว่าเขากำลังสัจธรรมอันสูงสุด และตกสู่สภาวะรู้แจ้งถึงเต๋า

สิ่งนี้ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึง ในที่สุดพวกเขาก็มั่นใจว่าวิหคเฒ่าตัวนี้ไม่ได้โอ้อวดและกล่าวเกินจริง แต่จริง ๆ แล้วมันมีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง!

เฉินซีและจักรพรรดินีอวี้เชอสบตากัน จากนั้นพวกเขาเพียงยิ้มเงียบ ๆ พลางลอบถอนหายใจออกมา “เจ้าวิหคเฒ่าปากร้ายไม่ได้ไร้ประโยชน์เลย…”

“วิเศษ! วิเศษมาก!”

เมื่อเหล่าไป๋อธิบายทุกอย่างเสร็จแล้ว เทพอสูรในชุดหนังสัตว์ก็ตื่นเต้นจนกระโดดโลดเต้นทันที และดูเหมือนเขาจะยินดีจนแทบกลายเป็นบ้า

แต่ในขณะนี้กลับไม่มีใครหัวเราะ เพราะทุกคนตระหนักดีว่าปัญหาที่รบกวนจิตใจชายคนนี้มาเป็นเวลากว่าหมื่นปีนั้นได้รับการคลี่คลายในช่วงเวลาอันสั้นนี้!

นี่เป็นปัญหาที่จักรพรรดิต้องเผชิญ!

ทั่วทั้งแดนโบราณแห่งนี้ จะมีสักกี่คนที่สามารถชี้แนะแก่จักรพรรดิได้?

ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนั้น แล้วทำไมเทพอสูรในชุดหนังสัตว์ถึงต้องรออยู่ที่นี่อย่างขมขื่นเพียงเพื่อขอคำชี้แนะจากปรมาจารย์ของอารามไท่ชู?

ดังนั้นจึงไม่มีใครหัวเราะเยาะ เมื่อเห็นชายคนนั้นเพิกเฉยต่อบุคลิกของเขา และกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี

อย่างไรก็ตาม มีเพียงเหล่าไป๋เท่านั้นที่หัวเราะ มันจ้องมองเทพอสูรในชุดหนังสัตว์ด้วยความดูถูกและร้องออกมาว่า “เจ้าตรงนั้นนะ! เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดกระโดดโลดเต้นเสียที?”

เทพอสูรในชุดหนังสัตว์ตัวแข็งทื่อ ราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน และเผยให้เห็นถึงสีหน้าที่เขินอายเล็กน้อย จากนั้นจึงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วโค้งคำนับพลางกล่าวว่า “ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะของท่าน สหายเต๋า ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตาอันยิ่งใหญ่นี้ และข้าจะตอบแทนพระคุณท่านเป็นสิบเท่าอย่างแน่นอน หากข้ามีโอกาสในอนาคต!”

“ตอบแทนข้าเหรอ?” ดวงตาของเหล่าไป๋เป็นประกาย และกล่าวว่า “อย่าต้องรอถึงอนาคต เจ้าสามารถตอบแทนข้าได้บัดนี้เลย”

ชายคนนั้นตกตะลึงทันที

ขณะที่เหล่าไป๋กล่าว มันก็โบกปีกไปที่เฉินซีและกล่าวว่า “เจ้าหนูมานี่ แล้วให้เขาดูแผ่นหยกนั่นซะ”

เฉินซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข้าใจทันที ก่อนหยิบแผ่นหยกซึ่งบันทึกรายการวัตถุเทวะและสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่เทพธิดามอบให้ไว้

เทพอสูรในชุดหนังสัตว์ขมวดคิ้ว แต่เขายังคงถือมันไว้ในมือ จากนั้นก็เผยให้เห็นความลังเลเล็กน้อยทันที หลังจากที่มองผ่านมันครู่หนึ่ง

หัวใจของผู้บ่มเพาะในบริเวณใกล้เคียงกระตุกเมื่อเห็นสิ่งนี้ “แม้แต่จักรพรรดิก็ยังมีปัญหากับมันมาก หรือว่าเงื่อนไขภายในแผ่นหยกนั้นจะรุนแรงมาก?”

“ผู้อาวุโส มีวัตถุเทวะจำนวนมากอยู่ในรายการนี้ และแต่ละชิ้นก็มีค่ามาก ข้าครอบครองเพียงบางส่วนเท่านั้น….” เทพอสูรในชุดหนังสัตว์หัวเราะอย่างขมขื่น แม้แต่วิธีพูดจาของเขาก็เปลี่ยนไป

วัตถุเทวะทุกชิ้นถือได้ว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าของฟ้าดิน และเมื่อวัตถุเทวะเหล่านี้ทั้งหมดถูกรวมเข้าด้วยกัน มูลค่าของพวกมันก็จะมหาศาลจนมิอาจประเมินค่าได้

แม้จะมีความมั่งคั่งและความสามารถ พวกเขายังรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวบรวมวัตถุเทวะเหล่านี้ทั้งหมด

“สหายเต๋า นี่มันจะไม่บีบคั้นเกินไปหน่อยเหรอ?” มีคนกล่าวด้วยสีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย

คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยเช่นกัน และพวกเขารู้สึกว่าเหล่าไป๋จงใจทำสิ่งที่ยากสำหรับพวกเขา

“พวกเจ้ามันโง่เขลา เมื่อเทียบกับการบ่มเพาะของเจ้าเอง สมบัติภายนอกเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรเลย!” เหล่าไป๋คำรามอย่างเย็นชาและตำหนิพวกเขา ดูเหมือนเขากำลังสั่งสอนเหล่าลูกศิษย์ และมันก็ตรงไปตรงมาโดยสิ้นเชิง ทำให้สีหน้าของผู้บ่มเพาะเหล่านั้นไม่น่าดูเล็กน้อย

“ข้ามีวัตถุเทวะสองชิ้นที่ตรงตามเงื่อนไข และข้ายินดีที่จะลองดู” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินไปข้างหน้า เขาสะพายกระบี่ทองสัมฤทธิ์บนหลัง มีท่าทางสง่างาม และร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของเจตจำนงกระบี่ที่หมอกมัว

“เจ้า?” เหล่าไป๋เหลือบมองเขาและส่งเสียงฮึดฮัด “เจ้าหนุ่ม ข้าสังเกตเห็นว่าเจตจำนงกระบี่ปกคลุมร่างกายของเจ้าและเป็นไปไม่ได้ที่จะสะกด เจ้าเคยประสบปัญหาในความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าแห่งกระบี่หรือไม่?”

ชายหนุ่มไม่แปลกใจ เพราะใครก็ตามที่มีความสามารถในการแยกแยะย่อมสามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้

เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง ข้าขอน้อมถามผู้อาวุโสว่ามีวิธีแก้ไขได้หรือไม่?”

เหล่าไป๋กล่าวอย่างเรียบ ๆ “มอบวัตถุเทวะมา แล้วท่านปู่ของเจ้าจะบอก”

ชายหนุ่มดึงกล่องหยกสองกล่องออกมาทันทีและส่งให้เฉินซี หลังจากที่เขาตรวจสอบพวกมันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงพยักหน้าให้เหล่าไป๋

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหล่าไป๋จึงกล่าวว่า “ปัญหาของเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคำแนะนำเพียงอย่างเดียว และเจ้าต้องสยบมันด้วยตนเอง”

“สยบมัน?” ชายหนุ่มตกตะลึงแล้วกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้าเฒ่าขี้โกง! นี่คือคำตอบที่เจ้าให้ข้าเหรอ?”

ผู้บ่มเพาะในบริเวณใกล้เคียงก็ไม่พอใจเช่นกัน และพวกเขารู้สึกว่าเหล่าไป๋กำลังทำตัวขอไปทีและทำให้ชายหนุ่มอับอาย

“เจ้ายังเด็กจริง ๆ” เหล่าไป๋ส่ายศีรษะพลางหัวเราะเบา ๆ และเผยสีหน้าหยิ่งผยอง เขาไม่คิดที่จะสนใจเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ก่อนที่จะกล่าวกับเฉินซีว่า “ข้าฝากเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการด้วย”

เฉินซีพยักหน้ารับ เพราะเขาสังเกตเห็นข้อบกพร่องในเต๋าแห่งกระบี่ของชายหนุ่มเช่นกัน

เขาตัดไผ่ม่วงที่แวววาวราวกับหยกออกทันที จากนั้นก็ฉีกใบไผ่ที่อยู่บนนั้นออก ก่อนจะถือมันไว้ในฝ่ามือเพื่อใช้มันแทนกระบี่

“อะไร? เจ้าคิดจะสู้กับข้าเหรอ?” สีหน้าของชายหนุ่มดิ่งลง แม้ว่าเขาจะมีรูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์ แต่จริง ๆ แล้วเขาได้บ่มเพาะมาหลายหมื่นปีแล้ว อีกทั้งยังก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมถือเฉินซีที่เพิ่งบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเป็นเพียงผู้เยาว์

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]