เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1737

บทที่ 1737 คำชี้แนะ

………………..

บทที่ 1737 คำชี้แนะ

เฉินซีแย้มยิ้มก่อนจะทิ่มแทงด้วยกิ่งไผ่ม่วงในมือ

ฟึ่บ!

กิ่งไผ่ม่วงในมือเฉินซีดูเหมือนมีชีวิตเป็นของตัวเอง มันพลุ่งพล่านด้วยเจตจำนงกระบี่ที่รุนแรงและอำมหิต ทั้งยังแฝงด้วยพลังแห่งพายุขณะที่มันพุ่งไปข้างหน้า

ฟิ่ว!

อวกาศเปรียบเสมือนผืนผ้าใบที่ถูกฉีกออกเป็นเส้นตรง และมันพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มคนนั้น

“อืม?” ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลง เขาไม่เคยคาดคิดว่าเฉินซีจะโจมตีแบบนั้นจริง ๆ

เขาชักกระบี่ออกมาโดยสัญชาตญาณและฟันออกไป

โครม!

สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงกันถ้วนหน้า เพราะเห็นได้ชัดว่าเฉินซีใช้เพียงกิ่งไผ่ แต่เมื่อพวกเขาปะทะกัน มันกลับฟาดกระบี่ทองสัมฤทธิ์ในมือของชายหนุ่มจนสั่นสะท้านอย่างไม่รู้จบ

“ฮึ่ม!” สีหน้าของชายหนุ่มดิ่งลง อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้รับประโยชน์แม้แต่น้อยในระหว่างการปะทะกันครั้งนี้ และสิ่งนี้ทำให้เกิดความโกรธแค้นในใจเขา

อีกฝ่ายเป็นเพียงชายหนุ่มที่เพิ่งบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล อีกทั้งยังใช้กิ่งไผ่แทนกระบี่ ดังนั้นมันคงน่าอายเกินไป หากเขาไม่สามารถสยบชายหนุ่มผู้นี้ได้

ฟิ่ว!

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง เฉินซีก็แทงออกไปอีกครั้ง กิ่งไผ่ม่วงพุ่งไปข้างหน้าราวกับลำแสง และแทงเข้าที่กลางหน้าผากของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

มันเร็วเกินไป!

ชายหนุ่มไม่มีเวลาแม้แต่จะหลบเลี่ยง และทำได้เพียงขวางกระบี่เพื่อสกัดกั้นมัน

โครม!

เขาถูกโจมตีอย่างหนักจนต้องถอยหลังไปสองสามก้าว สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขามืดมนยิ่งขึ้น และความโกรธก็ปะทุในดวงตา

เฉินซีเหิมเกริมและไม่ได้จริงจังกับเขาเลย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าเฉินซีทำเกินไป!

โครม!

แค่เพียงชั่วพริบตาเดียว การเคลื่อนไหวของเขากลับหยุดชะงัก ร่างกายแข็งทื่อ ในขณะที่ใบหน้าแข็งค้าง

เพราะจู่ ๆ กิ่งไผ่ม่วงก้านหนึ่งได้กดลงบนคอของเขา และมันอยู่ห่างจากลำคอเพียงไม่กี่ชุ่นเท่านั้น!

เหล่าผู้บ่มเพาะในบริเวณใกล้เคียงล้วนตกตะลึงในใจ

นับตั้งแต่การปะทะกันครั้งนี้ปะทุขึ้นจนยุติ เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ และเฉินซีเพียงใช้แค่สามกระบวนท่า ก่อนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาได้!

ทั้งหมดนี้เร็วเกินไป และเต๋าแห่งกระบี่ที่เฉินซีได้เปิดเผยนั่นแข็งแกร่งจนเกินจินตนาการของพวกเขาด้วยซ้ำ

โชคดีที่มันเป็นเพียงการประลองเท่านั้น และทั้งสองฝ่ายต่างก็ถอยกลับ พวกเขาไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่ และเพียงประชันกันในแง่ของเต๋าแห่งกระบี่ของพวกเขา มิฉะนั้นหากพวกเขาต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ป่าไผ่ม่วงนี้ก็คงถูกทำลายทันที

บรรยากาศเงียบสนิท

เหงื่อเยียบเย็นเม็ดแล้วเม็ดเล่าได้ผุดขึ้นบนหน้าผากของชายหนุ่มและไหลลงมาบนใบหน้าของเขา

ท่าทางของเขาไม่น่าดูอย่างยิ่ง ในขณะที่เจ้าตัวยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่กล้าขยับเขยื้อน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “นี่ข้าพ่ายแพ้ภายในสามกระบวนท่าจริง ๆ เหรอ!?”

เป็นเพราะความหลงใหลนี้เองที่ทำให้เขาบรรลุขอบเขตจักรพรรดิกระบี่เมื่อกว่าพันปีก่อน และทำให้ชื่อเสียงเลื่องลือ ในขณะที่ตัวเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดคนในวิถีของเต๋าแห่งกระบี่

ทว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่ย่างกรายเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ ความเข้าใจในเต๋าแห่งกระบี่ของเขาก็ได้หยุดนิ่งลง

ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพียรพยายามอย่างหนักเพียงใดหรือขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสและผู้เยี่ยมยุทธ์หลายต่อหลายคน ทั้งหมดก็ไม่สามารถคลี่คลายปมปัญหานี้ของเขาได้โดยสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนี้ ท้ายที่สุดเขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อาวุโส และมายังที่แห่งนี้ด้วยความตั้งใจที่จะขอคำชี้แนะจากปรมาจารย์แห่งอารามไท่ชู

อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของชายหนุ่มที่ใช้กิ่งไผ่แทนกระบี่

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังพ่ายแพ้ด้วยเต๋าแห่งกระบี่ที่เขาเชี่ยวชาญและภูมิใจมากที่สุด!

สิ่งนี้ทำให้เขาได้รับการกระทบกระเทือนต่อจิตใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเกือบจะทำให้เขาเริ่มรู้สึกสงสัยต่อเต๋าแห่งกระบี่ที่เขาอุทิศมาตลอดชีวิต

“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”

คำถามเดียวกันนี้ดังก้องอยู่ในใจของเขาอย่างไม่รู้จบ แล้วแววตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทันใดนั้น เหล่าไป๋ก็คำรามอย่างเย็นชา “ฮึ่ม! ผู้ฝึกกระบี่มักยอมหักมากกว่ายอมงอ และพวกเขายังคงไม่ยอมแพ้แม้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เจ้าสมควรที่จะกล่าวถึงเต๋าแห่งกระบี่ด้วยความอดทนเพียงเล็กน้อยนั้นหรือไม่”

มันเหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ดังก้องในหูของเขา ทำให้ชายหนุ่มฟื้นจากสภาพจิตใจที่หดหู่และสับสนในบัดดล

เขาอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้า และรู้สึกถึงความกลัวที่ยังคงอยู่ในใจ เขาตระหนักดีว่าปีศาจได้ก่อตัวขึ้นในใจของเขาโดยไม่รู้ตัว เป็นเพราะเขาหมกมุ่นอยู่กับเต๋าแห่งกระบี่มากเกินไป ทำให้จิตใจของเขาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนเกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก

หากเหล่าไป๋ไม่กล่าวความจริงที่ลึกซึ้ง และทำให้เขากลับมามีสติสัมปชัญญะ แม้แต่การบ่มเพาะของเขาก็คงจะสลายไป

“เป็นการประลองที่ดี” เฉินซีเหลือบมองชายหนุ่ม ก่อนที่จะโยนกิ่งไผ่ม่วงออกไปอย่างตั้งใจ

“ข้าแพ้แล้ว” ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่ใจ

แต่ถึงกระนั้น เหล่าไป๋ถือได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริงและมีความรอบรู้ที่ยอดเยี่ยม มันชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ผู้บ่มเพาะเหล่านั้นเผชิญด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ จากนั้นให้คำชี้แนะที่จี้ใจดำพวกเขา ทำให้ภาพลักษณ์ของมันในหัวใจของผู้บ่มเพาะเหล่านั้นค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

ถึงขนาดที่ผู้บ่มเพาะบางคนร้องไห้ด้วยความดีใจหลังจากที่พวกเขาได้รับคำชี้แนะ และพวกเขาเรียกเหล่าไป๋ว่าอาจารย์ จนบังเกิดเป็นเหตุการณ์ที่น่าประทับใจมาก

สรุปแล้ว บรรยากาศหลังจากนั้นดูเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้บ่มเพาะทุกคนดูคล้ายกับเป็นสาวกที่กำลังฟังคำสอนสูงสุด ทั้งหมดล้วนจ้องมองไปที่เหล่าไป๋ด้วยความเคารพและชื่นชม ซึ่งแทบจะคุกเข่าลงกับพื้นและกราบไหว้บูชาเสียด้วยซ้ำ

ในทางกลับกัน เหล่าไป๋กล่าวอย่างร่าเริงเหมือนผู้เยี่ยมยุทธ์ แต่เฉินซีสามารถแยกแยะได้ว่า เจ้าวิหคเฒ่าตัวนี้อาจจะอิ่มเอมในใจอย่างสุดขั้วแล้ว

“ท่านเทพธิดา เจ้านกตัวนั่นช่างพิเศษจริง ๆ” ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เทพธิดาและฮุ่ยฉงยืนอยู่ไกลจากป่าไผ่ม่วง ในขณะนี้ ฮุ่ยฉงอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่นางดูเหตุการณ์ที่เหล่าไป๋ให้คำชี้แนะแก่ผู้บ่มเพาะเหล่านั้น

“มันไม่ธรรมดาจริง ๆ ฮุ่ยฉง เจ้าเคยได้ยินว่ามีภูตในโลกนี้ที่ถือกำเนิดในความโกลาหล และมีความสามารถในการมองเห็นทุกสิ่งโดยกำเนิดหรือไม่? นอกจากนี้ ด้วยการบ่มเพาะเพียงเล็กน้อย กลับสามารถรู้ข้อมูลทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นอย่างดี มันครอบครองความรู้ทุกอย่างในโลก อีกทั้งยังมองเห็นแก่นแท้ของเคล็ดวิชาทั้งหมดในโลกได้ เรียกได้ว่าเป็นนายของทุกสรรพสิ่ง” เสียงของเทพธิดาแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง

ฮุ่ยฉงกล่าวด้วยความตกตะลึง “ท่านเทพธิดา ท่านคงไม่ได้หมายถึงเจ้านกตัวนั่นกระมัง?”

“ถึงจะไม่ใช่ แต่ก็ไม่ไกลเกินเกินเอื้อม” เทพธิดาไม่ได้ปฏิเสธมัน

ชั่วขณะหนึ่ง ฮุ่ยฉงอดไม่ได้ที่จะตะลึงลาน แล้วกล่าวพึมพำว่า “ในเมื่อมันน่าเกรงขามมาก แล้วทำไมมันถึงอยู่ที่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเท่านั้น?”

“มหาเต๋านั่นเอาส่วนเกินมาชดเชยข้อบกพร่อง ผู้ที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ท้าทายสวรรค์มากเกินไป จะต้องทุกข์ทรมานจากความอิจฉาของสวรรค์ในที่สุด” เทพธิดากล่าวเรียบ ๆ ก่อนจะหันหลังกลับและจากไป “กลับไปกับข้าเถอะ เจ้าหนูนั่นกำลังพยายามอย่างหนัก ดังนั้นเราควรเตรียมบางสิ่งไว้”

“เราจะกลั่นยาเม็ดแห่งโชคชะตาและวิชชาหรือไม่?” ฮุ่ยฉงรีบตามนางไป

“มันยังเร็วเกินไปสำหรับเรื่องนั้น”

หลังจากผ่านไปเจ็ดวันเต็ม

เฉินซีรู้สึกจนคำพูด เพราะเหล่าไป๋ส่งเสียงร้องหยุดหย่อนมาเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด จนทุกอย่างสิ้นสุดลง เหล่าไป๋ดูไม่พอใจและดูเหมือนจะสูญเสีย

“ในอดีตวิหคเฒ่าตัวนี้จะเหงาเพียงใด?”

“น่าเสียดาย เราได้วัตถุศักดิ์สิทธิ์เพียงยี่สิบชนิดและยังคงขาดอีกแปดสิบชนิด” จักรพรรดินีอวี้เชอนับและจัดเรียงสิ่งของที่เหล่าไป๋ได้ ‘ริบ’ มาตลอดเจ็ดวันนี้ และนางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

“แค่นี้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยที่สุด นอกเหนือจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้แล้ว เรายังรวบรวมสมบัติอื่น ๆ อีกมากมาย และทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จแล้ว นับว่าเป็นความสำเร็จที่ดีมาก” เฉินซียิ้มพลางกล่าว

จักรพรรดินีอวี้เชอพยักหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “แล้วเจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป”

ดูเหมือนเฉินซีจะครุ่นคิดแทน จากนั้นจึงกล่าวว่า “อวี้เชอ เจ้ายังจำเทศกาลหลินหลางเป่าได้หรือไม่”

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]