บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 174

บทที่ 174 ศิลาสำนึกกระบี่

บทที่ 174 ศิลาสำนึกกระบี่

เฉินซีนิ่งคิดนิดหนึ่ง จากนั้นจึงห่อกำปั้นให้กับชิงชิว “พี่รองชิงชิว หนุ่มน้อยผู้นี้ผ่านการทดสอบเจตจำนงมาแล้ว แต่กลับถูกคนที่ชื่อว่าหลิวเฉินเข้ามาแทน ซึ่งไม่เป็นการยุติธรรมเอาเสียเลย ท่านว่าไหมขอรับ”

“ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” ชิงชิวกล่าวตอบอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ข้าเองเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการไม่นาน จะมามัวปิดกั้นโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างไร เรื่องนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีก็ได้ ดีร้ายอย่างไรข้าไม่คุ้นเคยกับเหล่าผู้อาวุโสแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นการส่วนตัว ดังนั้นถ้าใครต้องการผ่านบททดสอบ พวกเขาจะต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาและหากคิดจะใช้ความสัมพันธ์ของพวกตนแล้วมาทำอะไรตามชอบที่นี่ละก็ ไม่มีทาง!”

เฉินซีตอบกลับพลางยิ้ม “บางทีประมุขหลิงคงจื่อส่งท่านมาที่นี่ก็เพื่อใช้โอกาสนี้แก้ไขเรื่องทุจริตในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นแน่ พี่รอง ท่านตัดสินเช่นนี้ข้าเห็นด้วยและคิดว่าพี่ใหญ่เป่ยเหิงก็เห็นด้วยเช่นกันขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอขอบใจล่วงหน้าเป็นอย่างมาก” ชิงชิวยิ้มกว้างพลางพยักหน้าอย่างพอใจ เฉินซีนั้นเป็นคนง่าย ๆ ตรงไปตรงมาจึงพูดคุยได้ไม่ยาก เนื่องจากชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนฉลาดจึงเข้าใจสิ่งต่าง ๆ อย่างง่ายดาย และรู้วิธีที่จะเป็นผู้ให้และรับความช่วยเหลือที่ดียิ่ง

“ขอบคุณผู้อาวุโสเฉินซี จูซวิ่นจะไม่ลืมความเมตตาในครั้งนี้ของผู้อาวุโสไปตลอดชีวิต” เมื่อชายหนุ่มที่มาจากตระกูลนักล่าได้มาเห็นว่าเฉินซีช่วยให้เขาผ่านปัญหาที่ตนกำลังเผชิญด้วยคำพูดไม่กี่คำ สีหน้าคล้ำเครียดของเขาก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นยินดีอย่างชัดเจน พร้อมกันนั้นเจ้าตัวถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“ลุกขึ้นเถิด เจ้าสมควรที่จะได้รับสิ่งนี้ ตัวข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย หนทางข้างหน้าเป็นสิ่งที่เจ้าต้องเดินไปด้วยตัวเอง เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มพยักหน้าและขยับยกมือขึ้นเล็กน้อย พลังไร้รูปร่างพลันยกร่างของจูซวิ่นให้ลุกขึ้นจากพื้น

“ตั้งแต่ที่ข้าได้รับอนุญาตให้บ่มเพาะ ข้าก็มีความอดทนต่อความยากลำบากได้มากกว่าคนอื่นและรับรองว่าจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสผิดหวังอย่างแน่นอน” จูซวิ่นเม้มปากแน่นพลางผงกศีรษะทันที

ชายหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มหากมิได้กล่าวอะไรอีก หลังจากอำลาชิงชิวเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงพามู่เหยาและมู่เหวินเฟยสองพี่น้องไปที่ศิลาสำนึกกระบี่เพื่อให้พวกเขาเข้าสู่บททดสอบทักษะความเข้าใจ

ศิลาสำนึกกระบี่คือกำแพงที่สร้างจากหินมันวาวกินอาณาบริเวณกว่าสิบจั้ง สูงขึ้นไปมีเครื่องหมายรูปกระบี่ไขว้กันทั้งแนวนอนและแนวตั้งหลายหลากมากมายนับไม่ถ้วน เครื่องหมายเหล่านี้เกิดจากผู้บ่มเพาะ เซียนกระบี่ที่มีความมหัศจรรย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรหลายคนทิ้งไว้เป็นเวลานานกว่าสองถึงสามหมื่นปี และเครื่องหมายทุกชิ้นแสดงออกถึงความลึกล้ำของเต๋าแห่งกระบี่ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เครื่องหมายพวกนี้ดูลึกล้ำและทรงพลังมากเป็นพิเศษ

นับหมื่นปีที่ผ่านมามีศิษย์มากมายที่สามารถบรรลุความสำเร็จรู้แจ้งในเต๋าแห่งกระบี่สูงสุดได้อย่างรวดเร็วที่บริเวณศิลาสำนึกกระบี่แห่งนี้

แต่พื้นที่ศิลาสำนึกกระบี่เป็นเขตหวงห้ามของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร จะมีก็เพียงศิษย์ชั้นยอดของนิกายเท่านั้นที่สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสรเสรี เพื่อฝึกความเข้าในการรู้แจ้งเห็นจริง ส่วนศิษย์สายในและศิษย์สายนอก หากไม่ได้เข้าใจในการรู้แจ้งแห่งกระบี่แล้วละก็ อย่าหวังว่าจะมีใครได้เห็นศิลาสำนึกกระบี่แห่งนี้

ด้วยที่สุดแล้วพวกเขายังเป็นแค่คนที่มีพลังอ่อนด้อย เข้าใจเต๋าแห่งกระบี่แค่ผิวเผิน หากยังดันทุรังฝึกเพื่อเข้าใจเต๋าแห่งกระบี่ของศิลาสำนึกกระบี่อย่างหักโหมจนเกินไป อาจส่งผลให้ได้รับผลกระทบด้านมืดในตัวเองจนอาจเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรงและนำไปสู่สภาวะปราณหักเห เมื่อนั้นพวกเขาจะพบจุดจบที่น่าสลดใจ

บททดสอบความเข้าใจของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั้นจะทดสอบกันที่หน้าศิลาสำนึกกระบี่ ใครก็ตามที่สามารถขยับกระบี่ที่ประจุด้วยเต๋าแห่งกระบี่ที่ลึกล้ำบนศิลาดังกล่าวได้แล้ว จะถือว่าคนผู้นั้นผ่านบททดสอบ

อันที่จริงก็ไม่ต่างกับการลอกภาพเขียน ยิ่งเคลื่อนกระบี่ได้มากเท่าไรก็ยิ่งพิสูจน์ถึงความสามารถในความเข้าใจที่สูงมากเท่านั้น

แต่แน่นอนว่าอันตรายย่อมมากตาม หากกล่าวตามจริง ความเข้าใจของการขยับเคลื่อนจากเต๋าแห่งกระบี่ที่ลึกล้ำของคนธรรมดานั้นไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญเท่าไร แต่แตกต่างกันก็ตรงความเข้าใจที่ต่างกันของการขยับเคลื่อนกระบี่จากเต๋าแห่งกระบี่ที่หลากหลายนั้นต่างหากที่ยากยิ่ง ท้ายที่สุดเต๋าแห่งกระบี่ลึกล้ำเหล่านี้ก็ได้ถูกผู้บ่มเพาะและเซียนกระบี่ละทิ้งไว้ แม้แต่เต๋าแห่งกระบี่แต่ละชนิดก็ต่างกัน การพยายามทำความเข้าใจการขยับเคลื่อนกระบี่แค่สองสามชิ้นในระยะไม่นาน สามารถทำให้ปราณภายในของคนบางคนถึงกับปั่นป่วน ภาวะจิตพังทลายและต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาวะปราณหักเหด้วย

ด้วยพื้นที่บริเวณศิลาสำนึกกระบี่เป็นเขตหวงห้ามของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร จึงมีแต่ชายหนุ่มและหญิงสาวเท่านั้นที่มาเข้าร่วมในบททดสอบความเข้าใจ ส่วนคนในตระกูลและองครักษ์จะไม่ได้รับอนุญาตให้เฉียดเข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว

บรรดาผู้อาวุโสและองครักษ์ของศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีพลังบ่มเพาะที่ลึกล้ำ แน่นอนว่าในกลุ่มคนเหล่านี้เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องมีคนที่มีความสามารถในความเข้าใจสูงเป็นพิเศษ หากคนพวกนี้ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรและเกิดการเข้าใจเต๋าแห่งกระบี่สูงสุดที่ลึกล้ำบนศิลาสำนึกกระบี่เข้าจะเกิดอะไรขึ้น

แม้แต่เฉินซีเองก็อยากจะรู้เรื่องศิลาสำนึกกระบี่เช่นกัน ทว่าเพื่อมิให้เกิดข้อครหา ชายหนุ่มจึงปฏิเสธที่จะเข้าไปข้างในและปลอบใจมู่เหยากับมู่เหวินเฟยว่าอย่าได้กังวล ขอเพียงทั้งสองเข้าไปในนั้นเท่านั้น

ตำแหน่งที่ตั้งของศิลาสำนึกกระบี่อยู่บริเวณข้างภูเขา โดยมีกลุ่มผู้อาวุโสจำนวนมากคอยอารักขาสถานที่ ภายในมีค่ายกลใหญ่ที่ไม่ระบุจำนวน ซึ่งมีการป้องกันอย่างแข็งแกร่ง ศิษย์รุ่นเยาว์ที่ได้รับตราคำสั่งและผ่านการตรวจสอบจากผู้อาวุโสแล้วเท่านั้นจึงสามารถเข้าไปได้

ในขณะนี้แถวในลานเชิงเขา มีผู้อาวุโสและองครักษ์มากกว่าสองถึงสามพันคนมารวมตัว พวกเขาต่างพากันเงยหน้ามองขึ้นไปบนนั้น

ขณะที่เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ชายหนุ่มพลันหยุดชะงักพลางเขม้นมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาสังเกตเห็นตงฟางและหวังหว่านก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เขานึกในใจกับตัวเองว่าดูเหมือนพี่น้องหญิงชายคู่นั้นจะไม่ใช่คนอ่อนด้อยเชิงทักษะและความสามารถเป็นแน่ ในที่สุดพวกเขาก็ผ่านบททดสอบเจตจำนงแล้วจริง ๆ…

เวลานั้นตงฟางและหวังหว่านก็สังเกตเห็นเฉินซีด้วยเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็พากันรีบมุ่งตรงมาทางชายหนุ่ม หลังจากค้อมกายแสดงการคารวะทักทายแล้ว เฉินซีสั่นศีรษะพลางนึกกับตัวเอง น่าขันที่พวกเขาเผลอเรียกข้าว่าบรรพจารย์อาต่อหน้าคนตั้งมากมาย ราวกับข้าเป็นชอบทำหน้าใหญ่ใจโตอย่างนั้นล่ะ

“ผลบททดสอบของพวกเจ้าสองพี่น้องเป็นอย่างไรกันบ้าง” เฉินซีถามพลางยิ้มน้อย ๆ

“ไม่เลวขอรับ โดยทั่วไปสองพี่น้องเป็นคนมีความสามารถพอตัว อาจซุกซนและยโสบ้าง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อวาน บางทีเขาอาจจะรู้จักยับยั้งชั่งใจได้บ้าง และสามารถอุทิศตนทุ่มเทให้กับการฝึกบ่มเพาะเต๋าได้ขอรับ” ตงฟางเป็นคนตอบด้วยท่าทางนอบน้อม

“น้องของข้าก็เหมือนกันเจ้าค่ะ นางเป็นคนหยิ่งยโส อวดดี ชอบดูถูกทุกคน เมื่อวานนี้คงให้บทเรียนที่ดีกับนางบ้าง มิฉะนั้นเวลาที่นางออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์และขัดเกลาฝีมือ อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกฆ่าเพราะอะไร” หวังหว่านกล่าวทีท่าสงบเสงี่ยมเช่นกัน

เฉินซียิ้มและพูดเสียงเร็วว่า “พรุ่งนี้ข้าจะลงจากยอดเขาใจสัจธรรมเพื่อออกไปหาประสบการณ์และขัดเกลาฝีมือ คงใช้เวลาไม่น้อยกว่าห้าปี พวกเจ้าทุกคนฝึกบ่มเพาะพลังอยู่บนยอดเขาใจสัจธรรมให้สบายเถิด บรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงจะคอยดูแลพวกเจ้าเอง แต่อย่าได้สร้างปัญหาแก่เขา เมื่อใดที่ว่างจากการฝึก ก็จงไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสเสวียนจิงและผู้อาวุโสชิงชิวบ่อย ๆ เพราะทั้งสองเป็นมิตรกับข้า และสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าทุกคนได้อย่างแน่นอน”

ตงฟางและหวังหว่านชะงักนิ่งงัน ท่าทางอึกอักที่จะพูด

“อย่าได้ถามให้มากความ ยอดเขาใจสัจธรรมเป็นสถานที่ที่ข้าฝึกบ่มเพาะพลังอย่างหนักมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลังจากเสร็จธุระแล้ว ข้าจะรีบกลับมาแน่นอน ยกเว้นเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าทั้งหมดไม่กลายเป็นคนโดดเดี่ยวและไร้ประโยชน์ ไม่มีใครต้องการหรอกหรือ” เฉินซีพูดยิ้ม ๆ

คำพูดนั้นส่งให้ความรู้สึกอบอุ่นพุ่งวาบขึ้นในหัวใจของตงฟางและหวังหว่านทันที ว่าที่จริงแล้วพวกเขาไม่อยากให้เฉินซีจากไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]