เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1773

บทที่ 1773 พลังเอกภพ

………………..

บทที่ 1773 พลังเอกภพ

ทันทีที่เทพธิดากล่าวจบ เฉินซีก็สับสนเล็กน้อย “ยิ่งแดนเทพโบราณมีผู้บ่มเพาะมากขึ้นเท่าใด ภัยพิบัติก็เพิ่มขึ้นเช่นกันหรือ?”

“นี่หมายความว่ากระไร?”

ดูเหมือนนางจะมองเห็นความสับสนในใจของเฉินซี จึงกล่าวว่า “เจ้าคงทราบดีว่า การบ่มเพาะนั่นต้องใช้ทรัพยากรมากมาย เช่น โอสถทิพย์ สมบัติศักดิ์สิทธิ์ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่พำนัก และสมบัติอันล้ำค่า ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับผู้บ่มเพาะ”

“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การเพิ่มขึ้นของผู้บ่มเพาะจะแสดงถึงการขาดแคลนทรัพยากรที่ผู้บ่มเพาะอาจนำไปใช้ ก็เหมือนกับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด ดังนั้นเมื่อจำนวนผู้อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น พื้นที่ที่พวกเขาสามารถอยู่ได้ก็จะลดลง ในท้ายที่สุด มันก็จะถึงขั้นที่ไม่มีที่อยู่อาศัยให้พวกเขาอีกต่อไป”

เฉินซีเลิกคิ้วและกล่าวว่า “แดนเทพโบราณมีเอกภพมากกว่าพันแห่ง จักรวาลและห้วงมิติก็มีนับไม่ถ้วน ไหนจะดวงดาวที่มีมากมายเกินคณานับ คงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้ไปพักใหญ่หรอกหรือ?”

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้ทราบทุกอย่างเกี่ยวกับแดนเทพโบราณอย่างชัดเจน”

นางกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เมื่อนานมาแล้ว แดนเทพโบราณทั้งหมดมีเพียงดินแดนเดียวเท่านั้น นั่นคือดินแดนจักรพรรดิ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้บ่มเพาะในเอกภพจักรวรรดิก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันไม่สามารถรองรับผู้บ่มเพาะจำนวนมากได้ ดังนั้นมหาอำนาจบางกลุ่มจึงเริ่มขยายตัว และเพื่อประโยชน์ในการยึดทรัพยากรการบ่มเพาะมากขึ้น”

ขณะนี้เฉินซีตกตะลึง “แดนเทพโบราณในอดีตนั้น แท้จริงแล้วกลับมีเพียงเอกภพจักรวรรดิเท่านั้นหรือ?”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้ยินว่าเอกภพกว่าพันแห่งนั้น อันที่จริงได้รับการบุกเบิกผ่านกาลเวลานับไม่ถ้วน และเป็นเพียงเพื่อให้ได้รับทรัพยากรการบ่มเพาะที่เพียงพอเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ในที่สุด เฉินซีก็เข้าใจว่าทำไมนางถึงบอกว่าจำนวนผู้บ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นแสดงถึงภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้น

เนื่องจากการบุกเบิกเอกภพใหม่ ย่อมแสดงถึงการขยายตัว และการขยายตัว… ย่อมมาพร้อมกับการต่อสู้ สงคราม และการนองเลือดอย่างแน่นอน!

สิ่งที่นางกล่าวต่อไปนี้ เป็นการยืนยันการคาดการณ์ของเฉินซี

นางถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ในบันทึกประวัติศาสตร์ ผู้บ่มเพาะจำนวนนับไม่ถ้วนเสียชีวิตจากการต่อสู้ การปล้นสะดม และการฆ่าฟันทุกครั้งที่มีการบุกเบิกเอกภพใหม่”

“เพื่อรักษาพลังอำนาจของตนไว้ พวกเขาฆ่าฟันและปล้นสะดมจากผู้อ่อนแอ ซึ่งเพื่อประโยชน์ในการบ่มเพาะ ผู้อ่อนแออาจตายเนื่องจากการต่อต้านพวกเขา หรือยอมจำนนและกลับกลายเป็นทาส

“สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ เป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างเอกภพใหม่ในตอนนี้”

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง พลันกล่าวว่า “มันแสดงให้เห็นว่าทรัพยากรการบ่มเพาะจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ผิดกับที่เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้บ่มเพาะก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ….”

ก่อนที่เฉินซีจะกล่าวจบ นางก็ขัดจังหวะเขาและกล่าวว่า “ถูกต้อง ในเวลานั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองและรับประกันว่าอำนาจของตนจะคงอยู่ต่อไป กองกำลังชั้นนำเหล่านั้นจะรุกรานกองกำลังที่อ่อนแอกว่า จากนั้นจะรวบรวมทรัพยากรผ่านฆ่าฟันและผนวกกองกำลังเล็ก ๆ ทั้งหลาย”

“สิ่งสำคัญที่สุด หากสถานการณ์ดังกล่าวดำเนินต่อไปอย่างไม่มีสิ้นสุด ผู้ที่แข็งแกร่งก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในขณะที่ผู้อ่อนแอจะกลายเป็นแกะที่รอถูกเชือดเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงการบ่มเพาะ แม้แต่การมีชีวิตรอดก็ยังเป็นความหวังที่เลื่อนลอย”

เฉินซีตกตะลึง และขมวดคิ้วขณะที่กล่าวว่า “ต่อให้พวกเขามีทรัพยากรการบ่มเพาะเพียงพอ ก็อาจมีบางส่วนที่ไม่สามารถแข็งแกร่งได้ เช่น… เส้าเฮ่าอวี่ของตระกูลเส้าเฮ่า”

ใช่แล้ว ในความเห็นของเฉินซี คนผู้นี้มาจากตระกูลเส้าเฮ่า ตระกูลซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลนิรันดร์ และเขามีทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะจนผู้อื่นไม่สามารถจินตนาการถึงได้ อย่างไรก็ตาม เขาใช้เวลานานกว่าสามหมื่นหกพันปี แต่ก็ยังติดอยู่ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล

บางทีเส้าเฮ่าอวี่อาจเป็นคนพิเศษสำหรับคนอื่น แต่ในสายตาของเฉินซี เส้าเฮ่าอวี่นั้นไม่มีค่าใด ๆ

“นั่นเป็นปัญหาของพรสวรรค์โดยกำเนิด แต่ก็หาได้ยาก และไม่อาจเป็นตัวแทนของสถานการณ์โดยรวมของแดนเทพโบราณทั้งหมดได้ และไม่สามารถส่งผลกระทบต่อกระแสที่ถาโถมไปทั่วแดนเทพโบราณในขณะนี้ได้”

เทพธิดากล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หากเปรียบเทียบแล้ว มีคนจำนวนมากในบรรดาผู้บ่มเพาะที่ไม่มีภูมิหลังและการสนับสนุนใด ๆ ที่จะชดเชยข้อบกพร่องในการบ่มเพาะของพวกเขา และพวกเขาก็ด้อยกว่าคนที่เกิดมาในภูมิหลังที่ไม่ธรรมดามากเกินไป เมื่อเปรียบเทียบในแง่ของสภาพความเป็นอยู่ที่พวกเขาเกิดมา

“เจ้าขึ้นแดนเทพโบราณจากสามภพ ดังนั้นเจ้าควรทราบดีว่า หากเจ้าไม่สามารถเข้าสู่เอกภพมสิหิมได้สำเร็จ เจ้าคงถูกจับตัวและตกเป็นทาสเทพ จากนั้นจะถูกส่งไปยังเอกภพที่ไม่รู้จัก เพื่อขุดแร่และทรัพยากรสำหรับมหาอำนาจเหล่านั้น”

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถือว่าเจ้าโชคดีมาก และผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่มีโชคเช่นนั้น”

เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ นางก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างและกล่าวอย่างลับ ๆ ว่า “ไม่ต้องกล่าวถึงว่าถึงแม้จะอยู่ในหมู่ศิษย์ของมหาอำนาจเก่าแก่เหล่านั้น แต่ก็มีบางคนที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ด้อยกว่า หรือเลือกเส้นทางการบ่มเพาะผิดไป ทว่าพวกเขาสามารถใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อท้าทายสวรรค์ และเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้”

เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ท้าทายสวรรค์และเปลี่ยนชะตากรรมของพวกเขารึ?”

นางกล่าวว่า “เจ้าควรจะทราบเรื่องนี้ การมุ่งหน้าสู่สามภพเพื่อ ‘กลับชาติมาเกิดและเริ่มบ่มเพาะอีกครั้ง’ เป็นหนึ่งในวิธีที่จะท้าทายสวรรค์ และเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนคนหนึ่ง”

เฉินซีตะลึงเป็นอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าเทพธิดาองค์นี้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาอาจรู้อะไรบางอย่าง

ใช่ เมื่อเขาได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ ปฏิกิริยาแรกที่เฉินซีนึกถึง ก็คือบิดาของเขาเอง เฉินหลิงจวิน!

นานมาแล้ว เมื่อเขามองไปที่แผ่นหยกที่เฉินหลิงจวินทิ้งไว้ในคุกเนตรเซียน เฉินซีก็ตระหนักรู้ว่าบิดาของเขาไม่ได้มาจากสามภพ

ในระหว่างการกลับชาติมาเกิดครั้งแรก เขาได้กลายเป็นศิษย์น้องของปรมาจารย์นิกายอำนาจเทวะ ไท่หลิง

ในระหว่างการกลับชาติมาเกิดครั้งที่สาม เขาเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า อวิ๋นฝูเซิง

เฉินซีไม่สามารถเข้าใจได้

เขาเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า ถ้าเอ่ยปากถาม ตนก็คงไม่ได้รับคำตอบอย่างแน่นอน

ในท้ายที่สุด เฉินซีก็ถอนหายใจในใจและหยุดคิดถึงเรื่องนี้

“จริง ๆ แล้ว การค้นหาเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเจ้าในตอนนี้” ทันใดนั้นนางก็วางถ้วยชาในมือลง แล้วกล่าวว่า “ปัจจุบัน แดนเทพโบราณยังห่างไกลจากการที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างน้อยที่สุดตามความเข้าใจของข้า ยังคงมีสถานที่แห่งหนึ่งในแดนเทพโบราณที่สามารถบุกเบิกเอกภพใหม่ได้”

“สถานที่นั้นเรียกว่าแดนรวนเรลืมเลือน หากเจ้ากำลังทะลวงเข้าสู่ขอบเขตมหาราชเทวาในอนาคต เจ้าจะต้องเดินทางไปที่นั่น มันยังเกี่ยวข้องกับว่าเจ้าจะสามารถบรรลุสู่ขอบเขตมหาเทพเต๋า และก้าวไปสู่จุดสิ้นสุดของมหาวิถีได้หรือไม่”

เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าอยู่ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลางแล้ว ข้าจะกล้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร”

อย่างไรก็ตาม เทพธิดามีท่าทางที่เคร่งขรึม ในขณะที่นางกล่าวว่า “เจ้าหนู เจ้ารู้ไหมว่าทำไมจักรพรรดิบางคนจึงสามารถเป็นจ้าวเอกภพได้ ในขณะที่บางคนไม่ได้เป็นเช่นนั้น”

เฉินซีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “หรือไม่ใช่เพราะพลังของพวกเขาแตกต่างกัน?”

“สิ่งที่เจ้ากล่าวก็ถูกต้องเช่นกัน แต่มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้”

นางกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เพื่อที่จะเป็นจ้าวเอกภพ เราต้องกลายเป็นจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ใครคนหนึ่งกลายเป็นจักรพรรดิ ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิทุกคนจะมีศักยภาพที่จะเป็นจ้าวเอกภพได้”

“ศักยภาพ?” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจ

“มันเรียกอีกอย่างว่าพลังเอกภพ จ้าวเอกภพทุกคนจะควบคุมเอกภพ เมื่อบ่มเพาะพลังแก่นแท้สสารของทั้งเอกภพจะถูกฉายภายในหัวใจของพวกเขา และสามารถให้ประโยชน์อย่างล้นหลามแก่การบ่มเพาะของคนคนหนึ่ง” นางกล่าวช้า ๆ “ในทางกลับกัน จักรพรรดิธรรมดาไม่มีโอกาสเช่นนั้น และนั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจพลังเอกภพ ก่อนที่พวกเขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตมหาราชเทวา”

ในขณะนี้ สีหน้าของเฉินซีแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในที่สุด เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องใส่ใจเมื่อจะบรรลุสู่ขอบเขตมหาราชเทวา

“แล้ว… เราจะได้พลังเอกภพมาได้อย่างไร?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้

“มีสองวิธี ประการแรกคือการแย่งชิงพลังเอกภพที่ครอบครองโดยจ้าวเอกภพเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากมากที่จะประสบความสำเร็จด้วยวิธีนี้ หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่าความหวังนั้นแทบริบหรี่”

“ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าเจ้าจะสามารถยึดพลังเอกภพของจ้าวเอกภพได้สำเร็จ แต่ผลกระทบที่ลึกล้ำของมันก็จะลดทอนไปอย่างมาก” นางกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “วิธีที่สองคือการบุกเบิกเอกภพใหม่ด้วยตัวเอง!”

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]