เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1947

บทที่ 1947 เหยียดหยาม

………………..

บทที่ 1947 เหยียดหยาม

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จ้าวชิงเหยา ก็ก้าวไปข้างหน้า

“แม่นางจ้าว ระวังตัวด้วย!” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก และกำชับเสียงเข้ม เขารู้ดีว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่อาจแก้ไขได้แล้ว และการต่อสู้เป็นทางออกเดียวเท่านั้น

“แม่นางจ้าว เจ้าต้องฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นให้ได้!” คงโหยวหรานและคนอื่น ๆ กล่าวติดต่อกันจากด้านข้าง พวกเขาหวังอย่างยิ่งว่าจ้าวชิงเหยาจะชนะ และทำลายล้างพวกนอกรีตจากยุคก่อนได้

เพราะพวกเขารังเกียจพวกนอกรีตเหล่านี้ ที่ปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเหยื่อที่สามารถหยิบเลือกและสังหารอย่างไรก็ได้ พวกเขารู้สึกว่ามันไม่น่าให้อภัย

จ้าวชิงเหยาเป็นศิษย์จากนิกายโบราณอย่างวังวิหคอมตะ นางฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นสูงสุดของวิหคอมตะ ยามนี้เมื่อนางขึ้นสู่ตำแหน่งจ้าวเอกภพ พลังยุทธ์ในอดีตย่อมเทียบปัจจุบันไม่ติด

อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่อาจขจัดความกังวลในใจไปได้

นี่ไม่ใช่การประลองในการถกวิถีเต๋า แต่เป็นการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย หากนางพ่ายแพ้ นั่นย่อมหมายถึงความตาย มันจึงช่างโหดเหี้ยมและอำมหิตอย่างยิ่ง

เมื่อประกอบกับความจริงที่ว่า คู่ต่อสู้ของนางคือจ้าววิญญาณที่รอดชีวิตจากยุคก่อน จึงเห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ของคู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก

หากลองคิดดูแล้ว ยุคก่อนได้ถูกทำลายล้างไปแล้ว แต่พวกนอกรีตเหล่านี้กลับสามารถอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันได้ เรื่องนี้จึงน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถประมาทได้เลย

ในขณะนี้ ท่าทางของจ้าวชิงเหยากลับสงบยิ่ง ฝีเท้าของนางสงบ รูปร่างเพรียงบางดุจต้นหลิว เรือนผมสีดำสนิทปลิวไสวไปตามสายลม

ยิ่งไปกว่านั้น เปลวไฟแห่งเจตจำนงศึกก็ลุกโชนอยู่ในดวงตาของนาง!

“เอ๊ะ กฎเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของหญิงสาวคนนี้ลุกโชติช่วงดุจเปลวไฟ และมีกลิ่นอายอันเปี่ยมล้นของวิหคอมตะที่แท้จริง ถ้าข้าสามารถแย่งชิงชะตาชีวิตของนางได้ ข้าก็จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง!”

ทันใดนั้น หนึ่งในร่างเสื้อคลุมดำก็สังเกตเห็นบางอย่าง และก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงกระหายเลือด

คล้ายอยากประชันกับอิงหลง เพื่อที่เขาจะได้กลายเป็นคู่ต่อสู้ของจ้าวชิงเหยาเอง!

“อิงหลวน! นั่นคือเหยื่อของข้า!” ดวงตาอสรพิษสีแดงเลือดของอิงหลงเรืองประกายอำมหิต น้ำเสียงเต็มไปด้วยการคุกคามเหลือแสน

“มีเหยื่อเพียงเจ็ดตัว ในขณะที่พวกเรามีสิบหกคน แล้วจะแบ่งพวกมันกันอย่างไร? ข้าไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่!” ร่างเสื้อคลุมดำที่ถูกเรียกว่าอิงหลวนย้ำคำเสียงเข้ม ไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยแม้แต่น้อย

“อิงหลวน กลับมานี่!”

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ อาลูเย่ขมวดคิ้ว สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเฉยเมย

“ท่านอาลูเย่ ท่านคงรู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นกฎเต๋าศักดิ์สิทธิ์ จิตวิญญาณ พลังงาน และแก่นแท้ของสตรีคนนี้ หรือแม้แต่เคล็ดวิชาที่นางฝึกฝนนั้นเหมาะสมกับข้าที่สุด”

อิงหลวนไม่เต็มใจที่จะยอมรับสิ่งนี้ และเริ่มโต้แย้ง “ถ้าเป็นข้า ข้าจะแย่งชิงและหลอมรวมเข้ากับทุกสิ่งที่นางครอบครองได้อย่างสมบูรณ์!”

เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็ตกตะลึง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าการแย่งชิงชะตาชีวิตที่พวกนอกรีตเหล่านี้กล่าวถึงนั้น มันไม่ใช่แค่การฆ่าพวกเขาแน่นอน

เป้าหมายของพวกมัน คือการแย่งชิงกฎเต๋าศักดิ์สิทธิ์ จิตวิญญาณ แก่นแท้ พลังงาน และแม้แต่เคล็ดวิชาที่พวกเขาฝึกฝนมา!

“หุบปาก! เจ้ากำลังตั้งคำถามกับการตัดสินใจของข้าอย่างนั้นหรือ!?” อิงหลวนได้เปิดเผยข้อมูลมากมายโดยไม่รู้ตัว ทำให้ใบหน้าของอาลูเย่หมองคล้ำทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยกลิ่นอายคุกคามอย่างแรงกล้า

“เปล่านะ!” อิงหลวนตัวแข็งทื่อ ร่างกายหลั่งเหงื่อเยียบเย็นออกมา เนื่องจากจ้าววิญญาณนั่นยึดมั่นในศักดิ์ฐานะอย่างเคร่งครัด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าล่วงเกินอาลูเย่

ร่างที่สวมชุดคลุมดำคนอื่น ๆ ต่างนิ่งเงียบและกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

ครืน!

ด้วยการโบกแขนเสื้อ จู่ ๆ แท่นสังเวยสีดำก็ปรากฏจากทั้งสองด้านของเส้นเขตแดนตรงระหว่างบริเวณสีดำและสีขาว

แท่นสังเวยสีดำนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด มีรอยกระดำกระด่าง และดูเก่าแก่โบราณ ทันทีที่มันปรากฏ ก็แผ่กลิ่นอายฆ่าฟันและกลิ่นคาวเลือดที่ทิ่มแทงใบหน้า ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถได้ยินเสียงกลองที่ดังลั่นกึกก้อง และเสียงโลหะที่ปะทะกันเบา ๆ

แท่นสังเวยสีดำขยายตัวออกอย่างต่อเนื่อง และไม่กี่อึดใจ จากที่มันครอบคลุมพื้นที่สิบสองจั้ง ก็ขยายตัวจนครอบคลุมพื้นที่กว่าร้อยห้าสิบลี้!

เมื่อมองจากระยะไกล มันดูเหมือนกับสนามรบโบราณอย่างแท้จริง

มันเป็นสนามรบจริง ๆ ครึ่งหนึ่งอยู่ในบริเวณที่ขาวดุจทิวากาล อีกครึ่งหนึ่งอยู่บริเวณที่มืดดุจราตรี พื้นสนามรบเต็มไปด้วยคราบเลือดและมีรอยกระดำกระด่าง เหมือนเศษซากจากการต่อสู้นองเลือด ซึ่งสะท้านไปทั่วปฐพี

“การต่อสู้จะดำเนินการบนแท่นสังเวยวิญญาณมนตรา ภายนอกจะไม่สามารถแทรกแซงการต่อสู้ที่จัดขึ้นบนแท่นสังเวยได้ รวมถึงข้าด้วย” อาลูเย่เอามือไพล่หลัง สีหน้าสงบสุขุม มิหนำซ้ำ รอยยิ้มที่มั่นใจประหนึ่งกุมชัย ยังคงประดับอยู่บนริมฝีปาก “ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนจึงสามารถต่อสู้ได้อย่างสบายใจ และจงต่อสู้ด้วยความสามารถทั้งหมดของเจ้า อย่าได้ออมพลังเล่า”

วาจาที่กล่าวอย่างอวดดีนี้ ทำให้เฉินซีและคนอื่น ๆ โกรธแค้นในใจ เพราะดูเหมือนอาลูเย่จะไม่เห็นพวกเขาในสายตา

ทันใดนั้น จู่ ๆ อาลูเย่ก็ตะโกนว่า “อิงหลง เจ้ายังไม่ขึ้นแท่นสังเวยอีกหรือ?”

ฟึ่บ!

เท่านั้น ผู้ผิดบาปที่มีหัวเป็นอสรพิษ ทั้งยังมีกลิ่นอายเย็นชากระหายเลือดก็พุ่งทะยานไปยังแท่นสังเวยวิญญาณมนตรา

“คนสวย รีบมาที่นี่เร็วเข้า ข้าแทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว” อิงหลงตวัดลิ้นสีแดงสดออกมา ในขณะที่เผยความปรารถนาอันวิปริต เขาจ้องมองที่จ้าวชิงเหยาราวกับกำลังจ้องมองไปที่อาหารอันโอชะ ดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ แม้แต่เฉินซีก็ไม่อาจระงับอารมณ์เอาไว้ได้ “ไอ้เดรัจฉานนั่น!”

“อย่าได้ใจร้อนไป ข้าเองก็ปรารถนาที่จะตัดหัวของเจ้า แล้วเอาไปดองสุราเช่นกัน!” จ้าวชิงเหยาเผยท่าทีเย็นชา พลางเดินขึ้นไปบนแท่นสังเวย อาภรณ์สะบัดพลิ้วไปตามสายลม ร่างกายแผ่จิตสังหารหนาแน่นจนดูจับต้องได้ ขณะยืนเผชิญหน้ากับอิงหลงจากระยะไกล

บรรยากาศเริ่มทวีความรุนแรงและตึงเครียดจนถึงขีดสุด

แม้พวกเขาจะมั่นใจในตัวจ้าวชิงเหยามาก แต่ก็อดเป็นกังวลไม่ได้

ทว่าอิงหลงไม่ได้ใช้โอกาสนี้เพื่อปิดฉากการโจมตี ตรงกันข้าม เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ “คนสวย พลังฝีมือของเจ้าต่ำชั้นเกินไป หากข้าไม่สงสารเจ้า ข้าก็คงฆ่าเจ้าภายในสามกระบวนท่าไปแล้ว”

น้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นถึงความหยามหยัน และความเหนือกว่า

ใบหน้าของจ้าวชิงเหยาซีดเซียว ความรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนผุดขึ้นในใจของนาง ทันใดนั้นนางก็กัดฟันแน่น แล้วเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง แล้วพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง

โครม!

สุญตาถูกทำลายล้าง พื้นที่โดยรอบกลายเป็นทะเลเพลิง นี่คืออานุภาพของวิหคอมตะที่แท้จริง ทั้งยังเป็นพลังที่รุนแรงอย่างยิ่ง จนถึงขั้นสามารถแผดเผาสวรรค์ หรือทำให้มหาสมุทรเดือดพล่านได้

“ยังไม่พอ อ่อนแอเกินไป!” อิงหลงส่ายหัวและดูค่อนข้างผิดหวัง ขณะที่กล่าว เขาก็ตวัดกรงเล็บออกไป เกิดพายุโลหิตถาโถมลงมาจากด้านบน น่าตกใจที่มันมีพลังกัดกร่อนสลายการโจมตีของจ้าวชิงเหยาจนสิ้น

ใบหน้าของจ้าวชิงเหยาหมองคล้ำ นางหอบหายใจ แล้วปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ และโจมตีเต็มกำลัง

นางตระหนักดีว่า เมื่อใดที่ตนพ่ายแพ้ นางจะไม่เพียงแค่สิ้นชีพเท่านั้น แต่อิงหลงจะแย่งชิงทุกอย่างที่นางครอบครองอีกด้วย!

ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่นางไม่เต็มใจอย่างยิ่ง

โครม!

การต่อสู้ดำเนินต่อไป และทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ

“คนสวย เพิ่มพลังเข้าไปอีกหน่อยสิ!”

“ฮ่า ฮ่า! เจ้าตั้งใจที่จะฆ่าข้าด้วยความสามารถแค่นี้หรือ? มันช่างน่าหัวร่อเสียจริง”

“น่าสงสาร น่าสงสารจริง ๆ! หรือว่าจ้าวเอกภพของแดนเทพโบราณทุกคนอ่อนแอเช่นนี้?”

เสียงของอิงหลงที่เต็มไปด้วยคำเหยียดหยามดังก้อง ทำให้ใบหน้าของจ้าวชิงเหยาเต็มไปด้วยความเดือดดาล ตอนนี้นางโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

แม้แต่พวกเฉินซีที่เฝ้าดูอยู่ภายนอกก็เดือดดาลไม่ต่างกัน ไอ้สารเลวนั่น! มันดูถูกนางและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีนางอย่างเห็นได้ชัด!

ในทางกลับกัน อาลูเย่และคนอื่น ๆ ดูไร้กังวล ราวกับว่าพวกมันไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้แม้แต่น้อย

“น่าเบื่อ! ช่างน่าเบื่อเสียจริง! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นเรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ!” ทันใดนั้น อิงหลงก็อ้าปากคำรามลั่น

โครม!

จ้าวชิงเหยาคล้ายถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาเต็มคำ เอกภพภายในร่างเกือบจะพังทลายในฉับพลัน

เสียงคำรามนี้เสียดโสตนัก มันเต็มไปด้วยพลังงานเย็นยะเยือกที่สามารถพรากวิญญาณออกไปได้ นี่คือความสามารถที่แท้จริงของอิงหลง และมันน่ากลัวอย่างแท้จริง

เสียงคำรามเพียงครั้งเดียวก็ทำให้วิญญาณของจ้าวชิงเหยาได้รับบาดเจ็บ เอกภพภายในร่างกายเกือบทลาย!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]