บทที่ 1958 ความลับแห่งยุคสมัย
………………..
บทที่ 1958 ความลับแห่งยุคสมัย
จ้าววิญญาณโบราณทั้งสิบห้าคนได้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ!
เมื่อได้เห็นการต่อสู้เหล่านี้ สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกชืดชาจากการตกใจมาพักหนึ่งแล้ว และถึงขั้นที่ไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป
เขาแข็งแกร่งเกินไป!
เฉินซีและกระบี่ของเขาได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจสั่นคลอนบนแท่นสังเวยวิญญาณมนตรา ซึ่งทำให้ทุกคนตกตะลึงจนแทบหายใจไม่ออก
ในอดีตคงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว เฉินซีเป็นเพียงจ้าวเอกภพ และในแง่ของการบ่มเพาะที่แท้จริงของเขาก็อยู่ที่ขอบเขตมหาราชเทวาหนึ่งดาราเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็นว่าเขาได้รับชัยชนะติดต่อกัน และล้มคู่ต่อสู้อย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งหมดจึงดูเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
หากข่าวนี้แพร่กระจายไปยังแดนเทพโบราณ คงไม่มีใครกล้าเชื่อเรื่องนี้
ทว่าคนนอกกลับเห็นเพียงความรุ่งโรจน์ของเฉินซีเท่านั้น และมีแต่ตัวเขาเองที่เข้าใจว่าต้องใช้ความพยายาม และต้องทนต่อความยากลำบากเพียงใด จึงจะครอบครองพลังเช่นนี้ได้
เบื้องหลังความรุ่งโรจน์ มักมีความเดียวดายและความเจ็บปวดแสนสาหัส!
ในทางกลับกัน หลังจากที่ได้เห็นทั้งหมดนี้แล้ว อาลูเย่กลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาดใจในขณะขณะนี้ เขาเป็นเหมือนคนนอกที่ไม่มีความกังวล ซึ่งไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความโกรธหรือความเคียดแค้น
ท่าทางดังกล่าวถือว่าผิดปกติอย่างมาก หรือบางทีอาลูเย่อาจคาดการณ์ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่แปลกใจเลย
แต่เฉินซีกลับไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้ หลังจากที่เขาเอาชนะว่านสุ่ยชิงที่ดูเหมือนเด็ก สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่อาลูเย่ สีหน้าสงบและไม่แยแส
บรรยากาศที่นี่เงียบสงบเล็กน้อยเมื่อไม่มีใครกล่าววาจา
สืออวี๋และคนอื่น ๆ มองไปที่เฉินซี จากนั้นมองไปที่อาลูเย่ที่ยืนอยู่ในระยะไกล พวกเขาก็รู้สึกกังวลอย่างอธิบายไม่ได้
เป็นเพราะพวกเขาทราบดีว่าตราบใดที่เอาชนะอาลูเย่ได้ เรื่องทั้งหมดนี้ก็จะจบลง แต่… อาลูเย่จะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?
ในฐานะผู้นำของจ้าววิญญาณโบราณเหล่านั้น ดูเหมือนอาลูเย่จะเก็บงำพลังอยู่เสมอ แม้ในขณะนี้ เขาก็ไม่เผยกลิ่นอายที่น่าตกตะลึงออกมา
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ มันก็ยิ่งน่าตกตะลึง และไม่อาจประมาทได้
หากใครพิจารณาอย่างรอบคอบ อาลูเย่ได้ต่อสู้กับเฉินซีมามากกว่าหนึ่งครั้ง ในขณะที่เขาใช้ตัวตนของ ‘หวังจง’ และการต่อสู้ทุกครั้งก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเขา
อย่างไรก็ตาม สืออวี๋และคนอื่น ๆ ทราบดี ว่าหวังจงเป็นเพียงหนึ่งในตัวตนของอาลูเย่ และเมื่อเขากลับไปยังแดนรวนเรลืมเลือน เขาก็ไม่ใช่หวังจงอีกต่อไป!
ไม่เพียงแต่อาลูเย่จะหลอมรวมกับร่างหลักเท่านั้น เขายังกลายเป็นผู้นำของจ้าววิญญาณโบราณด้วยซ้ำ แล้วบุคคลเช่นนี้จะธรรมดาได้อย่างไร?
ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้จะเหลือเพียงอาลูเย่ก็ตาม แต่สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าผ่อนคลาย ในทางกลับกัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลและรู้สึกกดดัน เมื่อรู้ว่าเฉินซีกำลังจะต่อสู้กับอาลูเย่
แม้แต่เจียหนานก็ไม่มีข้อยกเว้น
เจียหนานสังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับอาลูเย่ตั้งแต่การถกวิถีเต๋า จนกระทั่งพวกเขาเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน และได้พบกับอาลูเย่ในตอนนี้ เจียหนานยังคงรู้สึกว่าเขาไม่สามารถมองทะลุอาลูเย่ได้
แม้ว่าเขาจะใช้สุดยอดเคล็ดวิชาของนิกายพุทธ นั่นคือเนตรจิตใจ แต่เขาก็ไม่มองเห็นความสามารถที่แท้จริงของอาลูเย่ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เจียหนานระมัดระวัง และไม่กล้าประมาทเลย
“ก่อนที่การต่อสู้ครั้งนี้จะเริ่มขึ้น ข้าคิดอยู่เสมอว่าชะตาชีวิตของพวกเจ้าคนใดนั่นเหมาะสมกับข้าที่สุด บัดนี้ข้ามั่นใจว่าตราบใดที่ข้าฆ่าเจ้าได้ และแย่งชิงชะตาชีวิตของเจ้ามา บางที… ข้าอาจไม่ต้องรอจนถึงยุคถัดไป เพื่อย่างเข้าสู่จุดสิ้นสุดของมหาวิถี!”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง อาลูเย่ก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ พลางจ้องมองเฉินซีที่ยืนอยู่บนแท่นสังเวยในระยะไกลอย่างไม่แยแส คล้ายกำลังพูดคุยกับสหาย และไม่มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใด
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น “หรือเจ้าตั้งใจพล่ามเรื่องไร้สาระก่อนที่จะต่อสู้? ข้าไม่สนใจที่จะฟังเรื่องไร้สาระหรอกนะ”
ดูเหมือนอาลูเย่จะไม่สนใจ “หรือว่าเจ้าไม่อยากรู้ว่าทำไมข้าถึงมั่นใจว่าเจ้าจะสามารถเปิดประตูแห่งวันโลกาวินาศได้?”
เฉินซีรู้สึกตกตะลึงในใจแต่ไม่ได้ตอบคำ
ทว่าอาลูเย่กลับกล่าวต่อ “มันง่ายมาก เจ้ามีแผนภาพวารีหลาก ดังนั้นมันจึงแสดงให้เห็นว่าตัวตนของเจ้านั้นแตกต่างจากทุกคน!”
แผนภาพวารีหลาก?
สืออวี๋และคนอื่น ๆ ตกตะลึง พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเฉินซีนั่นครอบครองแผนภาพวารีหลาก และเป็นเพราะแผนภาพวารีที่ทำให้นิกายอำนาจเทวะตั้งตัวเป็นศัตรู ตามฆ่าล้างไม่จบสิ้น
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของอาลูเย่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าแผนภาพวารีหลากจะมีความลับอื่น ๆ อีก?
เจียหนานดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ และเผยอริมฝีปากเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะไม่มั่นใจ จึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน ภัยพิบัติแห่งยุคสมัยได้เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้ง ตามความรู้ของข้า มีอย่างน้อยแปดยุคสมัยที่ถูกทำลายล้างก่อนยุคนี้”
อาลูเย่เอามือไพล่หลังและไม่ได้กล่าวถึงแผนภาพวารีหลากอีก “เจ้าคงทราบดีว่าแต่ละยุคสมัยนั้นเป็นตัวแทนของอารยธรรมแห่งการบ่มเพาะ และวัฏจักรแห่งการกลับชาติมาเกิดที่ยาวนานอย่างหาที่เปรียบมิได้ เมื่อเผชิญกับวิถีแห่งธรรมชาติ ไม่ว่าการบ่มเพาะของเจ้าจะพิเศษแค่ไหน เจ้าจะถูกลบล้างไปพร้อมกับยุคสมัย หากเจ้าไม่มีวิธีการปกป้องตัวเอง”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เหตุใดทุกยุคสมัยจึงเคลื่อนไปสู่การทำลายล้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้? มันง่ายมาก เป็นเพราะไม่มีใครในยุคนี้ที่สามารถก้าวเข้าสู่จุดสิ้นสุดของมหาวิถีได้!”
จุดสิ้นสุดของมหาวิถีคืออะไร?
ไม่มีใครรู้
สำหรับสืออวี๋และคนอื่น ๆ พวกเขาล้วนตกตะลึงเมื่อได้ยินความลับนี้
ดูเหมือนว่าอาลูเย่จะอ่านความคิดของเฉินซีได้ และหัวเราะเบา ๆ “ข้าลืมบอกเจ้าไป มีผู้ช่วงชิงเก้าคนในแต่ละยุคสมัย เก้าเป็นจุดสิ้นสุดของตัวเลข และแสดงถึงขีดจำกัดของทุกสิ่ง ในแง่ของยุคทั้งหมด มันแสดงถึงการสิ้นสุดของยุค และเจ้า เฉินซี คือผู้ช่วงชิงคนที่เก้าของยุคนี้! หากประตูแห่งวันโลกาวินาศไม่เปิดโดยเจ้า ข้าเกรงว่าแม้แต่สวรรค์ก็ไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”
เฉินซีขมวดคิ้วและเงียบไป
สืออวี๋และคนอื่น ๆ รู้สึกประหลาดใจและสับสน พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมอาลูเย่ถึงกล่าวเรื่องทั้งหมดในตอนนี้
“แต่ที่น่าแปลกก็คือ กลิ่นอายที่ข้าสัมผัสได้จากเจ้านั่นแตกต่างจากผู้ช่วงชิงในอดีตอย่างสิ้นเชิง มันทำให้ชะตาชีวิตของเจ้าไม่สามารถระบุได้ และเจ้ายังครอบครองเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ช่วงชิงคนอื่น ๆ สามารถครอบครองได้” ในขณะนี้ แม้แต่อาลูเย่ก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาจะซ่อนคำถามนี้ไว้ในใจมาเป็นเวลานาน
“พูดจบหรือยัง?” เฉินซีกล่าวเสียงเย็น ราวกับว่าคำกล่าวเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกใด ๆ
“ข้ากล่าวเสร็จแล้ว” อาลูเย่หรี่ตาลงก่อนที่จะยิ้มในที่สุด “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อข้าฆ่าเจ้าและแย่งชิงชะตาชีวิตของเจ้าแล้ว ข้าจะครอบครองทุกสิ่งที่เจ้าครอบครอง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะกลายเป็นผู้ช่วงชิง ซึ่งจะสามารถเข้าไปในประตูแห่งวันโลกาวินาศและค้นหาความลับที่แท้จริงได้!”
ขณะที่เขากล่าวจบ แววตาก็ลุกโชนด้วยจิตสังหารอย่างไม่อาจปกปิดได้
“งั้นก็ขึ้นมาสู้!” เฉินซีมีสีหน้าไร้อารมณ์ พลางกล่าวคำเหล่านี้
“ไม่ เราต้องแลกเปลี่ยนกันก่อนจะสู้” อาลูเย่ส่ายหน้า
“แลกเปลี่ยนอะไร?” เฉินซีถาม
“ปล่อยผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเหล่านั้น แล้วข้าจะคืนสหายของเจ้าด้วยเช่นกัน” อาลูเย่ชี้ไปที่คงโหยวหรานและคนอื่น ๆ ที่ถูกคุมขังอยู่ด้านข้างอย่างสบาย ๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ตกลง!” เฉินซีคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบตกลง แม้ว่าเขาจะต้องใช้คนมากกว่าสิบคนเพื่อแลกกับคงโหยวหราน เย่เฉิน อวี้จิ่วหุย และจ้าวชิงเหยา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันคุ้มค่า
เท่าที่เฉินซีกังวล ชีวิตของคงโหยวหรานและคนอื่น ๆ มีคุณค่ามากกว่าพวกนอกรีตหลายพันเท่า!
นี่คือทัศนคติที่เฉินซีปฏิบัติต่อสหายของตน และมันไม่เคยแปรเปลี่ยนเลยสักครั้ง ตั้งแต่เขาเริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ ด้วยการกระทำเช่นนี้จึงทำให้เขามีมิตรแท้มากมาย!
ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นอาลูเย่หรือเฉินซี พวกเขาไม่ใช้กลอุบายใด ๆ ในระหว่างการแลกเปลี่ยน ในท้ายที่สุด เขาได้คงโหยวหรานและคนอื่น ๆ กลับมา แล้วเขาก็มอบให้กับพวกสืออวี๋คอยดูแล
ในทางกลับกัน อาลูเย่ก็นำจ้าววิญญาณโบราณเหล่านั้นกลับไปเช่นกัน
ดูเหมือนจะเป็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่สิ้นสุด!
เพราะนี่คือเขตแดนสัประยุทธ์จ้าววิญญาณ และพวกเขาไม่สามารถออกไปได้ จนกว่าพวกเขาจะตัดสินความเป็นตายระหว่างกัน!
ในทางกลับกัน ผลลัพธ์นี้จะถูกตัดสินโดยการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ มันจะถูกตัดสินโดยการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างเฉินซีและอาลูเย่!
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...