บทที่ 199 การรวมตัว
บทที่ 199 การรวมตัว
“เซียวหลิงเอ๋อร์ ในที่สุด เจ้าก็มาแล้ว” เมื่อเขาเห็นหญิงสาวในชุดคลุมสีแดงเพลิง ถันไถหงก็แย้มยิ้มด้วยความยินดี และส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปยังเฉินซีว่า “คนผู้นี้คือเซียวหลิงเอ๋อร์ ศิษย์สายหลักของนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้าจากที่ราบตอนกลาง และเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง นอกจากนี้การบ่มเพาะของนางก็ไม่ยากที่จะหยั่งถึง ตัวตนของนางก็อยู่ในระดับเช่นเดียวกับหลินโม่เซวียน”
“ข้าได้พบกับชิงซิ่วอี้ของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ และต้องการทดสอบฝีมือกับนาง แต่น่าเสียดายที่นางเอาแต่หลีกเลี่ยงและไม่ต้องการสู้กับข้า” เซียวหลิงเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงมองไปโดยรอบ เมื่อสังเกตเห็นเฉินซี นางก็ตกตะลึงเล็กน้อยแต่ก็ไมได้กล่าวอะไรออกมา
แต่เฉินซีสัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนี้มีแรงกดดันที่ทำให้เขายังต้องรู้สึกเกรงกลัว นอกจากนี้ รอบตัวนางก็มีกลิ่นอายจาง ๆ ที่มีพลังรุนแรงดั่งเปลวไฟ หนักแน่นเหมือนหม้อกลั่นยา ซึ่งสามารถระงับสรรพสิ่งในโลกได้ จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่านางน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
“อะไรนะ? เจ้าได้พบกับชิงซิ่วอี้ด้วยหรือ? นางก็มาห้วงทะเลทรายมรณะด้วยหรือนี่” หลินโม่เซวียนตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวอย่างร้อนรน “ผู้หญิงคนนั้นเป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิดและได้รับการชื่นชมจากผู้นำของนิกายต่าง ๆ เดิมทีข้าคิดว่านางได้ทะลวงไปสู่ขอบเขตจุติมาตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะระงับการบ่มเพาะของนางไว้เช่นกัน และกำลังรอการชุมนุมดาวรุ่งในอีกห้าปีข้างหน้า เพื่อทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะต้องประหลาดใจด้วยความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมในคราเดียว!”
“กล่าวถึงการระงับการบ่มเพาะ ศิษย์พี่หลินก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ท้ายที่สุด ยิ่งหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งภายในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางมากเท่าใด ก็จะยิ่งส่งเสริมต่อการทะลวงสู่ขอบเขตสถิตกายามากขึ้นเท่านั้น ส่วนขอบเขตจุตินั้น… ฮึ! มันก็แค่ทางผ่าน ด้วยความสามารถของข้า ตราบใดที่ข้ามีปราณหยินและปราณหยางเพียงพอ ข้าก็จะสามารถพิชิตอารมณ์ทั้งเจ็ดของขอบเขตจุติได้อย่างง่ายดาย” เซียวหลิงเอ๋อร์ชำเลืองมองหลินโม่เซวียนด้วยนัยน์ตาอันลึกล้ำ จากนั้นนางก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ใดได้บรรลุขอบเขตจุติแล้ว คนผู้นั้นย่อมไม่มีสิทธ์เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ซึ่งจะเท่ากับสูญเสียโอกาสในการเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล และไม่สามารถต่อสู้กับอัจฉริยะที่เก่งกล้าของราชวงศ์อื่น ๆ
หลินโม่เซวียนคำรามอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ศิษย์น้องเซียว เจ้าไม่ได้ระงับการบ่มเพาะของเจ้าเช่นกันหรือ”
เซียวหลิงเอ๋อร์ยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
พวกเขาระงับการบ่มเพาะหรือ??!
ปรากฏว่าผู้คนเหล่านี้มีคุณสมบัติที่จะทะลวงสู่ขอบเขตจุติมาตั้งนานแล้ว ตามที่เซียวหลิงเอ๋อร์กล่าวออกมา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมการและสะสมความแข็งแกร่งให้เพียงพอ เพื่อหลังจากที่พวกเขาทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจุติแล้ว จะสามารถทะลวงไปถึงขอบเขตสถิตกายาในครั้งเดียว!
เมื่อเฉินซีได้ยินสิ่งนี้ เขากลับรู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถเทียบกับพวกเขาได้หรือไม่ แต่หลังจากที่เขาได้ลองเปรียบเทียบดูแล้ว เฉินซีก็ตระหนักได้ว่า ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนย่อมมีคน’ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนก็ตาม ย่อมมีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเสมอ
ในขณะนี้ เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า การบ่มเพาะของเขาล่าช้าเป็นอย่างยิ่งและมันไม่เพียงพออีกต่อไป ทำให้เขาปรารถนาที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากได้เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งแล้ว คนเหล่านี้อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เขาต้องเผชิญ และถ้าเขาไม่รีบทุ่มเทบ่มเพาะอย่างหมั่นเพียร ก็อาจจะไม่มีวันได้เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬไปตลอดชีวิตของเขา…
ที่ด้านข้าง สีหน้าของถันไถหงกลับไม่น่าดูเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินเซียวหลิงเอ๋อร์กล่าวว่า ‘ส่วนขอบเขตจุตินั้น… ฮึ! มันก็แค่ทางผ่าน’ ใบหน้าของเขากลับยิ่งหดหู่ลง
เพราะก่อนหน้านี้เขาอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะเพื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจุติ และเกือบจะถูกศัตรูลอบฆ่าในช่วงเวลานั้น ดังนั้น คำกล่าวของเซียวหลิงเอ๋อร์ได้ตอกย้ำความทรงจำอันน่าเจ็บปวดในใจของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย และมันทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างมาก
แคร๊ก! แคร๊ก!
ในขณะนี้ เสียงของอากาศที่กำลังแตกกระจายดังก้องไปทั่ว
เมื่อเฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่ามีคนทั้งสามกำลังทะยานอยู่บนท้องฟ้า และทุกย่างก้าวของพวกเขา ก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเป็นระลอกในพื้นที่ที่พวกเขาก้าวไป ซึ่งมันได้เผยให้เห็นถึงการบ่มเพาะที่น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่งของพวกเขา
คนทั้งสามนี้นำโดยชายหนุ่มที่สวมมงกุฎขนนกและอาภรณ์มังกร ซึ่งเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่สง่าและไม่มีใครเทียบได้ ที่ด้านข้างของเขามีฝาแฝดสองคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันและสวมเสื้อผ้าเหมือนกัน ดวงตาลึกล้ำของพวกเขามีกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม นอกจากนี้ คนทั้งสามเองก็ไม่ได้ด้อยกว่าหลินโม่เซวียนและเซียวหลิงเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะชายหนุ่มที่เป็นผู้นำ แรงกดดันที่เขาแผ่มาถึงเฉินซีนั้นมหาศาลกว่าคนอื่น ๆ และน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ามาก ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชายหนุ่มผู้สวมมงกุฎขนนกคนนี้ ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดายอดฝีมือรุ่นเยาว์เหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ความสนใจของเฉินซีกลับถูกดึงดูดโดยพี่น้องฝาแฝด เพราะเขาสัมผัสได้อย่างรุนแรงเลยว่า กลิ่นอายของสองคนนี้แทบจะเหมือนกับเซี่ยวจวินของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต!
“พวกเจ้าก็มาแล้วหรือ” ถันไถหงยิ้มไปถึงใบหูเมื่อเขาเห็นสามคนนี้
แน่นอนว่าเขาได้ส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปยังเฉินซีในเวลาเดียวกัน “เฉินเค่อ ในบรรดาสามคนนี้ ฝาแฝดคู่นี้มีนามว่าเถิงหัวจีและเถิงหัวซวี่ พวกเขาเป็นศิษย์ของผู้บ่มเพาะหญิงลึกลับที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ในระหว่างที่ข้าพยายามทะลวงสู่ขอบเขตจุติเมื่อสองสามวันก่อน ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางนั้นมีนามว่า ‘หวงฝู่ฉงหมิง’ และเขาเป็นองค์ชายน้อยของตำหนักจ้าวปัญญาแห่งราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเป็นพระญาติของจักรพรรดิที่มีสถานะที่น่านับถือและมีอำนาจที่มากล้น อีกทั้งความแข็งแกร่งของเขาเองก็ยากหยั่งถึง นอกจากนี้ เคล็ดวิชาเก้าพญาอสรพิษแปลงมังกร เป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงยอดของราชวงศ์ซ่งที่มีอานุภาพเป็นอย่างมาก ดังนั้น เจ้าไม่ควรล่วงเกินชายคนนี้เป็นอันขาด!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...
ลงวันละหลายตอนใต้ใหม่ครับ...