เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1998

บทที่ 1998 ผนึกจ้าววิญญาณ

………………..

บทที่ 1998 ผนึกจ้าววิญญาณ

ขี่ลาหาลา? อู๋เซวี่ยฉานอดขำมิได้ ก่อนจะนำเฉินซีเข้าโถงใหญ่ไปยิ้ม ๆ

โถงแห่งนี้กว้างใหญ่และเงียบสงัด มีเพียงหนึ่งโลงศพอันโปร่งใสราวทำจากแก้ว เรืองรองเช่นหยกตั้งอยู่ตรงกลาง

ว่ากันตามตรง มันไม่ใช่โลงศพ แต่เป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง แผ่รัศมีกระจ่างใสและปราณเต๋าเรืองรอง คุณภาพเลิศล้ำไม่ธรรมดา

ยามนี้ ร่างของเจิ้นหลิวชิงนอนอยู่ในนั้น อาภรณ์เรียบง่ายคลุมกาย เรือนผมดำงดงามสยายไปรอบ ๆ ดวงตาปิดสนิท ใบหน้างดงามมีสีหน้าสงบสุขุม

มุมปากของนางยังคงยกยิ้มบางอันซีดขาวราวกลีบบุปผา ดูประหนึ่งกำลังนิทราฝันหวาน

หัวใจของเฉินซียามเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คับแค้น เศร้าสร้อย กระวนกระวายซับซ้อนคลุมเครือ….

หลายปีก่อนยามเขาอยู่ในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ เฉินซีพบว่าเจิ้นหลิวชิงถูกตระกูลกงเหย่ข่มเหง กระทั่งถูกกู่ชั่วร้ายนามกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราแฝงกาย

ยามนั้น หากเจียหนานมาไม่ทันเวลา เกรงว่าเจิ้นหลิวชิงคงตกตาย จากเขาไปชั่วนิรันดร์

หลังจากนั้น เฉินซีก็เดินทางข้ามมิติอันกว้างไกล มาถึงอารามไท่ชูที่เอกภพสมุทรทักษิณาเพื่อช่วยเจิ้นหลิวชิง เผชิญเหตุพลิกผันนานา จนในที่สุดก็สามารถขอให้เทพธิดาแห่งอารามไท่ชูช่วยเขาสะกดฤทธิ์กู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราในร่างเจิ้นหลิวชิงได้อย่างสมบูรณ์

ทว่าเทพธิดาไม่อาจกำจัดมันให้สิ้นไปได้ นี่จึงเป็นเหตุที่เจิ้นหลิวชิงยังไม่อาจลืมตาตื่นจนบัดนี้

แต่ปัจจุบัน เฉินซีมีความสามารถคลี่คลายเรื่องนี้ได้โดยสมบูรณ์ ดังนั้นแม้เขาจะยังมีความรู้สึกซับซ้อน เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังมากกว่านั้น

เนิ่นนานผ่านไป เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ ผ่อนคลายสภาพจิตใจของตนลง

ยามนี้เอง เขาจึงสังเกตพบว่าศิษย์พี่ใหญ่จากไปแต่ยามใดไม่อาจทราบ หลงเหลือเขาในโถงกว้างนี้เพียงลำพัง

ไม่สิ เจิ้นหลิวชิงก็อยู่ด้วย

กู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราเป็นวิชาลึกลับอันอยู่รอดมาแต่ยุคก่อน สูญหายไปตามธารนทีแห่งประวัติศาสตร์ จึงมีคนน้อยนักในยุคนี้ที่รู้ถึงมัน

นี่คือสาเหตุที่ทำให้ทั้งอู๋เซวี่ยฉานและเทพธิดาแห่งอารามไท่ชูสุดแสนจนใจยามพบว่าเจิ้นหลิวชิงถูกกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราแฝงกาย ไม่อาจกำจัดอำนาจลึกลับนี้ในร่างของนางอย่างสมบูรณ์ได้

แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ต้องต่างออกไปยามเขากลับจากแดนวิปโยค

ยามนี้ เฉินซีไม่ต้องพึ่งกระทั่งอำนาจภายนอกใด ๆ เพื่อจัดการกับปัญหานี้

เหตุผลนั้นสุดแสนง่ายดาย เพราะเขามีตราประทับยุคสมัยของยุคก่อน ผนึกจ้าววิญญาณ!

จ้าววิญญาณคือผู้ช่วงชิงคนที่เก้าของยุคก่อน และมีมรดกของอารยธรรมจ้าววิญญาณอันสมบูรณ์

ขณะที่กู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราก็มาจากยุคแห่งจ้าววิญญาณเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เฉินซีแค่ต้องแปรสภาพดูดซับผนึกจ้าววิญญาณ เขาก็ทราบวิธีกำจัดกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราได้ง่าย ๆ!

นี่จึงเป็นเหตุที่เฉินซีจึงรู้สึกเหมือนตนเองขี่ลาหาลา

แต่แม้เขาจะทราบทางออก หนึ่งปัญหาก็ยังขวางทางเฉินซีอยู่ คือจะแปรสภาพดูดซับผนึกจ้าววิญญาณอย่างไร!

เพราะขณะนี้ ตราประทับยุคสมัยนี่ถูกผนึกอยู่ในชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก การแปรสภาพดูดซับมันจึงเป็นปัญหาเล็กน้อย

หลังนั่งขัดสมาธิครุ่นคิดหนักอยู่ข้างโลงอันดูเหมือนสร้างจากหยกนี้อยู่เนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็ลงมือ

เฮือก!

เขาสูดหายใจลึก ๆ แล้วจึงค่อย ๆ หลับตาลง โคจรพลังชีวิตในกายขณะที่รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงทองสายหนึ่งจะเรืองรองออกมา ทำให้ยิ่งดูเกินธรรมดา

ขณะเดียวกัน จิตสำนึกของเฉินซีซัดสาดเยี่ยงกระแสธารอยู่ในห้วงจิตสำนึก มันเริ่มหลากหลั่งเข้าหาชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากอันนิ่งงัน

ไม่นานนัก เขาก็พบชิ้นส่วนที่สยบผนึกจ้าววิญญาณไว้ภายใน

ขณะนี้ เฉินซีระมัดระวังอย่างยิ่ง ความคิดสงบนิ่ง กระจ่างใสเช่นท้องนภาครามท่ามกลางแสงจันทร์ฉาย เข้าสู่สภาวะสุขุมอย่างสุดขั้ว

ชายหนุ่มแบ่งจิตสำนึกสายหนึ่งชำแรกสู่ผนึกจ้าววิญญาณอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค้นหาสัมผัสมันอย่างพินิจพิเคราะห์….

วิ้ง!

ในสายตาของเขา เฉินซีดูเหมือนเข้าสู่หนึ่งโลกหล้าแร้นแค้น จ้าววิญญาณเรืองฤทธิ์สัญจรอิสระ สัตว์อสูรออกอาละวาด ทั่วโลกหล้าให้ความรู้สึกหยาบกระด้าง เก่าแก่โบราณ ลึกลับเหลือแสน

เต๋าสวรรค์ที่นั่นก็เป็นเอกลักษณ์เช่นกัน มันเต็มไปด้วยปราณ ‘จ้าววิญญาณ’ อันสูงส่งยิ่งใหญ่ ประหนึ่งหมอกเมฆละล่องสูง ปกคลุมทุกซอกมุมในโลกหล้า

ไม่นานนัก ภาพสารพัดฉากก็เริ่มแล่นริ้วไปมาในสายตา ดุจภาพฝันอันเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ภาพเหล่านั้นมีทั้งจ้าววิญญาณยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งบ่มเพาะบนแท่นสังเวย สงครามอันปะทุเดือดในสมรภูมิ ยอดฝีมือเผชิญทัณฑ์บรรลุเต๋า พยายามก้าวข้ามสวรรค์ ความตาย และอื่นใดนานา….

ภาพเหล่านั้นมากมายจริงแท้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และล้วนเป็นภาพที่เฉินซีไม่เคยรับชมยลยิน มันทั้งพร่างพราว ประหลาด และเกินธรรมดา

ท้ายที่สุด เฉินซีก็รู้สึกได้เพียงบางสิ่งวูบไหวต่อหน้า ภาพทั้งหลายเริ่มบิดเบี้ยว แปรเปลี่ยนเป็นแสงหลากสีพรรณรายเจิดจ้า ทะยานผ่านการเปลี่ยนผันแห่งกาล

เปรี้ยง!

หลังช่วงกาลอันเกินประมาณ เฉินซีรู้สึกราวตนถูกสายฟ้าฟาด ทุกเหตุการณ์ระเบิดแหลกจากกัน คืนตัวเขาสู่สติสมบูรณ์

ยามนี้ ชายหนุ่มสังเกตพบว่าจิตสำนึกที่ตนส่งไปตรวจสอบผนึกจ้าววิญญาณพังทลายหายไปแล้ว

นั่นน่าจะเป็นโลกหล้าของเหล่าจ้าววิญญาณ…. ทุกเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนเกิดขึ้นตามกาลเวลาในยุคนั้น เพียงจิตสำนึกสายเดียวย่อมไม่อาจตรวจสอบมรดกทั้งหมดของอารยธรรมจ้าววิญญาณในนั้นได้…. เฉินซีพึมพำในใจ เขาไม่ได้หวาดหวั่น กลับยินดีเสียแทน เพราะพอทราบวิธีดูดซับแปรสภาพผนึกจ้าววิญญาณแล้ว

ไม่สิ ควรบอกว่าเป็นวิธีแปรสภาพดูดซับผนึกจ้าววิญญาณจากในชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากมากกว่า

เพราะเขารู้วิธีแปรสภาพดูดซับตราประทับยุคสมัยทั้งแปดตั้งแต่ยามอยู่ในแดนวิปโยคแล้ว

เป็นที่ชัดเจนว่าตราประทับยุคสมัยทุกตราสื่อถึงหนึ่งยุคสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน ความยิ่งใหญ่ซับซ้อนของมรดกภายในนั้นก็เป็นที่กระจ่างชัดเช่นกัน

การแปรสภาพดูดซับมันอย่างสมบูรณ์นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แปดผู้ช่วงชิงในแดนวิปโยคทุ่มเทพยายามมาเกินนับปี แต่สุดท้าย มีเพียงเต๋า ผู้ช่วงชิงของยุคแรกเท่านั้นที่ทำได้สำเร็จ

ทว่ากระทั่งด้วยภูมิปัญญาของเต๋า เขายังทำได้เพียงแปรสภาพดูดซับตราประทับยุคสมัยสองชิ้น ยามพยายามดูดซับตราประทับยุคสมัยที่สาม เขาก็เกือบธาตุไฟเข้าแทรกตกตาย

สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าความลึกล้ำในตราประทับยุคสมัยแต่ละชิ้นยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตเพียงไร และการแปรสภาพดูดซับพวกมันอย่างสมบูรณ์นั้นยากเย็นเพียงไร

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเฉินซีอีกต่อไป เพราะเขาพบวิธีอันเหมาะสมอยู่นานแล้ว

วิธีนี้ก็คือเต๋าแห่งยันต์อักขระ!

ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมเต๋า ขงจื่อ มาร พุทธ มายา ภูต ยุทธ์ หรือจ้าววิญญาณ พวกมันล้วนมีอักขระและคำสอนเป็นของตน

พวกมันสามารถจำแนกเป็นอักขระเต๋า ขงจื่อ มาร พุทธ มายา ภูต ยุทธ์ และจ้าววิญญาณได้ และเช่นกัน อักขระทั้งหลายก็สามารถผนวกเป็นคัมภีร์เต๋า ขงจื่อ มาร พุทธ มายา ภูต ยุทธ์ และจ้าววิญญาณ!

กล่าวโดยสรุปก็คือ ความลับของอารยธรรมทั้งหลายนี้สามารถสำแดง อธิบายและแทนที่ได้โดยเต๋าแห่งยันต์อักขระ!

นี่คือวิธีที่เฉินซีหาได้!

น่าเสียดาย กาลก่อนเขาใจร้อน พยายามดูดซับแปรสภาพตราประทับยุคสมัยทั้งแปดโดยมองข้ามไปว่า แม้จะรู้วิธีการ แต่ความแข็งแกร่ง ณ ตอนนั้นไม่อาจควบคุมพลังของตราประทับยุคสมัยทั้งแปดได้ จึงเกือบเผชิญหายนะไปเพราะเช่นนั้น

โชคยังดีที่แผนภาพวารีหลากตื่นขึ้น ช่วยเขาเลี่ยงอันตรายได้ทันท่วงที

ยามนี้ สถานการณ์แตกต่างอย่างสมบูรณ์แล้ว

ตราประทับยุคสมัยทั้งแปดถูกผนึกไว้ในชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก การใช้อำนาจจิตสำนึกตรวจสอบของเฉินซีเมื่อครู่ทำให้เขาเข้าไปสัมผัสมรดกภายในผนึกจ้าววิญญาณได้

ด้วยเหตุนี้ เฉินซีก็แค่ต้องใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระเป็นกระสายอนุมาน ทำความเข้าใจมรดกในผนึกจ้าววิญญาณ เขาก็จะสามารถแปรสภาพดูดซับมันได้อย่างสมบูรณ์!

วูบ!

เฉินซีส่งจิตสำนึกของตนเข้าสู่ผนึกจ้าววิญญาณอย่างไม่ลังเล

แตกต่างจากคราวก่อน เฉินซีรวบรวมจิตสำนึกของเขาทั้งหมด อัดโถมเข้าสู่ผนึกจ้าววิญญาณครบถ้วน

การทำเช่นนี้อันตรายอย่างยิ่ง เพราะหากเกิดเรื่องเกินคาดเดาใดขึ้น มันก็สามารถทำให้จิตสำนึกของเขาพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ วิญญาณบาดเจ็บสาหัส อาจกระทั่งธาตุไฟเข้าแทรกได้

แต่เรื่องราวในโลกหล้าก็เป็นเสียเช่นนี้ หากคิดได้มาซึ่งบางสิ่ง ก็ต้องรับความเสี่ยงและอันตรายไหว

เฉินซีตัดสินใจแล้ว เขาจึงกระทำการอย่างไร้ลังเล

ไม่นานนัก สภาพการณ์อันคุ้นเคยในอารยธรรมจ้าววิญญาณก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เคลื่อนไหววาบวับผ่านความคิดของเฉินซีโดยไม่ลดรา

เมื่อภาพทั้งหลายเริ่มค่อย ๆ บิดเบี้ยวเป็นสายแสงหลากสี เฉินซีพลันโคจรพลังเต๋าแห่งยันต์อักขระ และเริ่มวิเคราะห์คาดการณ์ทุกการแปรเปลี่ยนในยุคสมัยนี้

เพราะในปีที่เจ็ด เฉินซีแปรสภาพดูดซับชิ้นส่วนยุคสมัยได้ถึงสามสิบหกชิ้น เป็นสี่เท่าของสิ่งที่เคยทำได้ในปีที่หก

ในปีที่แปด จำนวนชิ้นส่วนยุคสมัยที่เฉินซีแปรสภาพดูดซับสำเร็จทวีคูณขึ้นอีกครั้ง มันทะยานขึ้นเป็นร้อยแปดสิบชิ้น! ห้าเท่าเต็ม ๆ เมื่อเทียบกับปีที่เจ็ด!

ปีที่เก้า เขาทำได้มากกว่าเดิมหกเท่า

ปีที่สิบ ทวีคูณขึ้นเจ็ดเท่าจากปีที่เก้า

ปีที่สิบเอ็ด โผนทะยานขึ้นอีกแปดเท่าจากปีที่สิบ

ยิ่งเดือนปีผันผ่าน จำนวนของมันยิ่งทวีคูณยิ่งใหญ่ ความเร็วในการแปรสภาพดูดซับชิ้นส่วนอารยธรรมจ้าววิญญาณของเฉินซีค่อย ๆ เขยื้อนมาถึงจุดอันน่าตกตะลึงยิ่ง

เห็นได้ชัดมากว่าแค่การแปรสภาพดูดซับชิ้นส่วนยุคสมัยเพียงครั้งละชิ้นนั้นไม่เป็นที่พอใจอีกต่อไป เขาจึงแปรสภาพดูดซับหลาย ๆ ชิ้นส่วนพร้อมกันในคราวเดียว

ขณะเดียวกัน ความเร็วในการแปรสภาพดูดซับพวกมันของเขาก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ….

ทั้งหมดนี้เผยแนวโน้มทวีคูณก้าวกระโดดอย่างน่าตกตะลึง!

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะในยามแรก เฉินซีหามีความคุ้นเคยกับอารยธรรมจ้าววิญญาณสักนิดไม่ เขาจึงทุลักทุเล กระท่อนกระแท่น และเผชิญสารพัดอุปสรรคยากเข็ญยามพยายามทำความเข้าใจ อนุมาน แปรสภาพ และดูดซับชิ้นส่วนอารยธรรมทั้งหลาย

แต่เมื่อแปรสภาพดูดซับชิ้นส่วนมากเข้า เขาก็ค่อย ๆ คุ้นชินกับสรรพสิ่งในอารยธรรมจ้าววิญญาณ มันไม่แปลกตาสำหรับเขาอีกต่อไป การแปรสภาพดูดซับพวกมันจึงง่ายดายชำนิชำนาญขึ้นสำหรับเขา

มันเทียบได้กับการหัดเขียนหนังสือ ยามเพิ่งเริ่มเรียน ก็ต้องมานั่งจำลำดับขีดและส่วนประกอบต่าง ๆ ต้องใช้การฝึกฝนหลายต่อหลายครั้งกว่าจะเขียนได้สักหนึ่งอักขระอย่างหมดจดสวยงาม

ทว่ายามฝึกเขียนมากมายบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเจออักขระไม่คุ้นตาเช่นไร ก็จะสามารถเขียนได้อย่างราบรื่นจากการจำเส้นขีด

การแปรสภาพดูดซับชิ้นส่วนยุคสมัยเหล่านี้ก็เหมือนการเขียนสำหรับเฉินซี แต่ชิ้นส่วนเหล่านี้หากใช้เทียบกับอักขระต่าง ๆ มากมาย เฉินซีก็เหมือนปีศาจหนวดที่สามารถเขียนอักขระได้เป็นร้อย ๆ ตัวในเวลาเดียวกัน!

ในปีที่สิบห้า ชิ้นส่วนยุคสมัยอันหนาแน่นคลุมโลกาถูกเฉินซีแปรสภาพดูดซับไปแล้วเกินครึ่ง พวกมันแปรสภาพเป็นอักขระยันต์ประหลาดมากมาย วูบไหวปกคลุมเยี่ยงมวลดารา

ปีที่สิบหก ความเร็วการแปรสภาพดูดซับพวกมันยิ่งทวีความร้ายกาจ เฉินซีสามารถแปรสภาพดูดซับหนึ่งชิ้นส่วนยุคสมัยได้เพียงกวาดจิตสำนึกผ่าน!

ปีที่สิบเจ็ด เหลือชิ้นส่วนเพียงไม่ถึงสองส่วนจากสิบ

ปีที่สิบแปด ทุกชิ้นส่วนล้วนถูกแปรสภาพดูดซับ!

และในปีนี้เช่นกันที่รูปลักษณ์ของผนึกจ้าววิญญาณในห้วงจิตสำนึกของเฉินซีแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

มันแปรเปลี่ยนไปเป็นกลุ่มอักขระยันต์อันหนาแน่นเยี่ยงท้องนภาอันพร่างพราว ดูประหลาดและลึกลับ วูบไหวพริบพราวเยี่ยงฝูงมัจฉาแหวกว่าย

แต่ขณะที่พวกมันดูคล้ายอักขระยันต์ พวกมันก็บรรจุมรดกอันบริสุทธิ์เหนือใดของอารยธรรมจ้าววิญญาณ!

ในปีที่สิบเก้า อักขระยันต์หนาแน่นนี้เริ่มเชื่อมต่อเข้าหากันภายใต้การคาดการณ์อันสมบูรณ์ของเฉินซี ก่อเป็นผังอักขระยันต์มากมาย

หลังจากนั้น ผังอักขระเหล่านี้ก็รวมตัวกันอีกครั้งเป็นโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชามากมาย เริ่มประสานเข้ารวมกันอีก

ในปีที่ยี่สิบ โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาอันก่อจากอักขระยันต์หนาแน่นพลันสร้างปรากฏการณ์สารพัด เริ่มแปรเปลี่ยนลักษณ์ไปอย่างไม่หยุดนิ่ง

ปรากฏว่าสภาพการณ์ทั้งหลายคือภาพการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาของยุคก่อนที่เฉินซีได้ประจักษ์เมื่อกาลก่อน!

ทว่าภาพเหล่านี้ถูกอักขระยันต์แทนที่อย่างสมบูรณ์ พวกมันแตกต่างจากยามเผยในใจเฉินซีอย่างยิ่ง

มันดูประหนึ่งก้อนทองดิบถูกสกัดแก่น ราวดรุณีเปลื้องอาภรณ์ เผยผิวพรรณทั่วสรรพางค์ต่อสายตาอย่างชัดเจนทุกรายละเอียด เฉินซีจับความลึกล้ำทั้งหมดในภาพเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน สะท้อนแจ้งอยู่ในใจ

ขณะนี้ หลังจากทุ่มเทพยายามอยู่ยี่สิบปี ตราประทับยุคสมัยของอารยธรรมจ้าววิญญาณก็ถูกเฉินซีแปรสภาพดูดซับเสร็จสิ้น!

เปรี้ยง!

ขณะเดียวกันนั้นเอง เฉินซีผู้นั่งขัดสมาธิบนพื้นไม่มีเวลาแม้แต่จะรู้สึกดีใจ ร่างของเขาสั่นสะท้าน พลังชีวิตในกายดูประหนึ่งภูเขาไฟอันนิ่งงันมาเนิ่นนาน เริ่มกราดเกรี้ยวเตรียมปะทุด้วยความเร็วเกินคะเน!

ขณะนี้ กระทั่งการบ่มเพาะและความแข็งแกร่งยังพัฒนาไปอย่างน่าตกใจจากการเปลี่ยนแปลงพลังชีวิต

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กินเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ก่อนที่ทุกสิ่งจะหวนคืนสู่ความสงบเงียบ

เมื่อเฉินซีฟื้นสติสมบูรณ์ เขาก็พบว่าการฝึกฝนของตนบรรลุเหนือขึ้นไปอีกขั้น!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]