เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1999

บทที่ 1999 สตรีลึกลับ

………………..

บทที่ 1999 สตรีลึกลับ

หนึ่งม่านแสงสะท้อนภาพเอกภพปรากฏขึ้นเหนือร่างของเฉินซี มันกลมเกลี้ยงเรืองรอง จักรวาลมากมายโคจร หมู่ดาวเคลื่อนคล้อยเวียนวน เป็นภาพอันลึกล้ำไร้ขอบเขต

หลังของเฉินซีเหยียดตรง นั่งนิ่งขัดสมาธิอาบรัศมีศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนดุจสนตระหง่าน ทั่วร่างปกคลุมด้วยพลังสีม่วงทอง ดูเคร่งขรึม นิ่งสงบ และเกินใดในหล้าเปรียบเทียบ

ขณะเดียวกัน เอกภพในร่างของเขาก็เหมือนความโกลาหลอันพลุ่งพล่านด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ส่งเสียงเลื่อนลั่นเช่นสายฟ้าฟาด

ขณะนี้ พลังชีวิต แก่นโลหิต ความแข็งแกร่ง วิญญาณ… ทุกสิ่งในกายเดือดพล่านไม่หยุดนิ่ง เป็นภาพเปรียบปาฏิหาริย์ยิ่งนัก

นอกจากนั้น ราชผกายม่วงทองดวงใหม่ก็เฉิดฉันเหนือเพลิงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณของเขา เสริมรัศมีราชผกายม่วงทองเดิมทั้งสาม เรืองฤทธิ์ม่วงทองจรัสจ้าในดวงวิญญาณของเฉินซี ฉาบย้อมด้วยชั้นอำนาจศักดิ์สิทธิ์

ขอบเขตจ้าวเอกภพสี่ดารา!

ยี่สิบปีที่ปิดด่านบ่มเพาะครั้งนี้ เฉินซีทำเพียงแค่แปรสภาพดูดซับมรดกภายในผนึกจ้าววิญญาณเพื่อช่วยเจิ้นหลิวชิง แต่ปรากฏว่าเขากลับบรรลุขอบเขต ความแข็งแกร่งพัฒนาไปอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง!

เอกภพในกายเขาขยายขึ้น ความแข็งแกร่งพัฒนาอีกหน อำนาจวิญญาณโผนทะยานสูง กระทั่งแก่นแท้ ปราณ และวิญญาณในกายยังหนาแน่นเรืองฤทธิ์ถึงขีดสุด!

กระทั่งตัวเฉินซีเองยังรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อยที่ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาสูงขึ้นอีกขั้นในเวลาสั้น ๆ เพียงยี่สิบปี หากข่าวนี้ถูกแพร่งพราย โลกหล้าคงคิดไปว่าเขาเป็นตัวประหลาดอมนุษย์แน่แท้

แต่เฉินซีก็ตระหนักดี ว่าการที่เขาทำเช่นนี้ได้ก็เป็นเพราะผนึกจ้าววิญญาณ!

มรดกอันสมบูรณ์ของหนึ่งยุคสมัยทั้งยุคถูกอัดรวมกันในผนึกจ้าววิญญาณ อำนาจของมันจึงมหาศาลสุดขั้ว ยามนี้เมื่อเฉินซีแปรสภาพดูดซับมัน ผลประโยชน์ที่ได้จึงเกินคาดคิดเป็นธรรมดา

หากบ่มเพาะด้วยความเร็วเช่นนี้ต่อไป การบ่มเพาะของข้าไม่ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องเพียงแค่แปรสภาพดูดซับตราประทับยุคสมัยอื่น ๆ อีกเจ็ดชิ้นหรือ? หลังได้พบเรื่องประหลาดใจน่ายินดีในคราวแรก เฉินซีก็สงบใจลงและเหมือนคิดบางเรื่องออก

การแปรสภาพดูดซับผนึกจ้าววิญญาณทำให้เขาได้มาซึ่งความรู้อันสมบูรณ์ว่าจะอนุมานหยั่งทราบมรดกยุคต่าง ๆ ด้วยเต๋าแห่งยันต์อักขระอย่างไร

ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงมั่นใจยิ่งว่าการแปรสภาพดูดซับตราประทับยุคสมัยอื่น ๆ จะไม่เกิดอุปสรรคใด ๆ อีก!

ทว่าอึดใจต่อมา เฉินซีก็ต้องส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เขาสัมผัสได้ว่าการบ่มเพาะของตนมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว คงไม่มีทางย่อยพลังของตราประทับยุคสมัยอื่น ๆ มากกว่านี้ได้ในกาลอันสั้น

เขาเป็นเหมือนสระน้ำอันเต็มเอ่อ ต้องขุดขยายมันเสียก่อนจึงรับวารีมากกว่านี้ได้

สภาวะการบ่มเพาะปัจจุบันของเฉินซีก็เป็นเช่นนั้น มันอิ่มตัวเจียนแน่นสนิท แต่เฉินซีก็ไม่ได้ขาดน้ำเติม เขาแค่ขาดการขัดเกลาขยายศักยภาพของตนเท่านั้น ก็จะดูดซับพลังและพัฒนาสู่ระดับอันสูงขึ้นกว่านี้ได้ต่อไป

“ว่าแล้วเชียว การทำสำเร็จในคราวเดียวเป็นไปไม่ได้จริง ๆ….” เฉินซียิ้มเจื่อน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกท้อถอย กลับกัน การแปรสภาพดูดซับผนึกจ้าววิญญาณนั้นเหมือนเปิดประตูบานใหม่ ทำให้เขาได้ผลลัพธ์อันชวนประหลาดใจยินดีอย่างยิ่งใหญ่สุดขั้ว

ประการแรก เขาแน่ใจว่าแม้ตราประทับยุคสมัยจะถูกผนึกในชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก พวกมันก็ไม่ใช่อุปสรรคหยุดเขามิให้แปรสภาพดูดซับตราประทับยุคสมัยได้อีกต่อไป

ประการที่สอง ตราประทับยุคสมัยเป็นเหมือนต้นกำเนิดพลังให้เขาพัฒนาการบ่มเพาะไปไกลขึ้นอันถูกตระเตรียมไว้สำเร็จรูป เขาไม่ต้องไปแสวงโอกาสที่ใดยามบ่มเพาะ แค่รอปัจจัยสำคัญทั้งหลายประสานลงตัว ก็สามารถใช้ตราประทับยุคสมัยพัฒนาตนเองอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้

สุดท้าย ผลประโยชน์ที่เขาได้จากการแปรสภาพดูดซับตราประทับยุคสมัยไม่ได้สะท้อนโดยการเปลี่ยนแปลงการบ่มเพาะเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญที่สุดคือ มรดกภายในนั้นถูกเฉินซีตีความบรรลุครบถ้วน!

นี่คือผลพลอยได้สูงสุดของเฉินซี

มรดกภายในผนึกจ้าววิญญาณครอบคลุมถึงระบบการบ่มเพาะ ทักษะวิชา ความรู้ภูมิปัญญา และเรื่องอื่น ๆ มากมายในอารยธรรมจ้าววิญญาณทั้งหมดทั้งมวล

ด้วยเหตุนี้ หากเฉินซีหลุดไปอยู่ในยุคก่อน เขาก็ถือได้ว่าเป็นตัวตนผู้รอบรู้ทุกเรื่องราว!

เขาจะไม่ต่างจากเหล่าไป๋ผู้ถูกมองเป็น ‘สรรพวิญญาจารย์’

นอกจากนั้น ในเมื่อเฉินซีได้มรดกทั้งหลายมาในยุคนี้ มันก็ย่อมนำมาซึ่งผลกระทบเกินจินตนาการ

เช่นยามนี้ กระทั่งอู๋เซวี่ยฉานยังจนใจรับมือกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราในร่างเจิ้นหลิวชิง กระทั่งน้อยคนทั่วโลกหล้าที่ก้าวผ่านเคล็ดวิชานี้ไปได้

แต่ในความเห็นของเฉินซีผู้แปรสภาพดูดซับผนึกจ้าววิญญาณเสร็จสิ้น กู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราเป็นเพียงเคล็ดวิชาจิตวิญญาณแขนงหนึ่งของเผ่าอวมนตราในยุคก่อนเท่านั้น และเขาก็รู้วิธีจัดการกับมันแล้ว

ไม่รอช้า เฉินซีลุกขึ้น ทอดสายตาลงบนโลงหยกใส

เปรี๊ยะ!

ชายหนุ่มเปิดมันออก บรรจงอุ้มเจิ้นหลิวชิงออกมาจากภายใน จากนั้นก็วางนางลงบนฟูกทำสมาธิ

หลังจากนั้น เขาก็สูดหายใจลึก ๆ ย้อนนึกถึงวิธีกำจัดกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตรา หลังยืนยันได้ว่าไร้สิ่งใดตกหล่นผิดพลาด ในที่สุดก็เริ่มลงมือ

วิ้ง!

สองมือของเขาวาดลวดลายประทับตรา วาดอักขระจ้าววิญญาณประหลาดลึกลับมากมายด้วยปลายนิ้ว แล้วอักขระจ้าววิญญาณเหล่านี้ก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างของเจิ้นหลิงชิงดุจกระแสธาร

นอกโถงใหญ่ ถูเมิ่งนั่งขัดสมาธิบนพื้น

นับแต่ยามที่เฉินซีเริ่มปิดด่านบ่มเพาะเมื่อยี่สิบปีก่อน อู๋เซวี่ยฉานก็ให้ถูเมิ่งมาอยู่ที่นี่ เพื่อให้ถูเมิ่งแจ้งเขาโดยเร็วที่สุดยามเฉินซีออกจากโถง

เพียงเรื่องนี้ลำพัง เฉินซีก็ไม่อาจเทียบนางได้แล้ว

ประกอบกับสัจธรรมที่นางไม่ปรากฏที่อยู่แน่ชัด และยังสังหารจ้าวเอกภพมากมายลงตามกัน ไร้ผู้ใดแน่ใจว่านางจะหยุด ความสนใจที่เพ่งไปทางนางจึงย่อมสูงกว่าเฉินซีเป็นธรรมดา

ตุบ! ตุบ!

เสียงฝีเท้าราบเรียบเนิบช้าปลุกถูเมิ่งจากความคิดอันแล่นพล่าน เขาเงยหน้ามองผู้มา ก่อนจะรีบลุกขึ้นคารวะทักทาย “อาจารย์ลุง”

ผู้มาคืออู๋เซวี่ยฉาน

“ในโถงยังไม่มีการเคลื่อนไหวหรือ?” อู๋เซวี่ยฉานชำเลืองมองประตูโถงอันปิดสนิทแล้วอดขมวดคิ้วมิได้

ถูเมิ่งส่ายหัว “ไม่มีเลยขอรับ”

“ดูเหมือน… ข้าคงต้องรอต่อไปเสียแล้ว” อู๋เซวี่ยฉานรำพึงเบา ๆ ก่อนจะหันกายจาก

ทว่าในตอนนั้นเอง ประตูอันปิดสนิทก็แง้มเปิด

“ศิษย์พี่ใหญ่ มีสิ่งใดต้องการจากข้าหรือ?” ร่างสูงใหญ่ของเฉินซีเดินออกมา มองอู๋เซวี่ยฉานด้วยสีหน้างุนงง

“ฮ่า ๆ ๆ! ศิษย์น้องเล็ก ในที่สุดเจ้าก็ออกมาสักที” อู๋เซวี่ยฉานหัวเราะร่า พินิจเฉินซีหัวจรดเท้า จากนั้นก็อดอุทานอย่างชื่นชมมิได้ “เพียงยี่สิบปีสั้น ๆ เจ้าก็คืบหน้าการบ่มเพาะไปอีกแล้ว ไม่ธรรมดา! ไม่ธรรมดา!”

ถูเมิ่งเบิกตากว้างสูดหายใจเฮือก กล่าวในใจว่าแม่เจ้าโว้ย! อาจารย์อาไม่ธรรมดาจริง ๆ ด้วย! จะพัฒนาเร็วเกินไปแล้ว!

ถูเมิ่งฝืนสะกดความอยากกลอกตาใส่เฉินซี บังเอิญ? เหตุใดข้าจึงไม่เคยบังเอิญดีงามเช่นนี้บ้าง?

อู๋เซวี่ยฉานพยักหน้า “เป็นเช่นไรบ้าง? กำจัดกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราจากแม่นางเจิ้นสำเร็จหรือไม่?”

เฉินซีพลันแย้มยิ้มยามพูดถึงเรื่องนี้ ตอบกลับไปว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นห่วง ข้าจัดการปัญหานี้เรียบร้อยแล้ว”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จึงพูดต่อ “แต่นางหมดสติไปนานนัก พลังชีวิตร่อยหรอริบหรี่ยิ่ง ข้าจึงเกรงว่ากว่าจะฟื้นสติ นางคงต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเลย”

อู๋เซวี่ยฉานกล่าวยิ้ม ๆ “ขอเพียงนางฟื้นสติขึ้นได้ก็พอแล้ว”

เฉินซีว่า “ศิษย์พี่ใหญ่มีเรื่องใดหรือ?”

เขาบังเอิญได้ยินเสียงรำพึงของอู๋เซวี่ยฉานก่อนหน้านี้ จึงสัมผัสได้เลือนรางว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่ใช่แค่มาเยี่ยมเยือนเป็นแน่

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]