เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2158

บทที่ 2158 กระบี่เล่มนี้มีนามว่าสังสารวัฏ

………………..

บทที่ 2158 กระบี่เล่มนี้มีนามว่าสังสารวัฏ

กระทั่งเฉินซีเองยังรู้สึกว่ามันไร้เหตุผลไปหน่อยเลย

ทำไมข้าถึงต้องมาห่วงเรื่องเพศของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลในเวลาแบบนี้ด้วย?

“นั่งสิ” เสียงไพเราะกังวานคล้ายระฆังดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวยกมือขึ้น กระบี่เต๋าวิบัติที่ลอยอยู่ส่งเสียงตอบรับพร้อมกับขยับเข้าไปในมือนาง จากนั้นมันก็เงียบลงทันที

มือเรียวของนางเต็มไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ แต่ละท่วงท่ายามนั่งลงก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบ

แม้จะไม่สามารถเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ท่าทางของนางดูห่างเหิน สูงส่งดังขุนเขา และทรนงในฝีมือยิ่งกว่าใคร!

เป็นความงามสะท้านหัวใจ งามหมดจด งามจนไม่อาจบรรยายดั่งภาพฝันที่ไม่มีอยู่จริง

เฉินซีนั่งขัดสมาธิอย่างใจลอย ภายในใจเขาสงบและอยู่ในภาวะนิ่งสนิท

“กระบี่เล่มนี้เล่าเรื่องราวของเจ้าให้ข้าฟังแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าคงมีคำถามมากมาย” นางลูบกระบี่เต๋าวิบัติ น้ำเสียงใสดั่งระฆังแก้วเอ่ย “งั้นก็ถือโอกาสอธิบายเรื่องบางอย่างให้เจ้าฟังเลยก็แล้วกัน”

เมื่อมองกระบี่เต๋าวิบัติที่ดูว่านอนสอนง่ายอยู่ในมือนางแล้ว เฉินซีก็ค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายก็คือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล

แต่ก็ยังรู้สึกเชื่อยากจะอยู่สักหน่อย ดังนั้นจึงถามขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโส ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ?”

อย่างไรที่นี่ก็คือแดนก่อกำเนิดบาปในแหล่งกำเนิดแห่งบาปเต๋า!

อีกทั้งมันยังเป็นพื้นที่หวงห้ามภายในค่ายที่มั่นใหญ่ของผู้รุกรานเต๋า ทั่วทั้งแหล่งกำเนิดแห่งบาปเต๋าเองก็อยู่บนภูเขาผนึกเทพ ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลมาทำอะไรที่นี่กันแน่

นางเอ่ยเสียงใส “ข้าเป็นคนสร้างที่นี่ขึ้นมาเอง”

เฉินซีใจสั่นและชะงักค้างทันที ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลเป็นผู้สร้างแหล่งกำเนิดแห่งบาปเต๋าขึ้นมาหรือ?

“พวกเราต่างก็ผู้ช่วงชิง ฉะนั้นเรียกข้าว่าจิ่วหลิงเถอะ” นางเอ่ยอย่างสบาย ๆ “แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดและบ่มเพาะอยู่ในโลกแห่งทายาทศักดิ์สิทธิ์ล้วนเรียกข้าว่าปฐมบรรพชน”

ปฐมบรรพชนของผู้รุกรานเต๋า! เฉินซีไม่อาจสงบจิตใจไว้ได้อีกต่อไปยามได้ยินเช่นนี้ ร่างของเขาแข็งค้าง จิตใจล่องลอย

เขาสงสัยมาโดยตลอดว่าปฐมบรรพชนของผู้รุกรานเต๋าจะเป็นคนแบบไหน แต่ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วจะเป็นดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล!

เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยายามยับยั้งความตะลึงเอาไว้ เขานึกย้อนถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางในแหล่งกำเนิดแห่งบาปเต๋า แล้วก็เริ่มยอมรับความจริงได้

เหตุใดกระบี่เต๋าวิบัติที่เงียบมาโดยตลอด กลับมาเกิดความเคลื่อนไหวอย่างน่าประหลาดตอนที่เขาเดินทางเข้าแหล่งกำเนิดแห่งบาปเต๋า?

ก็เพราะว่าเจ้านายเดิมของมันก็คือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล!

ทำไมผู้รุกรานเต๋าถึงเอาแต่คิดว่าหากเอาเลือดและชีวิตของเขาไปสักการะ ก็จะสามารถปลุกปฐมบรรพชนขึ้นมาจากการหลับใหลชั่วนิรันดร์ได้?

เพราะดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลก็เป็นผู้ช่วงชิงเหมือนกับตน!

แล้วทำไมสิบสามข้ารับใช้เต๋าถึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นเหยื่อล่อ?

ก็เพราะพวกนั้นไม่เพียงอยากสังหารปฐมบรรพชนของผู้รุกรานเต๋า แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลต่างหาก!

เหล่านี้คือคำถามทั้งหมดที่อยู่ในใจของเฉินซีมานาน ตอนนี้เขาเริ่มรู้คำตอบราง ๆ แล้ว ดังนั้นจึงถอนใจออกมา

เช่นนั้นปฐมบรรพชนของผู้รุกรานเต๋าก็คือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลสินะ!

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เฉินซีก็ยังมีอีกหลายคำถาม เพราะทั้งเต๋าบงกชและมารบงกชต่างก็บอกว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลถูกเจ้านิกายอำนาจเทวะหลอกตอนที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งเต๋า ทำให้ตายไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงสงสัยว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

ราวกับว่านางอ่านใจเขาได้ จิ่วหลิงค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมา “เจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่ากฎแห่งเต๋าสวรรค์ในสามภพไม่ยอมให้มีคนขอบเขตเทวาหรือที่สูงกว่านั้นอยู่ในสามภพได้ ข้าพบแดนเทพโบราณตอนที่ความวิบัติเพิ่งจะแยกออก สุดท้ายจึงมาปักหลักอยู่บนภูเขาผนึกเทพหลังจากออกตามหามานาน อีกทั้งข้ายังเป็นคนสร้างโลกแห่งทายาทศักดิ์สิทธิ์ด้วยพละกำลังของตัวเองด้วย”

“จากนั้นพอมาถึงสุดขอบเขตมหาเทพเต๋า ก็หมายจะออกตามหาความลับแห่งมหาวิถี และในที่สุดข้าก็สามารถกลับไปสู่สามภพในร่างเดิมได้ แล้วก็เป็นตอนนั้นที่ข้าตกหลุมพรางของนิกายอำนาจเทวะ จนดับสิ้นไปในมาตุภูมิหมื่นวิถี”

“สิ่งที่เจ้าเห็นอยู่ตอนนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของเจตจำนงที่ข้าทิ้งเอาไว้เพื่อปกป้องสถานที่นี้เท่านั้น”

น้ำเสียงนางดูไร้ตัวตนและไม่อาจจับอารมณ์ได้เลย นางอธิบายทุกสิ่งที่เจอมาในตอนนั้นให้เขาฟัง

มาตุภูมิหมื่นวิถี! เฉินซีใจสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เซวี่ยฉานบอกเขาเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ของเขา ฝูซี เจ้าตำหนักเต๋าหนี่หวา เจ้าสำนักเต๋า เจ้านิกายอำนาจเทวะ เจ้าสำนักศักดิ์สิทธิ์ หรือจะเป็นคนอื่น ๆ ที่กำลังออกตามหาความลับแห่งมหาวิถี ทุกคนล้วนอยากไปที่มาตุภูมิหมื่นวิถีในสามภพกันทั้งนั้น

แต่เฉินซีก็คิดไม่ถึงว่าตัวตนอย่างดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลจะถูกลอบสังหาร ณ มาตุภูมิหมื่นวิถีเมื่อหลายปีก่อนและตายไปแล้ว

ที่นั่นมีอะไรอยู่ ทำไมถึงทำให้ยอดฝีมือทั้งหลายอยากจะไปให้ได้กัน?

ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้บอกคำตอบไว้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้

ในตอนนั้นเอง จิ่วหลิงพลันเงยหน้าขึ้นและมองไปยังหุบเหวแล้วกล่าวว่า “เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว อีกไม่นานเต๋าสวรรค์ก็จะรู้ว่าข้าตื่นขึ้นมา”

จากนั้นนางก็ถอนสายตากลับมามองเฉินซี “เฉินซี เจ้ามีคำถามอะไรอีกหรือไม่?”

“เช่นนั้นให้ข้าเป็นคนถามเจ้าบ้าง” จิ่วหลิงพลันเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเคร่งขรึม

เฉินซีพยักหน้า “ผู้อาวุโสเชิญถามได้เลย”

“เจ้าผสานร่างเข้ากับแผนภาพวารีหลากชิ้นสมบูรณ์แล้วหรือ?” จิ่วหลิงถามคำถามแรกออกมา ดูเหมือนนางจะมองสภาพร่างกายที่ไม่ปกติของเฉินซีออก

“ใช่แล้ว” เฉินซีไม่คิดปิดบังและตอบออกไปตามตรง

“เช่นนั้นเจ้าก็เข้าประตูแห่งวันโลกาวินาศ ทั้งยังได้รับมรดกตกทอดมาจากทั้งแปดยุคแล้วสินะ?” จิ่วหลิงถามคำถามที่สอง

“ขอรับ” เฉินซีพยักหน้าอีกครั้ง

“เจ้าเชี่ยวชาญพลังสังสารวัฏแล้วใช่หรือไม่?” นี่เป็นคำถามที่สามของจิ่วหลิง

ตอนนี้เฉินซีรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา แต่ละคำถามล้วนเป็นความลับที่เขาเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ ทว่าจิ่วหลิงเหมือนอ่านใจตนได้ คำถามที่นางเอ่ยนั้นตรงกับสิ่งที่เขาคิดทั้งสิ้น เช่นนี้จะไม่ให้รู้สึกตกใจได้อย่างไร?

“ขอรับ” เฉินซีพยักหน้าอีกครั้ง โดยไม่เห็นเลยว่าที่ส่วนลึกของนัยน์ตาดูคลุมเครือคล้ายความฝันทว่าก็กระจ่างชัดของนางค่อย ๆ เผยประกายสุกใสออกมา

เหมือนเป็นความปีติยินดีที่เก็บเงียบไว้นาน

ตอนที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่ก็สงสัยว่าจิ่วหลิงจะอยากรู้ความลับอะไรของตนอีกหรือไม่ จากนั้นก็เอะใจว่านางไม่ได้ถามคำถามต่อ

คล้ายกับว่าได้รู้คำตอบที่อยากรู้ที่สุดไปแล้ว

“ในยุคที่เก้า ผู้ช่วงชิงคนที่เก้า…. เก้าทั้งหลายนำสู่หนึ่งเดียว…. เต๋ากำเนิดหนึ่ง หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม และสามกำเนิดทุกสรรพสิ่ง แต่กลับเกิดความเปลี่ยนแปลงเกินคาดในเต๋าสวรรค์ ดังนั้นชะตาของสามภพจึง… ไม่อาจคาดเดาได้….” จิ่วหลิงเงียบไปนานก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน นางสัมผัสกระบี่เต๋าวิบัติเบา ๆ แล้วพึมพำเสียงค่อย ทั่วร่างส่องสว่างไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์เก้าสี

เฉินซีที่ได้ยินคำเหล่านี้สับสน แต่ก็รู้สึกว่าตนคงไม่อาจถามนางได้

เป็นตอนนั้นเองที่จิ่วหลิงเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ นางใช้ดวงตามองเฉินซีแล้วกล่าวขึ้น “เวลาของข้าใกล้จะหมดลงแล้ว หลังออกไปจากที่นี่ เจ้าจงนำกระบี่สังสารวัฏไปยังมาตุภูมิหมื่นวิถีในสามภพด้วย”

เฉินซีชะงักไป “แต่พละกำลังที่ข้ามีในตอนนี้ยังไม่สามารถเข้ามาตุภูมิหมื่นวิถีได้”

เขาพูดอย่างที่อู๋เซวี่ยฉานเคยกล่าวเอาไว้ เพราะขนาดอีกฝ่ายที่มีพลังบ่มเพาะเหนือชั้นยังเอาตัวรอดในมาตุภูมิหมื่นวิถีไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรกับจ้าวเอกภพเก้าดาราอย่างเขา?

“ไม่หรอก เมื่อเจ้าออกไปจากที่นี่ได้ เจ้าจะเลื่อนขึ้นไปที่ขอบเขตมหาเทพเต๋าแน่ ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะมีพลังมากพอให้เดินทางเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นได้!” จิ่วหลิงเอ่ยเสียงเบา ๆ แต่กลับมีความมั่นใจบางอย่างแฝงอยู่

เฉินซีตะลึงในทันที

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]