เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2159

บทที่ 2159 ข้ารับใช้เต๋ามาแล้ว

………………..

บทที่ 2159 ข้ารับใช้เต๋ามาแล้ว

ยามออกจากที่นี่ ข้าจะขึ้นสู่ขอบเขตมหาเทพเต๋าได้?

นั่นเป็นสิ่งที่กระทั่งเฉินซีเองยังมิกล้าอวดอ้าง

แม้การบ่มเพาะอันเหมือนหุบเหวไร้ก้นบึ้งของเขาจะเผยสัญญาณอิ่มตัวขึ้นมาหลังสังหารมหาเทพเต๋าอาวุโสทั้งสิบไป เขาก็ยังขาดพลังบางส่วนในการมุ่งสู่ขอบเขตมหาเทพเต๋า

แต่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลกลับพูดเสียงมั่นอกมั่นใจ ดังนั้นกระทั่งเฉินซีจึงอดประหลาดใจเล็กน้อยมิได้ที่นางมั่นใจกว่าตัวเขาอีก

จิ่วหลิงไม่ได้อธิบายมากไปกว่านั้นนางทำเพียงก้มลงมองกระบี่เต๋าวิบัติในมือตน ต่อมาจึงถอนหายใจ “กระบี่นี้ ถือว่าเป็นรอยตราสุดท้ายของข้าในโลกนี้!”

เสียงของนางยังคงแผ่วเบาไม่เปลี่ยนแปลง ฟังดูเสนาะโสต กังวานใสเช่นระฆังแก้ว ทว่ากลับมีความเศร้าหมองของการต้องจากลา

หัวใจของเฉินซีเต้นกระตุก เหมือนตระหนักได้ถึงบางสิ่ง “ผู้อาวุโส….”

วิ้ง!

เพิ่งปริปาก ร่างของจิ่วหลิงก็เหมือนลุกไหม้เฉียบพลัน แปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งเส้นแสงหลากสีเข้าปกคลุมกระบี่เต๋าวิบัติทั้งเล่ม

กระบี่คำรนเลื่อนลั่นราวคลื่นโถม ส่งเสียงเลื่อนลั่นเยี่ยงอัสนีทั่วทิศ!

รัศมีเรืองรองสาดส่องทั่วพื้นผิวครามเข้มของกระบี่ พลังอันลึกลับคลุมเครือสายหนึ่งไหลบ่าสู่ภายใน

ขวับ!

กระทั่งพลังโกลาหลอันปกคลุมก้นหุบเหวยังถูกดึงมาหา พุ่งเข้าสู่กระบี่เต๋าวิบัติอย่างบ้าคลั่ง

ชั่วขณะนั้น เสียงกู่ร้องกึกก้องเป็นเกลียวคลื่น สรรพสิ่งถูกรัศมีกระบี่เต๋าวิบัติสาดคลุม เป็นภาพยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างล้นพ้น

เฉินซีอยากหยุดเรื่องทั้งหมดนี้ แต่มิเพียงไม่อาจเข้าใกล้กระบี่เต๋าวิบัติ เขากระทั่งถูกผลักเซถอยไปสองสามก้าว ทำให้สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างเกินคะเน

“เฉินซี ดวงจิตที่สังสารวัฏขาดไปคือข้า สิ่งที่นิกายอำนาจเทวะปรารถนาครอบครองเสมอมาคือดวงจิตสังสารวัฏซึ่งแปรลักษณ์จากข้านี่แหละ” เสียงที่คุ้นเคยของจิ่วหลิงดังออกมาจากในรัศมีเรืองโรจน์ ให้ความรู้สึกสงบสุขุมและเปิดเผย

“ข้าคือผู้ช่วงชิงคนแรกของยุคที่เก้า แปรลักษณ์เป็นดวงจิตสังสารวัฏนับแต่ได้ครอบครองแผนภาพวารีหลาก และตั้งใจจะใช้เรื่องนี้เพื่อบรรลุมหาวิถีสู่เต๋า แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวยามเจียนสำเร็จ”

“เจ้าไม่เหมือนกับข้า เจ้าได้ครอบครองมรดกของแปดยุคสมัยก่อนหน้า กระทั่งผนวกสืบทอดอำนาจของแปดผู้ช่วงชิงคนอื่น ๆ ในยุคนี้ เส้นทางของเจ้าย่อมสานจากอดีตเบิกสู่อนาคต ต้องพ้นพันธนาการแห่งยุคสมัย บรรลุขอบเขตการบ่มเพาะอันเป็นอนันต์ได้”

“แต่เจ้าต้องระวังเจ้านิกายอำนาจเทวะไว้ ทุกคนในโลกหล้าคิดว่าเจ้านิกายอำนาจเทวะเป็นเพียงสุนัขเฝ้าบ้านของเต๋าสวรรค์ แต่มีเพียงข้าที่ตระหนักดีว่าเขาน่ากลัวยิ่งกว่ายอดฝีมือผู้อื่นห่างไกล ถึงกระทั่งสิ่งที่เขาแสวง… มิใช่สิ่งที่เต๋าสวรรค์มอบให้ได้เลย!”

เสียงของนางแผ่วจางกระท่อนกระแท่นขึ้นตามกาล ราวเป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้าย หามีความยินดียินร้ายไม่ สงบสำรวมแม้วาระสุดท้าย

ขณะที่เสียงของนางเงียบหาย กระบี่เต๋าวิบัติก็ส่งเสียงโหยไห้อาวรณ์ไปทั่วหุบเหวสู่สวรรค์ กระจายไปทั่วโลกหล้า

เฉินซียืนจ้องกระบี่เต๋าวิบัติด้วยสายตาเหม่อลอย สรรพสิ่งที่นางฝากฝังยังก้องอยู่ในโสต เขายังจำใบหน้าและรูปลักษณ์ของนางได้ชัดเจน แต่ในใจนั้นเศร้าหมองจนใจยิ่ง

ยามดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลแปรสภาพเป็นดวงจิตสังสารวัฏและสลายไป และยามกระบี่เต๋าวิบัติโหยไห้อาดูร ทั่วทั้งแดนก่อกำเนิดบาปสั่นสะท้าน

ทั่วฟ้าดินหม่นรัศมี ขณะที่มวลเต๋าราวคร่ำครวญ!

ปฐมบรรพชนสิ้นแล้ว….

หลังจากนั้น ทุกสีหน้าก็แปรเปลี่ยน อุทานออกมาอย่างไม่อาจยั้ง

“ไม่!!!!”

“เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้? สวรรค์ไม่ยุติธรรม! สวรรค์ไม่ยุติธรรม!”

“ปฐมบรรพชน! ปฐมบรรพชน! เหตุใดจึงทอดทิ้งคนของท่านเอง?”

“นี่ไม่ใช่เรื่องจริง! ไม่จริง!”

เสียงโหยไห้รวดร้าวมากมายดังระงมทั่ว ‘นครกลางเวหา’ ซึ่งเคยเป็นแดนก่อกำเนิดบาป ต่างผู้ดูเหมือนสิ้นการควบคุมอารมณ์ โลกหล้าร่วมอาลัย

ความตายของปฐมบรรพชนทำให้พวกเขาเหมือนสิ้นที่พึ่งพิงทางใจ และผลกระทบสาหัสนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่มหาเทพเต๋าเก่าแก่อาวุโสยังไม่อาจรับไหว กระทั่งพวกเขายังเริ่มโหยไห้อย่างอาดูรไม่จบสิ้น

“เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้?”

“ต้องเป็นเพราะผู้ช่วงชิงสมควรตายนั่นแน่!”

“ไม่สิ! ปฐมบรรพชนจะถูกผู้ช่วงชิงนั่นทำร้ายได้อย่างไร?”

“แต่… มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ทั่วทั้งแดนก่อกำเนิดบาปปั่นป่วน ทุกเผ่าพันธุ์และสรรพชีวิตที่นี่ล้วนอาลัยระคนลนลาน ประหนึ่งท้องนภาถล่มลงใส่

สิ่งนี้แสดงชัดว่าสถานะของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลในหัวใจพวกเขาสูงส่งเพียงไร

แต่แท้จริงแล้ว มันก็เป็นเรื่องพอเข้าใจได้ แดนก่อกำเนิดบาป ไม่สิ… โลกหล้าของทายาทศักดิ์สิทธิ์นั้นสร้างขึ้นโดยดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล นางจึงไม่ต่างจาก ‘ผู้สร้าง’ ของสรรพชีวิตที่อาศัยและฝึกฝนในแดนก่อกำเนิดบาปเลย

“หือ? ปฐมบรรพชนของผู้รุกรานเต๋าตายแล้วหรือ?” ทันใดนั้น หนึ่งเสียงก็เลื่อนลั่นเช่นฟ้าร้อง กึกก้องไปทั่วทิศ

วูบ!

เสียงโหยไห้ทั่วทั้งแดนก่อกำเนิดบาปเงียบกริบลงเฉียบพลัน กลายเป็นความวังเวงไร้สำเนียง

หลังจากนั้น หนึ่งเสียงก็อุทานขึ้น “แย่แล้ว! ข้ารับใช้เต๋าลำดับสี่ มหาเทพเต๋าอสนีบาต!”

“อะไรนะ? สิบสามข้ารับใช้เต๋ามานี่หรือ!?”

“พวกเขา… มิใช่คิดฉวยโอกาสจากสถานการณ์ กวาดล้างเราทายาทศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์หรอกหรือไม่!?”

น่าสะพรึงยิ่งนัก!

กระทั่งในหมู่มหาเทพเต๋า ความแข็งแกร่งยังไม่เท่ากัน โดยตัดสินจากการบรรลุมหาเต๋าแห่งลิขิตของแต่ละคน

ยิ่งบรรลุเข้าใจมหาเต๋าแห่งลิขิตอย่างบริสุทธิ์ลึกล้ำกว่า ยิ่งแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวกว่ากัน

เห็นได้ชัดว่าระดับการบรรลุมหาเต๋าแห่งลิขิตของมหาเทพเต๋าอสนีบาตร้ายกาจอย่างยิ่ง หาไม่ คงไม่อาจแผลงฤทธิ์กดดันมหาศาลได้เพียงนี้

หลังก่อร่างมนุษย์ขึ้น มหาเทพเต๋าอสนีบาตมิได้เปิดฉากโจมตี ดูเหมือนกำลังรอบางสิ่ง

จริงเช่นนั้น เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ธารนทีแห่งกาลเวลาก็หลากจากท้องนภาแสนไกล แปรเปลี่ยนเป็นชายชราร่างผอมผู้มีบรรยากาศแห่งกาลเวลาหนาแน่นในดวงตา

เขาคือมหาเทพเต๋ากาลวัฏ!

ขณะเดียวกันนั้นเอง หนึ่งลำแสงทะยานผ่านฟ้าเช่นแสงแรกแห่งอรุณแหวกอนธการ ทันทีที่ปรากฏขึ้นก็สว่างไสวไปทั่วโลกหล้า

หลังจากนั้น ลำแสงนั้นก็ควบตัวเป็นชายชราชุดขาวผู้หนึ่ง สีหน้าดูโอบอ้อมอารี ทั่วร่างให้บรรยากาศสะอาดอบอุ่นและสว่างไสว

เขาคือมหาเทพเต๋าอาโลกะ!

เพียงพริบตา สามข้ารับใช้เต๋าก็รวมตัวกันที่นี่ ฤทธายิ่งใหญ่ปกคลุมทั่วหล้า ทำให้ทั่วทิศหม่นแสง เต๋าทั้งมวลโหยไห้

เมื่อสังเกตว่าผู้มาถึงที่นี่มีเพียงสามจากสิบสามข้ารับใช้เต๋า บรรดามหาเทพเต๋าในแดนก่อกำเนิดบาปก็หาผ่อนคลายไม่ แต่หัวใจเกิดกระแสเย็นเยือกขึ้นเสียแทน!

ข้ารับใช้เต๋าสามคนนี้เป็นตัวตนร้ายกาจระดับสูงสุดในหมู่สิบสามข้ารับใช้เต๋า นอกจากข้ารับใช้เต๋าลำดับหนึ่ง มหาเทพเต๋าสวรรค์พิโรธ ข้ารับใช้เต๋าลำดับสอง สาม และสี่อยู่ที่นี่พร้อมหน้า

แม้จะมากันเพียงสาม แต่ก็ไร้มหาเทพเต๋าผู้ใดในทุกเผ่าผู้รุกรานเต๋าประชันฤทธิ์พวกเขาได้!

แม้จะรุมโจมตีข้ารับใช้เต๋าทั้งสาม ก็ยังอาจถูกสยบราบคาบโดยมิอาจฆ่าอีกฝ่าย!

“ปฐมบรรพชนแห่งผู้รุกรานเต๋าสิ้นแล้วหรือ?” มหาเทพเต๋ากาลวัฏขมวดคิ้ว เมินมหาเทพเต๋าทั้งมวลในแดนก่อกำเนิดบาป เพ่งสายตาสู่ส่วนลึกของแดนก่อกำเนิดบาปเสียแทน

“ตอนที่ข้ามาถึง มันก็หายวับไปเฉย ๆ” มหาเทพเต๋าอสนีบาตเอ่ยเสียงเบา

“สังเกตเห็นสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?” มหาเทพเต๋ากาลวัฏถาม

“มีเพียงหนึ่งเสียงกระบี่กู่ก้อง เหมือนเสียงคร่ำครวญอาวรณ์ ข้ายังไม่มีเวลาไปตรวจสอบเลย” มหาเทพเต๋าอสนีบาตพูดรัวเร็ว

“เราจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดใดไม่ได้ ต่อให้เป็นกับดักหรือปฐมบรรพชนของผู้รุกรานเต๋าตายไปแล้วจริง ๆ เราก็ยังต้องไปตรวจสอบด้วยตนเอง หนนี้เราต้องนำดวงจิตสังสารวัฏกลับไปให้ได้” มหาเทพเต๋ากาลวัฏกล่าวเสียงเข้ม

“ถูกต้อง” มหาเทพเต๋าอาโลกะซึ่งไร้วาทะเสมอมาพยักหน้าเสริม

นับแต่แรกปรากฏ พวกเขาทั้งสามก็เสวนากันเอง เมินมหาเทพเต๋าจากเผ่าผู้รุกรานเต๋าไปสิ้น ดูอหังการยิ่งนัก เหมือนมิได้มาปรากฏตัวในส่วนลึกของค่ายศัตรู แต่มาเดินเล่นในถิ่นตนเอง

เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้สีหน้าของมหาเทพเต๋าจากเผ่าผู้รุกรานเต๋าทั้งมวลมืดคล้ำบูดบึ้ง

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]