บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 244

บทที่ 244 สลักสวรรค์

บทที่ 244 สลักสวรรค์

เฉินซีรู้สึกราวกับว่าเขาถูกตบหน้าด้วยขนมที่ตกลงมาจากฟ้า*[1] ทำให้เขารู้สึกตกใจและประหลาดใจ

เมื่อตอนที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนีโจมตีด้วยความเดือดดาล เฉินซีไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดเลยนอกจากรีบหลบออกมาให้ไกล เขาไม่เคยคิดว่าสมบัติล้ำค่าที่มีรูปลักษณ์เป็นกุญแจจะบินตรงมาหาเขา!

ไม่ว่านี่จะเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตหรือความบังเอิญครั้งเดียวในรอบพันปี แต่เขาก็ได้รับมันแล้ว ซึ่งแทบจะไม่ต่างอะไรกับความมั่งคั่งที่ตกลงมาจากสวรรค์เลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจที่สุดคือ ทันทีที่เขาคว้าสมบัติรูปกุญแจนี้ เสียงอันเก่าแก่ของเจ้าของขุมสมบัติก็ดังก้องในใจของเขา

“สมบัติชิ้นนี้เรียกว่าสลักสวรรค์ มันเป็นหนทางเดียวที่ใช้เปิดห้องโถงลับในตำหนักเต๋านภาของข้า ภายในนั้นมีสมบัติอันเป็นมรดกกว่าแสนปีของตำหนักเต๋านภา อาทิ ตำราเต๋า สมบัติวิเศษ โอสถเม็ด หุ่นเชิด และของแทบทุกสิ่งอย่าง ข้าหวังว่าหลังจากที่เพื่อนตัวน้อยของข้าได้รับสมบัติภายในห้องโถงลับนี้แล้ว เจ้าจะรับศิษย์แล้วสืบทอดเต๋าและทักษะความรู้ของตำหนักเต๋านภา และสร้างตำหนักเต๋านภาอันยิ่งใหญ่ของข้าขึ้นใหม่อีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงจะสามารถยิ้มออกได้เมื่อยามอยู่ในเก้าสวรรค์”

สลักสวรรค์? เป็นกุญแจสำคัญในการเปิดห้องโถงลับในตำหนักเต๋านภา!

เฉินซีรู้สึกตกใจไม่น้อย เมื่อเขานึกถึงบรรดาสมบัติทั้งหมดที่เขาปล้นและได้รับมาตลอดทางนับตั้งแต่เข้ามาในขุมสมบัติเฉียนหยวน โอสถเหลวหยกนภาเกือบหนึ่งแสนเม็ด ค่ายกลกระบี่มหาปราณที่สร้างขึ้นจากกระบี่ระดับปฐพีนับหมื่น วัตถุดิบวิญญาณที่หายากและประเมินค่าไม่ได้แทบทุกประเภท…

ดูจากสมบัติล้ำค่าที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ มันก็พอที่จะตัดสินได้ว่าความแข็งแกร่งของตำหนักเต๋านภานั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่หลิงไป๋เคยกล่าวไว้ว่า เพียงมหาค่ายกลที่น่าหวาดหวั่นบริเวณทางเข้าตำหนักที่สร้างขึ้นด้วยกระบี่ระดับสวรรค์ชั้นยอดนับหมื่นและกระบี่อมตะอีกถึงเก้าเล่ม ที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ก็ยังไม่อาจรอดชีวิตออกไปได้นั้นอีก

จากความมั่งคั่งมากมายในที่แห่งนี้ ก็พอจะพาให้จินตนาการได้ไม่ยากแล้วว่า ภูมิหลังและความแข็งแกร่งของตำหนักเต๋านภานั้นยิ่งใหญ่จนน่ายำเกรงขนาดไหน

“สมบัติอายุหนึ่งแสนปีของตำหนักเต๋านภาล้วนถูกซ่อนอยู่ในห้องลับ และจะต้องมีสมบัติที่น่าอัศจรรย์เก็บไว้ในนั้นอย่างแน่นอน… เจ้าของขุมสมบัติกล่าวไม่ผิดเลย สลักสวรรค์นี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีใครเทียบได้จริง ๆ หากมันตกไปสู่โลกภายนอก ข้าเกรงว่ามันคงทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะเป็นบ้าไปเลยแน่ ๆ จริงหรือไม่?” เฉินซีอดที่จะประหลาดใจไม่ได้

“ฮ่า ๆๆ! การทดสอบทั้งสามสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ว่าจะถูกหรือผิด สำเร็จหรือล้มเหลว สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ย่อมจางหายไปตามกาลเวลา! เด็กดื้อเอ๋ย จงไปแสวงหาการเกิดใหม่ สานต่อชะตากับตำหนักเต๋านภาในชาติภพหน้า และใช้ชีวิตอยู่ให้ถึงวันที่โชคนำพาให้ได้สานสัมพันธ์ครูศิษย์อีกคราเถิด”

ตอนนั้นเอง เสียงอันเก่าแก่ดังก้องขึ้นและกวาดไปทั่วอย่างรวดเร็ว ดุจระฆังที่ก้องกังวานสะท้อนทั่วสวรรค์และโลกอยู่ครู่ใหญ่ ช่างเป็นน้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกสบายใจหลังจากได้รับการปลดปล่อยจากบางสิ่ง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทุกคนก็ตึงเครียดขึ้นในทันใด พวกเขาไม่กล้าเชื่อหูตัวเองแม้เพียงน้อย การทดสอบที่สามจบลงเพียงเท่านี้? แล้วสมบัติล้ำค่าตกไปอยู่ในมือใครกัน?

มีเพียงหวงฝู่ฉงหมิงกับอีกไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่รู้ว่า เฉินซีกลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเดินทางเพื่อค้นหาสมบัติคราวนี้!

นับตั้งแต่เข้าสู่ขุมทรัพย์เฉียนหยวน เขาค้นหาและคว้าหยิบสมบัติแทบทุกอย่างในการทดสอบสามครั้งสุดท้าย เขาได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋า โอสถทิพย์กำเนิดเต๋า และสุดท้ายก็ได้สมบัติล้ำค่าในรูปลักษณ์กุญแจมา แล้วใครจะกล้าพูดว่าเขาไม่ใช่ผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยามนี้?

“โฮก~” เมื่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนีที่สูงใหญ่ดุจภูเขาได้ยินเสียงกังวานนั่น มันก็เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าและคำรามออกมา เสียงคำรามที่น่าสังเวชของมันก็เผยให้เห็นความเศร้าโศกและความไม่เต็มใจที่อัดแน่น ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกสะเทือนใจไม่ใช่น้อย

เมื่อเสียงคำรามดังก้องออกไป ทุกคนก็ได้เห็นดวงตาที่เหมือนพระจันทร์สีเลือดของซวนหนีผู้มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ ที่กวาดสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกว่าหกสิบคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว กำลังหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายทั้งสองข้าง จากนั้นทั้งตัวของมันก็อาบไปด้วยแสงสีทองที่ลุกโซนขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างกายที่สูงราวร้อยจั้งได้หดตัวลงหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง จนเปลี่ยนกลายเป็นลูกบอลแสงสีทองที่พร่างพราย

ลูกบอลแสงสีทองนั้นสามารถมองเห็นถึงสิ่งที่อยู่ด้านในได้อย่างราง ๆ ภายในนั้นมีเด็กหนุ่มในชุดคลุมของนักพรต ผูกผมเป็นมวย กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยสีหน้าโศกเศร้า กลับกลายเป็นว่าเด็กหนุ่มนักพรตผู้นี้คือร่างจำแลงของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนี!

“เด็กดื้อเอ๋ย จงไปแสวงหาการเกิดใหม่ สานต่อชะตากับตำหนักเต๋านภาในชาติภพหน้า และใช้ชีวิตอยู่ให้ถึงวันที่โชคนำพาให้ได้สานสัมพันธ์ครูศิษย์อีกคราเถิด… ” เสียงที่หลงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลกยังคงก้องกังวานต่อไปไม่รู้จบ

ทุกคนเข้าใจในทันทีว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขากำลังต่อสู้ด้วยก่อนหน้านี้คือศิษย์ผู้หนึ่งที่เจ้าของขุมสมบัติได้รับเอาไว้ ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ

“ในกาลก่อนที่ยาวนานและห่างไกล วันเวลาผ่านไปอย่างสดใส ข้าใช้ชีวิตและเติบโตอย่างป่าเถื่อนและดุร้าย จนในที่สุดวันหนึ่งข้าก็ได้ครูที่ดีมาให้การศึกษาแก่ข้า”

“ท่านถ่ายทอดทักษะพิเศษและเต้าจ้าง*[2]ให้แก่ข้า รากฐานของปัญญาถูกวาง รากฐานของเต๋าก็เสร็จสมบูรณ์ ในที่สุดก็เป็นได้ดั่งความคาดหวังในใจของอาจารย์ ข้าหลั่งน้ำตาขอบคุณแด่บุญคุณนี้”

“บ้านของข้า รากเหง้าของข้า ทั้งคู่คือตำหนักเต๋านภา ในเมื่อชีวิตนี้ถึงคราสิ้นสุดแล้ว ข้าก็จะขอตอบแทนอาจารย์ในชาติภพหน้า ท่านอาจารย์ที่เคารพ ขอโปรดอย่าลืมศิษย์ไร้ประโยชน์ผู้นี้”

เสียงที่อ่อนเยาว์และกระจ่างใสดังออกมาจากภายในลูกบอลแสงสีทอง เขากล่าวคำด้วยเสียงอันทรงพลังดังกึกก้องไปทั่วโลกหล้า สีหน้าเศร้าหมองของเด็กหนุ่มนักพรตเผยให้เห็นความแน่วแน่ที่ไม่อาจลบล้าง ในขณะที่เขาลุกขึ้นยืน เปลวเพลิงสีทองอันไม่มีที่สิ้นสุดปะทุออกมาจากทั่วร่างกายของเขาอย่างฉับพลัน จากนั้นร่างกายทั้งหมดของเขาก็หลอมละลายภายในเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำก่อนจะหายไปจากโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์

บางทีเขาอาจมุ่งไปสู่วงจรแห่งการเกิดใหม่แล้ว

เมื่อเห็นฉากนี้ ในหัวใจของทุกคนก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้น นิกายแบบใดและอาจารย์เช่นใดกันที่สามารถทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างซวนหนีภักดีและอุทิศตนให้ได้ถึงขนาดนี้?

“ผู้อาวุโส ข้าได้รับความโปรดปรานจากท่านในวันนี้มามากมายนัก หากในอนาคตข้าได้รับสมบัติลับของตำหนักเต๋านภามา ข้าจะก่อตั้งนิกายและสร้างตำหนักเต๋านภาขึ้นใหม่อีกครั้ง ส่งต่อเจตนารมณ์ให้เปลวเพลิงของมันคงอยู่คู่สวรรค์และโลกตลอดไป” ความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะทำบางสิ่งเพื่อตำหนักเต๋านภาก่อเกิดขึ้นในใจของเฉินซี เขาไม่ได้ต่อต้านความตั้งใจที่เกิดขึ้นมานี้ และตัดสินใจแล้วว่าเขาจะทำให้ตำหนักเต๋านภาปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้งอย่างแน่นอน อาบมหาเต๋าแห่งสวรรค์และโลก และเจริญรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์!

“เอ๊ะ! นี่ข้ารอดมาได้อย่างไรกัน?”

“เมื่อครู่… ไม่ใช่ว่าข้าตายไปแล้วหรอกหรือ?”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีทองจำนวนมากก็ลุกโชนขึ้น และผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่เสียชีวิตจากน้ำมือของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ ก็ได้กลับมามีชีวิตด้วยเปลวเพลิงสีทองและปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาทุกคนอีกครั้ง!

ไม่สิ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ตายลงจริง ๆ พวกเขาแค่ถูกพลังเหนือธรรมชาติของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปกปิดเอาไว้เท่านั้น

“ปรากฏว่าการทดสอบครั้งที่สาม ไม่ได้ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นแต่อย่างใด ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าของขุมสมบัติจะใจบุญและน่าชื่นชมขนาดนี้”

“ใช่แล้ว แม้ว่าขุมสมบัติที่ผู้อาวุโสท่านนี้ทิ้งไว้จะมีการทดสอบ แต่สมบัติก็กลายเป็นของขวัญแก่ผู้ที่ถูกลิขิตไว้ เขาไม่มีความตั้งใจที่จะทำร้ายผู้ใดแม้แต่น้อย ในโลกแห่งการบ่มเพาะเช่นปัจจุบันนี้ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เช่นนี้ช่างหาได้ยากอย่างแท้จริง”

“บางที นี่อาจเป็นนิสัยและตัวตนที่แท้จริงของนิกายที่ยิ่งใหญ่ มีเพียงจิตใจที่กว้างขวางเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเอื้อเฟื้อต่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จนถึงจุดที่ทำให้ซวนหนียอมจำนนต่อนิกายอย่างจริงใจได้ แม้ว่าพวกมันจะตายจากไปแต่ก็ยังรู้สึกขอบคุณ”

ผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างก็ถอนหายใจ เมื่อพวกเขาเห็นสหายเต๋าที่ ‘ตายลงแล้ว’ เหล่านี้ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง ความเคารพและความชื่นชมที่มีต่อเจ้าของขุมสมบัติอย่างไม่รู้จบก็ปรากฏขึ้นในใจของพวกเขา

ยิ่งได้เห็นเช่นนี้ เฉินซีก็ยิ่งอยากรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับตำหนักเต๋านภามากขึ้นไปอีก

ครืน! ครืน!

จังหวะต่อมา ท้องฟ้าและโลกต่างก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับว่าพวกมันกำลังจะพากันถล่มประหนึ่งโลกถึงกาลอวสาน พื้นที่อันไร้ขอบเขตและรกร้างว่างเปล่าเริ่มเผยให้เห็นรอยร้าวที่มีความยาวหลายพันจั้งจำนวนมากขึ้น ภาพโดยรอบในเวลานี้นับว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง

“เกิดอะไรขึ้น? ขุมสมบัติกำลังจะพังทลายและหายไปอย่างนั้นหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]