บทที่ 252 แส่หาเรื่อง
บทที่ 252 แส่หาเรื่อง
ความคิดหลากหลายประดังประเดเข้ามาในใจของเป่ยเหิง แต่ปฏิกิริยาภายนอกมีเพียงรอยยิ้มแสดงความประหลาดใจให้เห็นเท่านั้น “เฉินซีเป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้า ถ้าเขาทำให้สหายเต๋าขุ่นเคืองใจไม่ว่าด้วยเรื่องอันใด ข้าต้องขออภัยแทนเขาด้วยและหวังว่าพวกเจ้าจะยกโทษให้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง อาจก้าวร้าวและบุ่มบ่ามไปบ้าง สหายเต๋าล้วนจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คงจะไม่ถือสาหาความเด็กมันหรอก ใช่ไหม”
วาจาไร้ที่ติเยี่ยงสุภาพชน โดยออกปากขอโทษก่อนจะซ่อนความนัยเตือนสติคนเหล่านั้น การที่คนผู้มีอาวุโสลดตัวลงไปวอแวกับคนที่มีสถานะด้อยกว่า มันไม่น่าละอายหรอกหรือไร
คำพูดของเป่ยเหิงปกป้องเฉินซีอย่างออกนอกหน้าซึ่งไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย เพราะคนที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ล้วนเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจมากล้นจนทำให้โลกทั้งโลกสั่นสะเทือน อีกอย่างทั้งสถานะ ตัวตนและพลังของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเอง ดังนั้นการใช้วาจาอย่างเป็นกลางเช่นนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว
“หึ! สหายเต๋าเป่ยเหิง จักรพรรดิเป็นคนที่ชอบตรงไปตรงมา เกลียดการอ้อมค้อมที่สุด ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร แต่ที่รู้เวลานี้น้องชายร่วมสาบานของเจ้าได้ยึดเอาสมบัติสูงค่าที่บุตรชายของข้าครอบครองไว้ซึ่งก็คือเตาหลอมจ้าวฟ้าเก้าอสรพิษ ข้ามาที่นี่เพื่อจะบอกให้เจ้าส่งตัวอันธพาลคนนั้นมาให้พวกเรา คิดให้ดีและอย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธ!” หวงฝู่จิ่งเทียนผู้เป็นราชาแห่งตำหนักจ้าวปัญญากล่าวอย่างเย็นชาด้วยน้ำเสียงก้องกังวานดั่งระฆัง สะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถงชุมนุม ผู้เป็นเจ้าของเสียงสวมมงกุฎชุบทองคำทรงสูง ชุดคลุมสีเหลืองเข้มปักลวดลายงูเหลือมเก้าตัวสะบัดพลิ้วไปตามกระแสลม ทีท่าสง่างามดูน่าเลื่อมใส ไม่เปิดช่องให้เป่ยเหิงใช้วาจายอกย้อนและต้องการจะต้อนให้จนมุม
‘เตาหลอมจ้าวฟ้าเก้าอสรพิษอย่างนั้นหรือ?’
หลังจากได้ฟังดังนั้น ทำให้เป่ยเหิงนึกตกใจอยู่เงียบ ๆ แม้ว่าตนจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ทว่าในเมื่อมาอยู่ในมือของโอรสของราชาแห่งตำหนักจ้าวปัญญา ฉะนั้นย่อมเป็นของสูงค่าอย่างแน่นอน สิ่งที่เหนือความคิดหมายก็คือเหตุใดน้องชายร่วมสาบานของเขาจึงยึดสมบัติล้ำค่าขององค์ชายได้เล่า ทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาจะทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นได้อย่างไร
ลึก ๆ ในใจเขาคิดว่าเฉินซีไม่ใช่คนใจกล้าบ้าบิ่นหรือมีนิสัยหยาบกระด้างแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขาเป็นคนฉลาดและเป็นคนมีไหวพริบเสียด้วยซ้ำ หากจะว่าไปในด้านความใจเย็นและจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงแล้ว เฉินซีไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ตาแก่ที่มีชีวิตอยู่มานานหลายพันปีเลย ดังนั้นการที่เฉินซีจะทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบเช่นนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลย
‘หรือว่านี่เป็นเพียงข้ออ้าง?’ ความคิดมากมายพลันแวบเข้ามาในใจของเป่ยเหิงทันที จากนั้นเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นสังเกตท่าทีของผู้บ่มเพาะเบื้องหน้าพลางนึกในใจกับตนเอง อาจจะยกเรื่องเก่ามาอ้างเหมือนกับหวงฝู่จิ่งเทียนสินะ
“อย่าเดาเสียให้ยากเลยสหายเต๋าเป่ยเหิง ไม่เพียงน้องชายร่วมสาบานของเจ้าจะยึดสมบัติวิเศษของโอรสแห่งราชาของตำหนักจ้าวปัญญาเท่านั้น แม้แต่สมบัติล้ำค่าของศิษย์เราก็ตกอยู่ในมือของเจ้าเด็กนั่นทั้งหมด เช่นนี้แล้วจะว่าไม่สมควรที่พวกเราจะสั่งสอนเด็กอันธพาลแบบนี้ไม่ได้แล้ว จริงหรือไม่” เวลานั้นนักพรตเต๋าหลงเหอผู้มีเส้นผมสีเงินแซมขาวสะท้อนแสงเป็นประกาย สวมผ้าคลุมนักพรตเต๋า ผิวพรรณเปล่งประกาย ลักษณะเหมือนบัณฑิตผู้ทรงความรู้
“ใช่ เจ้าเด็กนั่นมันเป็นอันธพาลที่ใช้วิธีต่ำทรามยิ่งกว่าพวกนิกายปีศาจด้วยซ้ำ ที่พวกเรามาวันนี้ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้สหายเต๋าเป่ยเหิงต้องลำบากใจ ถ้าเจ้าส่งเด็กคนนั้นมาให้ พวกเราจะไปทันที”
“สหายเต๋าเป่ยเหิงด้วยสถานะอย่างพวกเราย่อมจะไม่มีทางหลอกลวงเจ้าอยู่แล้ว จงไตร่ตรองดูให้รอบคอบและรีบตัดสินใจโดยด่วน ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นสหายเต๋าด้วยกัน ข้าขอรับประกันว่าตราบใดที่พี่น้องร่วมสาบานของเจ้าเชื่อฟังและให้ความร่วมมือแต่โดยดี ชีวิตเขาก็จะไม่มีอันตราย มิฉะนั้นจะโทษที่พวกเราไม่อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด”
ฝ่ายโม่หลานไห่ผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งเกาะฉลามมังกร หลิวเสี่ยวประมุขแห่งภูเขานภาลัย จ้าวจื๋อเหม่ยแห่งนิกายสวรรค์ปฐพีและชงซวี่แห่งนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า ต่างเอ่ยขึ้นในทำนองเดียวกัน และพวกเขาก็ไม่ได้นิ่งเงียบอีกต่อไป
เป่ยเหิงใจหายวาบ ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าใจถึงสาเหตุที่คนเหล่านี้มาปรากฏตัวแล้ว สัญชาตญาณของเขายังบอกกับตนเองด้วยว่าท่าทางเรื่องนี้คงไม่ได้ง่ายดายเสียแล้ว
‘ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้พร้อมใจกันออกมาจากที่มั่นของตนเพื่อมายังนิกายของข้าก็เพราะเห็นแก่สมบัติล้ำค่าของศิษย์นิกายของพวกเขาอย่างนั้นหรือ’
‘ไร้สาระ!’
ในฐานะที่ตนก็เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่ง สำหรับเป่ยเหิง เขาจะไม่มีทางออกจากที่มั่นตนเองไปเคาะประตูบ้านคนอื่นเพราะความแค้นส่วนตัวเรื่องสมบัติล้ำค่าที่ศิษย์ทำหายไปอย่างแน่นอน
เพราะเรื่องนี้สำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีมันเล็กน้อยเกินไป ไม่ได้สลักสำคัญมากพอที่เสาหลักของนิกายจะต้องออกหน้า หรือเรื่องผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติและขอบเขตสถิตกายาที่นิกายอุปถัมภ์ค้ำจุนทั้งหมดนั้นเป็นแค่เพียงเบื้องหน้า การที่พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัวอย่างนั้นหรือ?
ข้ออ้าง!
ที่แท้หัววัวก็ไม่ตรงกับปากม้า*[1]…พวกมันมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างแน่นอน!
ความเข้าใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เป่ยเหิงไม่อาจใช้ข้ออ้างนั้นสร้างความเจ็บปวดให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้ ในโลกแห่งการบ่มเพาะบางครั้งมักกล่าวอ้างคุณธรรมเวลาจะกระทำสิ่งไม่ดีหรือน่ารังเกียจมิใช่หรือ
แน่ละ บางทีข้ออ้างก็ใช้ได้ผล บางคนสามารถใช้ช่องว่างอันน้อยนิดของกลยุทธ์และเจรจาพูดคุยจนได้รับชัยชนะทางอ้อม อย่างน้อย ๆ พวกเฒ่าประหลาดที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็ไม่ได้คิดจะลงมือทันทีโดยไม่สนใจถามไถ่หรือรับฟังสิ่งที่เขาชี้แจง
นี่เป็นผลอันน่าอัศจรรย์ของข้ออ้างที่อาจเป็นได้ทั้งในเชิงจู่โจมและป้องกัน แต่แก่นแท้ของการแข่งขันยังคงเป็นเรื่องของความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นหลักการสูงสุดที่ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง
น่าเสียดายที่หนนี้ไม่มีช่องให้เปิดการเจรจาและใช้กลยุทธ์ ด้วยข้ออ้างที่หวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่นยกขึ้นมานั้น ไม่ได้สนใจว่าเป่ยเหิงจะเห็นด้วยหรือไม่
เป่ยเหิงทั้งโกรธเคืองและรู้สึกหดหู่เป็นอันมากทีเดียวที่ถูกบีบบังคับให้ยอมร่วมมือกับกองกำลังอื่นและเขาก็ไม่ยอมโดยง่ายอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงเสียงถอนหายใจดังออกมา “สหายเต๋ามาช้าเกินไป น่าเสียดายที่เมื่อหนึ่งปีก่อนน้องชายร่วมสาบานของข้าได้ออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรไปแล้ว และตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด แล้วเช่นนี้จะให้ข้าส่งตัวเขาให้พวกเจ้าได้อย่างไร”
เขาพูดความจริง ดังนั้นจึงตอบตรงไปตรงมาโดยไม่ปัดสวะให้พ้นตัวด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...