บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 251

บทที่ 251 รวบรวมจากทุกสารทิศ

บทที่ 251 รวบรวมจากทุกสารทิศ

เฉินฮ่าวยังคงนั่งขัดสมาธิโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาอยู่บนพื้นและไม่เคลื่อนไหวมากว่าสามวันแล้ว

ตั้งแต่เฉินซีหมดสติไปจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมาสักครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะใช้โอสถทั้งหมดที่สามารถหาได้ไปแล้ว ทว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเฉินซีก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย หากเป็นไปตามที่ภรรยาของเขาเฟยเหลิ่งชุ่ยคาดการณ์ไว้ ภายในสามเดือนหากเฉินซียังคงไม่ตื่นขึ้นมา เฉินซีจะกลายเป็นคนพิการ

ข่าวนี้ทำให้เฉินฮ่าวรู้สึกกังวล เปลวไฟแห่งความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในอกของเขามีมากเสียจนแทบทำให้หายใจไม่ออก แม้ว่าเขาจะรู้ว่าศัตรูที่อยู่ด้านนอกค่ายกลได้ล่าถอยไปนานแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดที่จะผละออกไปจากแกนกลางของค่ายกลแต่อย่างใด

เนื่องจากพี่ชายของเขาสั่งให้เขาทำเช่นนี้ ฉะนั้นเขาก็จะดันทุรังปกป้องมันต่อไปจนกว่าพี่ชายของเขาจะตื่นขึ้น เฉินฮ่าวทำได้เพียงอธิษฐานให้พี่ชายของเขาฟื้นตัวให้เร็วขึ้น…

ในขณะที่เฉินซีหมดสติอยู่ สถานการณ์ของโลกด้านนอกก็ปั่นป่วนอย่างรุนแรงราวกับพายุโหมกระหน่ำ

ณ พระราชวังสีนิลที่สูงตระหง่านและงดงามบนถนนของนครหลวงธารสายไหม ที่เบื้องหน้าทางเข้าได้รับการคุ้มกันโดยรูปปั้นมังกรเกล็ดดำสองตัวที่กำลังคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยท่าทางดุร้าย ซึ่งสร้างความรู้สึกหวาดกลัวแก่ผู้คนเบาบาง ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาไม่กล้าที่จะมองพระราชวังตรง ๆ

ภายในห้องโถงที่กว้างขวางและงดงามของตำหนักจ้าวปัญญา หวงฝู่ฉงหมิงผู้สวมเสื้อคลุมสีเหลืองสดใสยืนอยู่ทางซ้ายด้วยท่าทีเปี่ยมความเคารพ

“ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มที่มีนามว่าเฉินซี ไม่เพียงแต่จะได้รับสมบัติล้ำค่าส่วนใหญ่ในขุมสมบัติเฉียนหยวนไปเท่านั้น แต่เขายังครอบครองสมบัติอมตะถึงสามชิ้นอีกด้วย” ชายวัยกลางคนผู้มีรูปร่างสูงกำยำนั่งอยู่บนบัลลังก์ซึ่งอยู่ตรงกลาง เขาสวมเสื้อคลุมสีเหลืองลายงูเหลือมเก้าตัว และสวมมงกุฎทองบนศีรษะ เมื่อเขากะพริบตา สายฟ้าสีทองก็แลบแปลบออกมา ทำให้เขาดูน่ากลัวอย่างยิ่ง

“ท่านพ่อ นั่นคือเรื่องจริงทั้งหมด หลิวเฟิ่งฉือจากเกาะฉลามมังกร หม่านหงจากภูเขานภาลัย หลินโม่เซวียนจากนิกายสวรรค์ปฐพี และคนอื่น ๆ สามารถเป็นพยานในสิ่งที่ข้ากล่าวไปทั้งหมดได้พ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่ฉงหมิงหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่เขาตอบออกมาอย่างเนิบช้า

“ฮึ่ม! มีคนรู้เรื่องนี้เยอะจริง ๆ ดูเหมือนว่าหากข้าคิดจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ข้าคงจะมีคู่แข่งอยู่ไม่น้อย” ชายวัยกลางคนผู้มีร่างกำยำคำรามอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เจ้าออกไปได้แล้ว รอจนกว่าข้าจะตัดสินใจหลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเฉินซีผู้นี้แล้ว”

“รับทราบ!” หวงฝู่ฉงหมิงหันหลังกลับและออกจากห้องโถงไป หลังจากที่เขาก้าวออกมาแล้ว เขาก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

ณ ทะเลตะวันออก เกาะฉลามมังกร

ท่ามกลางมหาสมุทรสีฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล มีหมู่เกาะมากมายกระจัดกระจายไปทั่วราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ฝูงฉลามมังกรยักษ์ที่มีความยาวหลายพันจั้งแหวกว่ายไปรอบ ๆ เกล็ดของพวกมันส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ บางครั้งพวกมันก็ปล่อยเสียงคำรามดังก้องราวกับกลองศึก ทำให้เกิดคลื่นซัดสาดกระจายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

บนเกาะแห่งหนึ่ง ในตำหนักสีหยกอันสง่างาม เสียงที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดและสง่างามอย่างยิ่งดังขึ้นจากที่นั่งที่อยู่ด้านบนสุด “หากว่าการคาดเดาของข้าถูกต้อง ค่ายกลกระบี่ที่สร้างขึ้นด้วยกระบี่ระดับปฐพีชั้นสูงนับหมื่น กับกระบี่ระดับปฐพีชั้นยอดอีกเก้าเล่มนั้นคงจะเป็นค่ายกลกระบี่มหาปราณเป็นแน่ ค่ายกลนี้คงจะเป็นค่ายกลกระบี่พิทักษ์นิกายตำหนักเต๋านภาจากเมื่อเกือบหมื่นปีก่อน ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะตกไปอยู่ในมือเด็กผู้นั้นจริง ๆ ดูเหมือนว่าสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ ในขุมสมบัติเฉียนหยวนคงไม่แคล้วถูกเด็กผู้นั้นเอาไปเสียหมด”

คนผู้นี้นั่งตัวตรงอย่างสง่าอยู่บนที่นั่งราวกับมังกรที่ครอบครองที่นั่งของมัน ร่างกายของเขาเปล่งรัศมีอันน่าเกรงขามออกมาดุจมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ทรงพลัง และทอแสงงดงาม ประกายแสงปกคลุมทั้งตัวของเขาเอาไว้ ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้อย่างชัดเจน

สิ่งนี้ก่อตัวขึ้นจากการไหลเวียนของพลังชีวิตและพลังปราณของเขา มันเป็นกลิ่นอายที่ถูกปล่อยออกมาตามธรรมชาติซึ่งน่ากลัวอย่างยิ่ง มันทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าที่เกิดมาจากทะเลสีคราม จนผู้คนทำได้เพียงเงยหน้ามองขึ้นไป

ด้านล่างห้องโถงใหญ่ หลิวเฟิ่งฉือคุกเข่าลงบนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น

“สมบัติอมตะสามชิ้น แล้วยังมีสมบัติมากมายจากขุมสมบัติเฉียนหยวน หรือเด็กคนนี้จะเป็นผู้มีวาสนากัน? แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าแย่งอาวุธของลูกศิษย์เกาะฉลามมังกรไป ข้าก็คงจะต้องแวะไปเยือนเสียหน่อย… แต่ก่อนหน้านี้ ควรตรวจสอบตัวตนของเด็กคนนี้ให้ชัดเจนก่อนจะดีกว่า” เสียงที่สง่างามดังขึ้นจากที่นั่งที่อยู่ด้านบนอีกครั้ง จากนั้นแสงสีเขียวหยกพลันสั่นไหว กลิ่นอายชั่วร้ายของเขาทำให้ทั้งห้องโถงสั่นสะท้านราวกับว่ามันกำลังไม่สบายใจ

ณ แดนเถื่อนทางตอนเหนือ ภูเขานภาลัย

นี่คือเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลหินหนืด บนยอดเขามีตำหนักเรียงตัวกันเป็นทิวแถว ตำหนักที่สูงที่สุดในหมู่พวกนั้นมีสีแดงเข้มราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทำให้มันดูราวกับเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้า

เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ระเบิดขึ้นจนทหารยามที่อยู่นอกตำหนักตกใจจนตัวสั่นแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น หินหนืดร้อนด้านนอกก็ได้รับแรงกระทบจนเริ่มม้วนตัวและเปลี่ยนเป็นคลื่นขนาดใหญ่

มันเป็นเสียงของชายคนหนึ่งที่ฟังเหมือนเสียงฟ้าร้องดังก้องทั่วสรวงสวรรค์ ซึ่งเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ “ดีมาก หม่านหง เจ้าทำได้ดีมาก ครั้งนี้ข้าจะถือว่าเจ้าทำความสำเร็จยิ่งใหญ่ หากข้าสามารถยึดสมบัติที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซีมาได้ เจ้าก็จะได้ส่วนแบ่งด้วย!”

“ขอบคุณท่านประมุขนิกาย!” หม่านหงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ร่างที่คลุมเครือทว่าสง่างามก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา เปลวเพลิงสีดำล้อมรอบอยู่ทั่วร่างนั้นพร้อมกับกลิ่นอายที่สามารถแผดเผาได้ทุกสิ่ง

แต่เพียงชั่วพริบตา ดวงตาของหม่านหงก็รู้สึกเจ็บปวดและแสบร้อน เขารีบก้มหัวลงและไม่กล้ามองรูปลักษณ์ของประมุขนิกายอีก

ณ ที่ราบตอนกลาง นิกายกระเรียนพิสุทธิ์

นกกระเรียนหลายพันตัวส่งเสียงร้องเซ็งแซ่พลางกระพือปีกเบา ๆ อยู่เหนือท้องฟ้าที่มีเมฆและหมอกขาวอยู่ประปราย ภายในหมอกสีขาวที่ขดตัวและปกคลุมผืนดินคือทิวเขาที่เงียบสงบและงดงาม ภายในเทือกเขานี้มีทัศนียภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด มันปกคลุมไปด้วยไผ่ที่พลิ้วไหวตามสายลม สายน้ำไหล น้ำตก และฝูงนกกระเรียนมงกุฎแดง ทำให้มันดูราวกับเป็นแดนสวรรค์บนดิน

ภูเขานี้มีนามว่ากระเรียนพิสุทธิ์ ซึ่งเป็นสวรรค์บนดินที่มีชื่อเสียงในที่ราบตอนกลาง

“ไม่น่าเชื่อว่าเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลอย่างเมืองหมอกสนจะมีชายหนุ่มที่โชคดีเช่นนี้อยู่ ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ” ชายชราในชุดคลุมนักพรตที่เปล่งประกายสีเงินกล่าวขึ้น ผมของเขามีสีขาว ส่วนผิวพรรณก็มีสีแดงฝาดอย่างคนสุขภาพดี

เผยจงและเซวี่ยเฉินยืนคำนับด้วยท่าทางที่สุภาพ และให้ความเคารพอีกฝ่ายอย่างมาก

“หากเป็นตามที่เจ้าทั้งสองว่ามา สหายเก่าอย่างจ้าวปัญญาหวงฝู่จิ่งเทียน นายเหนือหัวเกาะฉลามมังกรโม่หลานไห่ และเจ้าแดนเถื่อนหลิวเสี่ยวย่อมเลือกที่จะลงมือเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เด็กคนนั้นมีสมบัติอยู่ในการครอบครองมากมายจนแม้แต่ข้าเองก็ยังหวั่นไหว” ชายชราลูบเคราของเขาขณะถอนหายใจ เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ แต่ในสายตาของคนอื่น ร่างของเขาเหมือนกำลังลอยอยู่ระหว่างความว่างเปล่ากับความเป็นจริง คลุมเครือและเลือนรางราวกับเป็นภาพลวงตา

“และหากข้าเดาไม่ผิด ก่อนจะไปเผชิญหน้ากับสหายตัวน้อยที่มีโชคลาภผู้นี้ สหายเก่าเหล่านั้นย่อมจะต้องตรวจสอบตัวตนของสหายตัวน้อยนั้นให้ชัดเจนก่อนลงมืออย่างแน่นอน ถึงข้าจะถูกล่อลวงก็ช่างเถอะ ถือเสียว่าออกไปคลายกล้ามเนื้อก็ไม่เลว และยังได้เจอสหายเก่าด้วย…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]