บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 254

บทที่ 254 เฉินอวี่

บทที่ 254 เฉินอวี่

ณ เมืองหมอกสน ที่ลานด้านหลังของจวนตระกูลเฉิน

ภายในห้องที่กว้างขวางและหรูหรา เฉินซีลุกขึ้นจากเตียงด้วยสภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้นหลังจากหมดสติไปถึงสองเดือน

หลังจากประสบกับการต่อสู้ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขาก็ดูสงบลง และเมื่อดวงตาของเขากะพริบ แววตาอันลึกล้ำของเขาก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ปราศจากการควบคุมที่ไม่มีผู้ใดเหมือน

ร่างกายที่สูงโปร่งและผอมแห้งของเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ กล้ามเนื้อที่ปกคลุมด้วยผ้าพันแผลที่รัดไว้อย่างแน่นหนานั้น ยังมีความเป็นเหลี่ยมมุมสวยงามราวกับถูกแกะสลักขึ้นมาจากเหล็กกล้า และเต็มไปด้วยพลังที่ไม่อาจอธิบายได้

หลังจากเดินกะโผลกกะเผลกไปได้สองก้าว เฉินซีก็หอบหายใจแรงด้วยความอ่อนแรง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลจากการสูญเสียพลังชีวิตและแก่นแท้โลหิตที่สำคัญไปจำนวนมาก อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บที่แหล่งกำเนิดปราณแท้ ถึงกระนั้น เขาเพียงแค่ส่ายศีรษะและไม่ได้รู้สึกหดหู่ใจมากนัก

ฤทธิ์ของโอสถเหลวหยกนภานั้นรุนแรงและทรงพลังเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกินมันเข้าไปสองครั้งติดต่อกัน ทำให้เส้นลมปราณในร่างกายของเขาแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ แม้แต่ท้องทะเลแห่งลมปราณ ของเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้มันว่างเปล่าและเหือดแห้งไป

แต่นับว่าโชคดีที่ความเสียหายที่มีต่อรากฐานแห่งเต๋าของเขาไม่ได้ร้ายแรงมากนัก และตราบใดที่เขาพักฟื้นตัวอย่างช้า ๆ เขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะพักฟื้นอีกสักสองวันและรอให้ร่างกายของเขาเกือบจะฟื้นตัวเต็มที่ก่อน แล้วค่อยปิดด่านบ่มเพาะเพื่อซ่อมแซมรากฐานแห่งเต๋า

เฉินซีผลักประตูห้องและเดินมาถึงลานบ้าน

ลานนี้ไม่ต่างอะไรกับลานในบ้านคนธรรมดาทั่วไป บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวขจีที่อุดมสมบูรณ์ และมีแม้กระทั่งสวนดอกไม้อยู่ที่ด้านข้าง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ละเอียดอ่อนและมากไปด้วยเสน่ห์นับสิบชนิด ในหมู่พวกมันมีดอกชาที่มีสีแดงเลือดนกซึ่งแลดูสวยงามสองสามชนิด นอกจากนี้ พวกมันดูคล้ายกับดอกพลับพลึงแดงหรือดอกปารมิตายิ่งนัก

มีฝูงผีเสื้อสีน้ำเงิน สีเหลือง และสีฟ้าบินพลิ้วอย่างงดงามท่ามกลางดอกไม้เหล่านี้ พวกมันมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์อย่างสุดจะพรรณนาภายใต้แสงอาทิตย์ ทำให้ทุกสิ่งในบริเวณโดยรอบเงียบสงบและสวยงาม

เฉินซีชอบความรู้สึกเช่นนี้มาก เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสงบเช่นนี้ นับตั้งแต่เขายังเด็ก ทุกช่วงเวลาล้วนแข่งกับเวลา เขาต้องคอยจุนเจือครอบครัว ดูแลท่านปู่ของเขา และจัดหาให้เฉินฮ่าวไปสำนักเพื่อฝึกกระบี่… ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากศิลาวิญญาณเล็กน้อยที่เขาได้รับจากการสร้างยันต์อักขระ แม้ว่าวันเวลาเหล่านี้จะยากลำบาก แต่ก็ราบรื่นและมั่นคง แต่หลังจากที่เขาได้รับจี้หยกและที่พำนักแล้ว ชะตากรรมของเขาก็เริ่มพลิกผัน

เข้าร่วมการทดสอบในดินแดนรกร้างใต้พิภพ เข้าสู่ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ถูกไล่ล่าไปจนถึงห้วงทะเลทรายมรณะ เข้าร่วมในการจัดอันดับมังกรซ่อน… ทุกประสบการณ์เต็มไปด้วยการเข่นฆ่านองเลือดซึ่งแฝงไปด้วยเจตนาฆ่าและภยันตรายต่าง ๆ ความรู้สึกนั้นราวกับว่าเขาเป็นผู้ลี้ภัยที่แสวงหาที่หลบภัยสักแห่ง ต้องเร่ร่อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่มีบ้านให้ลงหลักปักฐาน จึงทำให้ประสาทของเขาตึงเครียดตลอดเวลาขณะเดียวกันเขาก็ต้องคอยระมัดระวังภยันตรายต่างๆ ที่อาจมาถึง

ความรู้สึกเช่นนี้ มันช่างเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก…

แต่ในขณะนี้ เขานั่งตัวตรงอยู่ในลานบ้านของตระกูลเฉินในสภาพมึนงง เขารู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าในที่สุดเขาก็มีที่ลงหลักปักฐาน ทำให้เขารู้สึกสงบและผ่อนคลายจากภายในสู่ภายนอก

‘หากไม่มีข้อพิพาทและความเกลียดชัง การที่ได้อยู่ในตระกูลอย่างเงียบสงบและคอยเฝ้าดูตระกูลค่อย ๆ เติบโตขึ้นเช่นนี้ คงจะดีไม่ใช่น้อย…’ เฉินซียืนอยู่หน้าสวนดอกไม้ขณะที่เขาทอดถอนหายใจเบา ๆ

อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักเป็นอย่างดีว่า ความสงบเช่นนี้คงอยู่ได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น และการทุ่มเทบ่มเพาะเพื่อแข็งแกร่งขึ้นจึงจะสามารถรับประกันได้ว่าตระกูลเฉินจะพบกับความสงบสุข เพราะการแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นที่จะทำให้ตระกูลเฉินค่อย ๆ เติบโตอย่างมั่นคงและรุ่งโรจน์ คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์

‘ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ท่านปู่ยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ในปรโลกใช่หรือไม่?’

ทันใดนั้น หัวใจของเฉินซีก็กลับมาแน่วแน่อีกครั้ง เนื่องจากเส้นทางของเขาไม่มีวันที่จะสงบสุข

เอี๊ยด!

ประตูลานบ้านที่ไม่ได้ขัดไม้ไว้ถูกเปิดออก และเฉินฮ่าวก็ก้าวเดินเข้ามา

“ท่านพี่ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ” เฉินฮ่าวรู้สึกมีความสุขเช่นกันเมื่อเห็นพี่ชายของเขายืนอยู่หน้าสวนดอกไม้ ซึ่งเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ หลังจากที่พี่ใหญ่ของเขาตื่นขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และตอนนี้เขากังวลว่าร่างกายของพี่ชายจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์เมื่อใด

เฉินซียิ้ม “ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากไปหาเจ้า”

คิ้วของเฉินฮ่าวเลิกขึ้นและถามว่า “มีสิ่งใดหรือ?”

“อีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดของเจ้าใช่หรือไม่? ดังนั้น ข้ามีของขวัญจะมอบให้เจ้า” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม และทันใดนั้น กระบี่เหล็กก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา นอกจากนี้ กระบี่เล่มนี้ยังแฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเปล่งประกายเรืองรองราวกับแม่น้ำสายใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ที่คอยบันทึกการเปลี่ยนแปลงและความวุ่นวายในโลกมนุษย์

“ข้าได้กระบี่นี้มาจากสุสานอสูรร้าย และมันควรจะเป็นศัสตราวิเศษของลัทธิขงจื๊อในสมัยโบราณ กลิ่นอายแห่งความเที่ยงธรรมที่อยู่ภายในนั้นกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร และมันเหมาะกับเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมของเจ้า” เฉินซีกล่าวพลางยื่นกระบี่เหล็กให้แก่เฉินฮ่าว

เฉินฮ่าวยื่นมือไปรับกระบี่มา แต่เขาก็ไม่ได้ตรวจสอบมันอย่างรีบร้อน น้ำตาสองสามหยดปรากฏขึ้นที่หางตาของเขาโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม้เวลาผ่านไปหลายปีจนเขาลืมกระทั่งวันเกิดของตัวเอง แต่พี่ชายของเขาก็ยังจดจำได้ และยังเตรียมของขวัญให้แก่เขาอีก

สิ่งนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงช่วงวัยเด็ก เนื่องจากครอบครัวของเขานั้นยากจนสุดแสน ไม่มีวันใดที่ครอบครัวของเขาจะได้กินอิ่มหรืออยู่สุขสบาย แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกครั้งที่วันเกิดของเขามาถึง พี่ชายของเขาจะเตรียมของขวัญให้เขาราวกับเล่นมายากล แม้จะเป็นเพียงของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เขาก็ยังจำมันได้เสมอมาจนถึงทุกวันนี้

แต่สิ่งที่น่าเศร้าใจที่สุดสำหรับเขาก็คือ พี่ชายของเขาไม่เคยได้ฉลองวันเกิดของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว และมันถึงขั้นที่แม้แต่ตัวเขาก็จำไม่ได้ว่าวันเกิดของพี่ชายตัวเองคือวันใด

เฉินฮ่าวไม่ใช่คนที่ชอบหลั่งน้ำตา นอกจากอยู่ต่อหน้าท่านปู่และพี่ชายของเขาแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาจึงไม่เคยหลั่งน้ำตาเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะพบกับความพ่ายแพ้หรือความทุกข์ยากเพียงใดเลยก็ตาม

แต่ตอนนี้เขากลับอยากจะร้องไห้ออกมา เพราะเขารู้สึกราวกับว่าตนเองยังเป็นเด็กน้อยในสายตาของพี่ชายและได้รับการปกป้องจากพี่ชายในทุก ๆ ด้าน ส่วนภาระอันยากลำบากทั้งหมดได้ถูกแบกโดยเฉินซีแต่เพียงผู้เดียวในขณะที่ตัวเขากลับนั่งเฉย ๆ และเพลิดเพลินอย่างมีความสุขบนความทุกข์ทรมานของเฉินซี

“รีบทดสอบอำนาจของกระบี่เล่มนี้เถอะ” เฉินซีตบไหล่ที่กว้างและมั่นคงของเฉินฮ่าว และตอนนี้เองที่เขาสังเกตเห็นว่าเฉินฮ่าวได้สูงพอ ๆ กับตัวเขาแล้ว

“ไม่จำเป็นหรอกขอรับ ของขวัญที่ท่านพี่มอบให้ข้าล้วนมีค่าที่สุดในโลกสำหรับข้า แม้แต่สมบัติอมตะก็ไม่อาจเทียบได้!” เฉินฮ่าวเก็บกระบี่เหล็กไปอย่างระมัดระวังและยิ้มด้วยความยินดี

เฉินซีตกตะลึงจนไม่ได้กล่าวคำใด ๆ ออกมา เพราะเขาเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้มานักต่อนักแล้ว เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก เฉินฮ่าวจะกล่าวเช่นนี้ทุกครั้งที่เขามอบของขวัญให้ แต่เขากลับไม่เคยคิดเลยว่า ตอนที่เฉินฮ่าวโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ยังกล่าวเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็กน้อยเช่นเคย มันทำให้เขารู้สึกตื้นตันและระลึกถึงอยู่ในใจ

“ท่านพ่อ” ทันใดนั้นเสียงที่ไร้เดียงสาและชัดเจนก็ดังขึ้นที่ประตูลานบ้าน

เฉินซีตะลึงงัน และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นเด็กชายตัวน้อยอายุประมาณหนึ่งขวบที่ดูแข็งแรงกำลังเดินเตาะแตะอยู่ที่ข้างประตู ในขณะที่เฟยเหลิ่งชุ่ยยืนอยู่ข้างเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง

“เด็กคนนี้คือลูกชายของเจ้าหรือ?” เฉินซีมองไปที่น้องชายของเขาด้วยสายตาประหลาดใจ

“อันที่จริง ข้าลืมบอกท่าน เหลิ่งชุ่ยได้ตั้งครรภ์แล้วเมื่อเราออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และไม่นานหลังจากกลับมาที่เมืองหมอกสน นางก็ให้กำเนิดอวี่เอ๋อร์” เฉินฮ่าวลูบหัวของเขาและกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย

“เฉินอวี่หรือ?” ขณะที่เขาพึมพำ เฉินซีก็ไม่อาจระงับความประหลาดใจอันน่ายินดีของเขาได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างเต็มที่ขณะอ้าแขนออกเมื่อกล่าวกับคนตัวเล็ก “อวี่เอ๋อร์มาให้ลุงกอดเจ้าหน่อย!”

เด็กชายตัวน้อยกะพริบตาและเห็นได้ชัดว่าเขากลัวท่านลุงที่พันผ้าพันแผลสีขาวอยู่เล็กน้อย และมองไปทางแม่ของเขาที่อยู่ข้าง ๆ อย่างไม่แน่ใจ

“ไปสิอวี่เอ๋อร์ นั่นคือท่านลุงของเจ้า! อวี่เอ๋อร์เจ้าต้องจดจำไว้ว่าต้องคอยฟังคำพูดของท่านลุงของเจ้า” เฟยเหลิ่งชุ่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่นางให้กำลังใจเฉินอวี่ตัวน้อย

“อืม อวี่เอ๋อร์จะเชื่อฟังท่านแม่” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า ขณะที่เดินเตาะแตะไปหาเฉินซีด้วยเท้าเล็ก ๆ ของเขา และดูเหมือนเขาจะอายุไม่ถึงหนึ่งขวบด้วยซ้ำ จึงทำให้เขาเดินได้ไม่มั่นคงนัก กอปรกับเขาเดินอย่างเร่งรีบ จนเมื่อมาถึงใกล้ ๆ เฉินซี ทำให้เขาสะดุดเท้าจนล้มลงไปข้างหน้า และปิดตาลงด้วยความตกใจ

แต่เพียงชั่วพริบตาต่อมา เด็กชายตัวน้อยก็ถูกมือที่ใหญ่และหนาคู่หนึ่งสวมกอดเอาไว้ และเฉินซีก็คือผู้ที่โอบเด็กชายตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแน่นหนา เขายิ้มด้วยความยินดีจนตาของเขาหรี่ลงจนเหมือนไม้บรรทัดสองด้าม ในขณะที่เขากล่าวซ้ำไปซ้ำมา “อวี่เอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์เด็กดี ตระกูลเฉินของข้ามีผู้สืบทอดที่คู่ควรแล้ว ท่านปู่ในปรภพจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอนหากรู้เรื่องนี้…”

“ท่านลุง มีเลือดออกมากบนตัวท่าน” เฉินอวี่ชี้ไปที่คราบเลือดที่เปื้อนอยู่บนผ้าพันแผลและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านพ่อของข้าบอกว่า ลูกผู้ชายหลั่งเลือดได้แต่ห้ามหลั่งน้ำตา ข้าโตขึ้นอยากเป็นเหมือนท่านลุง แม้จะต้องเสียเลือดไปมากมาย แต่จะไม่หลั่งน้ำตาอย่างแน่นอน”

การแสดงออกที่ไร้เดียงสาของเด็กชายตัวน้อย ทำให้เฉินซีหัวเราะออกมาเสียงดัง และเขาก็ชอบหลานที่ดูแข็งแกร่งคนนี้มากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดในใจ จากนั้นเขาจึงหยิบโอสถออกมา “อวี่เอ๋อร์ นี่คือของขวัญที่ลุงมีให้เจ้า สัญญากับลุงนะว่าไว้รอเจ้าโตขึ้นก่อน จึงจะค่อยกินมัน เจ้าเข้าใจไหม?”

โอสถนี้มีขนาดเท่ากำปั้นของเฉินอวี่ มันมีลักษณะเป็นผลึกใสโปร่งแสง มีแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราวจำนวนมากมายส่องประกายอยู่ภายใน และมีเสียงคำรามของมังกรที่สัมผัสได้ราง ๆ อยู่ภายใน ซึ่งมันก็คือโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่มีมหาเต๋าแห่งปฐพี

เฉินฮ่าวกับเฟยเหลิ่งชุ่ยต่างก็ตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นโอสถนี้ ราวกับพวกเขาไม่อยากเชื่อ “สิ่งนี้คือโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าหรือ? ท่านพี่ มันมีค่ามากเกินไป ไม่ได้ ท่านให้ของขวัญเช่นนี้กับเขาไม่ได้”

ทั้งสองคนรีบปฏิเสธของขวัญของเฉินซี เนื่องจากโอสถทิพย์กำเนิดเต๋านั้นล้ำค่าจนยากที่จะประเมินค่าได้

ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่จะได้มาโดยโชคชะตาเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจะเห็นด้วยได้อย่างไร เมื่อเห็นเฉินซีต้องการมอบสิ่งนี้ให้กับลูกชายที่อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ?

“อวี่เอ๋อร์ เจ้าชอบหรือไม่” เฉินซีไม่สนใจพวกเขาและถามเด็กชายตัวน้อยโดยตรง

“ข้าชอบมัน มันเหมือนลูกกวาด แต่ลูกกวาดไม่ใหญ่และสวยงามเท่านี้” ดวงตาของเฉินอวี่น้อยกะพริบขณะที่เขามองดูแสงจำนวนมากที่หลั่งไหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดบนพื้นผิวของโอสถทิพย์กำเนิดเต๋า และเขารู้สึกว่ามันน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

“งั้นลุงจะให้ลูกกวาดนี้กับเจ้า ตกลงไหม?” เฉินซียิ้ม

“คงไม่ได้ ท่านพ่อมักบอกข้าเสมอว่าผลประโยชน์ทั้งหลายต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ อวี่เอ๋อร์รับลูกอมนี้เฉย ๆ ไม่ได้” เห็นได้ชัดว่าเฉินอวี่อยากได้มันมาก แต่เขาเอียงศีรษะเพื่อไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานาน ก่อนจะส่ายศีรษะและปฏิเสธในที่สุด

“เอาล่ะ งั้นช่วยลุงนวดไหล่แล้วจากนั้นลูกกวาดนี้จะเป็นของเจ้า เจ้าว่าอย่างไรบ้าง” เฉินซีชื่นชอบหลานชายคนนี้มาก ในช่วงที่เขาสวมกอดเฉินอวี่นั้น เขาพอจะเข้าใจพื้นฐานและพรสวรรค์ของเด็กน้อยคนนี้ไม่มากก็น้อย และนั่นถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ตราบใดที่เฉินอวี่บ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง ในภายภาคหน้าก็จะเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์เช่นกัน

เฉินอวี่น้อยไม่ได้ลังเลอีกต่อไปและเหวี่ยงกำปั้นเล็ก ๆ ของเขาเพื่อช่วยนวดไหล่ของลุงของเขา สีหน้าของเขาจริงจังมาก ทำให้เขาน่ารักอย่างสุดจะพรรณนาในสายตาของเฉินซี

หลังจากแกล้งหลานชายตัวน้อยอยู่พักหนึ่ง เฉินซีก็ส่งหลานชายตัวน้อยให้แก่เฟยเหลิ่งชุ่ย และปล่อยให้นางพาเขาออกจากลานบ้าน

“ท่านพี่ โอสถทิพย์กำเนิดเต๋านั้นมีค่าเกินไป แต่ท่านกลับให้มันกับอวี่เอ่อร์แบบนี้…” เฉินฮ่าวยังคงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมและกล่าวออกไป

ก่อนที่เฉินฮ่าวจะกล่าวจบ เขาก็ถูกเฉินซีขัดจังหวะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุคคลอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในโลกได้รับการเลี้ยงดูอย่างไร? พวกเขาล้วนมีนิกายและตระกูลที่อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุน พวกเขาใช้โอสถชั้นเลิศต่าง ๆ ในขณะที่พวกเขายังเด็กเพื่อช่วยล้างสิ่งสกปรกภายในร่างกายและพัฒนาร่างกายของพวกเขา ทำให้มีรากฐานที่มั่นคงซึ่งเหนือจินตนาการของคนธรรมดาทั่วไป ด้วยวิธีนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถก้าวหน้าอย่างเหนือกว่าในการบ่มเพาะและทิ้งคนอื่น ๆ ไว้เพียงเบื้องหลัง ดังนั้นการที่ข้าให้โอสถทิพย์กำเนิดเต๋ากับอวี่เอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว”

เฉินฮ่าวกำลังอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อไป เพราะเขาเข้าใจดีว่าพี่ชายของเขาได้ตัดสินใจแล้ว และมันไม่มีประโยชน์ที่จะเกลี้ยกล่อมเขา

สองพี่น้องสนทนากันอีกครู่หนึ่ง เมื่อเขาเห็นความอ่อนล้าปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของเฉินซี เฉินฮ่าวจึงกล่าวคำอำลาและปล่อยให้เฉินซีได้พักผ่อนอย่างเหมาะสม ในขณะที่ตัวเขาเองกลับต้องไปจัดการเรื่องบางเรื่องของตระกูลแทน

เมื่อมองไปที่ด้านหลังของน้องชายที่จากไปอย่างรวดเร็ว เฉินซีก็พยักหน้าเบา ๆ เขาได้เห็นแล้วว่า เฉินฮ่าวสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองแล้ว และควบคู่ไปกับค่ายกลกระบี่มหาปราณที่ปกป้องตระกูลอยู่ ตราบใดที่ผู้รุกรานไม่ใช่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพี ค่ายกลนี้ก็เพียงพอที่จะจัดการกับทุกสิ่ง

‘บางทีข้าควรจากไปด้วยความสบายใจเมื่อเรี่ยวแรงของข้าฟื้นตัวแล้ว…’ เฉินซีครุ่นคิดเป็นเวลานานก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องของเขา จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงพร้อมกับหยิบแผ่นหยกที่อาบด้วยแสงสีทองวางไว้ตรงหน้าเขา

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถบ่มเพาะได้ชั่วคราว แต่เขาก็สามารถใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาการบ่มเพาะต่าง ๆ ส่วนแผ่นหยกเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นคือเพลงหมัดมหาทำลายล้าง ซึ่งเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าครึ่งขั้น ที่ได้มาจากขุมสมบัติเฉียนหยวน!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]