บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 262

บทที่ 262 กระแสสัตว์อสูรที่กำลังจะมาถึง

บทที่ 262 กระแสสัตว์อสูรที่กำลังจะมาถึง

เมื่อเฉินซีพบว่า ไม้ศักดิ์สิทธิ์สีคราม เหล็กพลังสุริยัน ผลึกเพลิงเทวะ และวารีทมิฬเอกะล้วนถือกำเนิดจากแก่นแท้สสารของธาตุทั้งห้า เฉินซีก็แอบรู้สึกตกตะลึงอยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของจี้อวี้ก็ยังทำให้เขาต้องรู้สึกลังเล

สมบัติทั้งสี่ชิ้นที่อยู่บนแผ่นหลังของเขานั้น มีคุณสมบัติที่ลึกล้ำและไม่ธรรมดา มันสามารถสะสมแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนแก่นแท้เหล่านั้นให้กลายเป็นปราณจ้าววิญญาณของเขาเอง มันมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะการแปรสภาพร่างกายของเขาอย่างมากมาย และการที่จะต้องใช้มันเพื่อขัดเกลาในยันต์ศัสตรานั้น ทำให้เฉินซีรู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง

“เมื่อทักษะแปรสภาพร่างกายของเจ้าบรรลุถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และอักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหมอกเพลิง พลังชีวิตและโลหิตในร่างกายของเจ้าจะมีอำนาจมากมายมหาศาล อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับพลังของสวรรค์และโลกให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าได้ การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์เพียงแค่เติมเต็มแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าได้เท่านั้น และยังไม่ได้ส่งผลต่อการบ่มเพาะของเจ้าสักเท่าใดเลย”

จี้อวี๋ดูเหมือนจะอ่านความคิดของเฉินซีออก เขาจึงกล่าวว่า “ดังนั้นแล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ใช้มันเพื่อขัดเกลายันต์ศัสตราเสียเลยล่ะ? เพราะด้วยวิธีนี้ จะยิ่งส่งเสริมพลังที่แท้จริงที่ถูกซุกซ่อนอยู่ของมันและหลีกเลี่ยงการใช้มันอย่างผิดวิธีจนสูญเสียคุณค่าอันน่าอัศจรรย์ที่ราวกับสวรรค์ประทานมาให้แก่เจ้า”

เป็นอย่างที่จี้อวี๋กล่าวจริง ๆ หลังจากที่ร่างกายบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว พลังชีวิตและโลหิตจะเพิ่มพูนอำนาจอย่างมากมายมหาศาลราวกับแม่น้ำสายใหญ่ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยงเข้ากับพลังงานของสวรรค์และโลก เพื่อที่จะใช้มันในการขัดเกลาร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของปราณจ้าววิญญาณหรือความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาก็จะพัฒนาในเชิงคุณภาพอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้แม้จะสามารถแปลงแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าให้เป็นปราณจ้าววิญญาณได้ แต่มันก็ไม่เหมาะสมกับการบ่มเพาะของเฉินซีในตอนนี้

เช่นเดียวกับตอนที่เฉินซีได้รับโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่มีมหาเต๋าแห่งปฐพีกักเก็บไว้ภายใน เนื่องจากเขาได้หยั่งรู้ถึงมหาเต๋าแห่งปฐพีแล้ว จึงทำให้มันไม่มีประโยชน์ใด ๆ หากจะกลืนมันเข้าไปอีก แก่นแท้ของธาตุทั้งห้าเองก็น่าจะเป็นหลักการที่ใกล้เคียงกัน

ในที่สุดเฉินซีก็ตกลงกับคำแนะนำของจี้อวี๋

หลังจากจี้อวี๋ได้จากไป เฉินซีก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะจารึกยันต์เทวะทั้งห้าชนิดลงบนแก่นศัสตรา แต่เขาได้ออกจากโลกแห่งดาราเพื่อกลับไปที่ห้องของเขาแทน

เมื่อเขาเริ่มขัดเกลายันต์ศัสตราในโลกแห่งดารา อย่างน้อยมันก็ต้องใช้เวลาถึงยี่สิบห้าปีซึ่งเทียบเท่ากับสองปีครึ่งของโลกภายนอก ดังนั้นเขาจึงต้องอธิบายบางสิ่งกับเฉินฮ่าวให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้น้องชายต้องเป็นกังวล

ณ ปัจจุบัน หลังจากที่ตระกูลเฉินได้ผ่านหายนะไปแล้ว ก็ดูเหมือนกับเป็นวิหคเพลิงที่เกิดใหม่จากเถ้าถ่าน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกจากภายนอกและไม่ได้ใช้นามสกุลเฉิน หรือข้ารับใช้และบริวาร ทัศนคติของพวกเขาล้วนเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด และรู้สึกได้ถึงหน้าที่ของการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิน ดังนั้นเมื่อพวกเขาออกไปทำสิ่งต่าง ๆ ที่นอกตระกูล มันทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์ของตระกูลเฉิน

นอกจากนี้ ไม่มีกองกำลังใด ๆ ในเมืองหมอกสนที่กล้าเป็นศัตรูกับเฉินซี และดูเหมือนตระกูลเฉินได้ปกครองเมืองหมอกสนกลาย ๆ โดยไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม

เนื่องจากผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ของเมืองหมอกสนได้เห็นการต่อสู้ในวันนั้น จึงทำให้พวกเขาต่างก็ตระหนักได้เป็นอย่างดี หากเป็นกองกำลังของพวกเขาคงจะถูกหวงฝู่ฉงหมิงกับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ทำลายจนพินาศไปนานแล้ว แต่ตระกูลเฉินกลับสามารถต้านทานศัตรูและยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ จึงได้รับความเคารพจากกองกำลังทั้งหมดในเมืองหมอกสนไปโดยปริยาย

และเมื่อรวมกับการที่เฉินซีและเฉินฮ่าวต่างก็มีความสัมพันธ์อันดีกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่เป็นนิกายอันดับหนึ่งในดินแดนทางใต้ อาจถือได้ว่าตระกูลเฉินมียอดฝีมือทั้งภายในและการสนับสนุนจากภายนอก แม้แต่คนที่โง่เขลาที่สุดก็รู้ว่า การผงาดของตระกูลเฉินนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว ดังนั้นจะมีคนโง่เขลาคนใดที่กล้ากระตุกหนวดเสือกัน?

ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา จวนตระกูลเฉินอาจถือได้ว่าเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ เหล่าผู้มีอำนาจน้อยใหญ่ในเมืองหมอกสน ต่างก็ละทิ้งความเย่อหยิ่งของพวกเขาและเดินทางมาที่จวนเพื่อมอบของขวัญอันล้ำค่า เนื่องจากพวกเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อผูกสัมพันธ์กับตระกูลเฉิน

ดังนั้น เมื่อเฉินซีเดินออกจากลานบ้านของเขา เขาก็พบว่า จวนตระกูลเฉินทั้งภายในและภายนอกล้วนเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย นอกจากนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของเมืองหมอกสนอีกด้วย

ทางด้านของเฉินฮ่าวก็กำลังกล่าวทักทายแขกเหรื่อทั้งหลายในขณะที่ถือจอกสุรา การประพฤติตัวของเขานั้นเหมาะสม ปราศจากความหยิ่งยโส มีเพียงกิริยาท่าทางและทักษะทางการเจรจาที่สง่าผ่าเผยของผู้นำตระกูล

เฉินซีพยักหน้า การก่อตั้งตระกูลนั้นไม่อาจพึ่งตนเองได้เพียงลำพัง ไม่ว่าตระกูลนั้นจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด ก็ยังต้องมีการติดต่อกับตระกูลอื่นอยู่เช่นกัน และความสามารถในการจัดการกับความสัมพันธ์เหล่านี้อย่างช่ำชองนั้น แสดงให้เห็นถึงความสามารถและทรัพยากรของตระกูลโดยทางอ้อม

“ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่? อาการบาดเจ็บของท่านหายดีแล้วหรือ” เฉินฮ่าวหันกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจและเห็นเฉินซียืนอยู่ห่างออกไป เขาจึงละทิ้งแขกที่อยู่รอบข้าง พร้อมกับเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

อันที่จริง เหล่าแขกที่ถูกทอดทิ้งรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเห็นเฉินซีที่ยืนอยู่ห่างออกไป ความไม่พอใจในใจของพวกเขาจึงได้หายไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย พร้อมกับเค้นรอยยิ้มที่สดใสซึ่งเผยให้เห็นถึงการเยินยอออกมา

ในขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่ล้วนสังเกตเห็นเฉินซีแล้ว และบรรยากาศที่จอแจแต่เดิมก็เงียบสนิทในทันที

ในความคิดของทุกคน เมื่อเทียบกับเฉินฮ่าวแล้ว เฉินซีผู้เป็นพี่มีอำนาจอิทธิพลมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเฉินซีเติบโตขึ้นในเมืองหมอกสน ตั้งแต่ยังเด็ก ครอบครัวของเขายากจน การบ่มเพาะของเขาก็ตื้นเขิน และเขาก็ถูกเหยียดหยามว่าเป็นตัวซวย ทำให้เขาเป็นที่น่าขบขัน นอกจากนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็คงไม่มีผู้ใดอยากคบหาและไม่ชายตามองเสียด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]