บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 289

บทที่ 289 สร้างยันต์อีกครั้ง

บทที่ 289 สร้างยันต์อีกครั้ง

พฤกษาดารามีความหนาประมาณสามชุ่น*[1] ยาวประมาณหนึ่งฉื่อ*[2] การจะชี้ข้อแตกต่างของมันกับสมบัติวิเศษระดับปฐพีทั่วไปจึงค่อนข้างยาก เส้นวงบนเนื้อไม้ของมันบิดเบี้ยวคดเคี้ยวไปมาราวกับไส้เดือน และถูกปกคลุมไปด้วยลายแต้มที่กระจัดกระจายประหนึ่งดวงดาวบนท้องฟ้า ทุกจุดต่างก็เปล่งแสงสีเงินเย็นยะเยือกที่ดูลึกลับอย่างยิ่ง

พฤกษาดาราเป็นวัสดุขัดเกลาสิ่งประดิษฐ์ล้ำค่าที่มีคุณสมบัติธาตุไม้ มันก็เป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างกระดาษยันต์ที่เหมาะสมที่สุด แม้มันจะดูสิ้นเปลืองไปหน่อยก็ตาม

ในความคิดของเฉินซีเรื่องเหล่านั้นไม่ได้สำคัญอะไรนัก มีเพียงกระดาษยันต์ที่สร้างจากพฤกษาดาราเท่านั้น ที่จะสามารถทนต่อโครงสร้างอักขระยันต์ระดับสูงสุดได้ จึงเชื่อมต่อกับเต๋ารู้แจ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ และดึงพลังของยันต์เลิศล้ำระดับสูงออกมาได้อย่างเต็มที่

เขาเริ่มแปรรูปพฤกษาดาราด้วยการเคลื่อนไหวที่ชวนให้ตื่นตะลึงราวกับว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องคิด ทุกการเคลื่อนไหวและทุกขั้นตอนผ่านไปอย่างง่ายดายและไหลลื่นราวกับสายน้ำ

หั่น ทำความสะอาด ทำให้แห้ง กำจัดสิ่งเจือปน ขัดเกลาปรับสภาพคุณสมบัติ… พฤกษาดาราในมือของเฉินซีกำลังเปลี่ยนแปลงไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ราวกับว่าเขากำลังแสดงมายากล ด้วยกลที่น่าทึ่งยิ่ง

นี่เป็นเพราะทักษะพื้นฐานที่มั่นคงของเฉินซี ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นผู้สร้างยันต์ฝึกหัดในเมืองหมอกสน งานของเขาคือการจัดการกับวัสดุต่าง ๆ และการสร้างกระดาษยันต์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นเขาจึงมีความชำนาญและเชี่ยวชาญในการแปรรูปพฤกษาดาราอย่างยิ่ง

ในเวลาไม่นาน พฤกษาดาราชิ้นนี้ก็ได้รับการแปรรูปเป็นกองกระดาษยันต์ภายใต้ทักษะอันเชี่ยวชาญของเฉินซี กระดาษยันต์ทุกแผ่นมีสีเงินเข้ม มีความหนาสม่ำเสมอ พื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยแถบสีเงินที่กระจัดกระจายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า เชื่อมต่อกันประหนึ่งสายน้ำสีเงินที่ไหลไปมาได้

“ความหนาเท่ากันและเหนียวยืดหยุ่นพอ ๆ กับหยก กระดาษยันต์ที่ทำจากพฤกษาดาราเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดจริง ๆ เมื่อข้าใช้มัน ข้าก็ไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงที่กระดาษยันต์จะไม่สามารถทนต่อพลังงานของอักขระยันต์ และเสียเปล่าแล้ว” เฉินซีวางกระดาษยันต์เหล่านี้ไว้ด้านข้าง และเริ่มขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างยันต์ นั่นคือ ‘การปรุงหมึก’

คุณภาพของน้ำหมึกเองก็ส่งผลต่อพลังของยันต์ในระดับหนึ่งเช่นกัน น้ำหมึกชั้นยอดย่อมสามารถวาดโครงสร้างอักขระยันต์ได้ไหลลื่นและสมดุลกว่า ซึ่งจะช่วยให้ยันต์เชื่อมต่อกับพลังจากสวรรค์และปฐพีได้ไวขึ้น และทำให้ยันต์เสร็จสมบูรณ์

ตัวอย่างเช่น ยันต์บางชนิดที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่อานุภาพกลับต่างกันนั้นเป็นเพราะความแตกต่างระหว่างคุณภาพของน้ำหมึกที่ใช้กับยันต์ น้ำหมึกแต่ละชนิดก็ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของยันต์ต่างกันไป

อันที่จริง ไม่ใช่เพียงแค่น้ำหมึกเท่านั้น ทั้งคุณภาพของพู่กันที่ใช้เขียน กระดาษที่ใช้วาด หรือแม้แต่ปรมาจารย์ผู้สร้างแผ่นยันต์อักขระเองก็มีผลต่อคุณภาพและพลังของยันต์เช่นกัน สิ่งที่เฉินซีกำลังทำอยู่ตอนนี้คือการทำให้ทุกองค์ประกอบอยู่ในระดับสูงสุดทุก ๆ ด้าน เฉพาะยันต์เลิศล้ำระดับสูงที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการเหล่านี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาพอใจได้

หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพูดถึงการสร้างสรรค์ยันต์แล้ว เฉินซีมีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อตัวเองอย่างยิ่ง และสิ่งที่เขาแสวงหาคือความสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้บรรลุถึงมาตรฐานที่ตนตั้งเอาไว้ได้ นี่คือนิสัยจุกจิกอย่างหนึ่งที่หล่อหลอมขึ้นมาในตัวเขา นับตั้งแต่สมัยที่ชายหนุ่มยังเป็นผู้สร้างยันต์ฝึกหัด และเพราะทัศนคติที่แข็งกระด้างเช่นนี้ ทำให้ความสามารถในการทำความเข้าใจและพรสวรรค์ในการสร้างยันต์ของเขาปรากฏออกมา

ฟู่!

ภายในชามหยกมีเลือดสีเขียวมรกตทอรัศมีและปล่อยพลังงานมหาศาลออกมาอยู่เต็มใบ นี่คือแก่นโลหิตของเพียงพอนเก้าหางมรกต มันมีราคาแพงมาก ราคาตลาดที่สามารถบวกเพิ่มยอดขึ้นไปอีกในตอนนี้มีราคาเท่ากับโอสถกลั่นแรกเริ่มหมื่นกว่าเม็ดเลยทีเดียว เมื่อเฉินซีเทน้ำค้างหิมะสีแดงเข้มลงในชามหยก แก่นโลหิตสีเขียวก็เริ่มเดือดทันที พร้อมกับฟองอากาศที่ผุดขึ้นมาและแตกออก

ฟองอากาศแต่ละฟองมีขนาดเท่าเม็ดถั่ว กลมและใส ภายในเป็นสีดำและขาวแตกต่างกัน เหมือนสีที่ตัดกันของหยินและหยาง ฟองอากาศในแก่นโลหิตทั้งจมลงและลอยขึ้นสับวนไปเรื่อย ๆ ในขณะที่บางครั้งก็ระเบิดออก ทำให้พลังงานที่บรรจุอยู่ภายในฟองอากาศพุ่งออกมา ทำให้แก่นโลหิตสีเขียวมรกตในชามหยกมีสีชาดและมีความหนืดเหมือนอำพัน

เมื่อฟองอากาศทั้งหมดหายไป น้ำหมึกสีแดงเข้มที่ปล่อยพลังอันน่าอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า ก่อตัวเป็นเงาร่างมังกรคำรามและเสือโหยหวนลอยขึ้นมา ทำให้อากาศสั่นสะเทือนและกระจายตัว สร้างเขตสุญญากาศเล็ก ๆ รอบชามหยก

‘พู่กันยันต์ กระดาษยันต์ น้ำหมึก’ เฉินซีไล่สายตาไปยังของทั้งหมดทีละอย่าง ความรู้สึกตื่นเต้นที่หายไปนานค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในใจของเขา นานหลายปีแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้เริ่มสร้างยันต์อีกครั้ง บางทีข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือเมื่อหลายปีก่อนเฉินซีทำเพื่อหารายได้และเลี้ยงดูครอบครัว แต่ตอนนี้มันคือการสร้างยันต์เพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรู!

เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกำจัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดทิ้งไป หลังของเขาตั้งตรงดุจไม้เขี่ยลำกล้อง สีหน้าเคร่งขรึม เขานั่งตัวตรงอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทำงาน จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบพู่กันที่บอกได้ว่าเนื้อดีทันทีที่สัมผัส แล้วหยิบแผ่นกระดาษยันต์ลายดาวสีเงินวางราบลงบนโต๊ะ หลังจากนั้น เขาก็จุ่มปลายพู่กันลงในหมึกที่มีพลังงานมหาศาล พร้อมกันนั้นหมอกเจ็ดสีที่ดูราวกับภาพฝันก็ลอยออกมาจากปลายพู่กัน

โครงสร้างอักขระยันต์ที่ซับซ้อน หนาแน่นและลึกลับจำนวนมากก็พรั่งพรูขึ้นมาในจิตใจของเขา โครงสร้างอักขระยันต์ทั้งหมดนี้แยกออกมาจากยันต์เทวะพฤกษาคราม และสร้างขึ้นใหม่เป็นโครงสร้างของยันต์สมบัติล้ำค่าระดับสูงอย่าง ‘พลังชีวิตพฤกษาคราม’

เมื่อเขาจารึกยันต์เทวะที่ยิ่งใหญ่ทั้งห้าชนิดในโลกแห่งดารา เฉินซีก็พบว่า ไม่ว่าจะเป็นยันต์เทวะพฤกษาครามหรือยันต์เทวะอีกสี่ประเภท ดูเหมือนโครงสร้างอักขระยันต์ที่อยู่ภายในนั้นจะครอบคลุมอักขระยันต์ธาตุทั้งห้าทั้งหมด เขาจึงสามารถหล่อหลอมโครงสร้างแล้วสร้างเป็นยันต์หรือค่ายกลรูปแบบใดก็ได้โดยขึ้นอยู่กับวิธีการต่าง ๆ

ความรู้สึกนี้ราวกับว่ายันต์เทวะที่ยิ่งใหญ่ทั้งห้าชนิด เป็นดั่งตัวแทนของโครงสร้างอักขระยันต์ของธาตุทั้งห้าทั้งหมด ยันต์เทวะแต่ละชนิดต่างก็รวบรวบอักขระตามคุณลักษณะของมันเอาไว้ด้วยกัน ทำให้มันครอบคลุมทุกอย่าง ดุจดังต้นกำเนิดของอักขระห้าธาตุ

ตัวอย่างเช่น ยันต์เทวะพฤกษาครามนี้ประกอบด้วยโครงสร้างอักขระยันต์ของยันต์ทั้งเก้าระดับ ยันต์จิตวิญญาณ ยันต์เลิศล้ำ ยันต์เร้นลับ ยันต์สวรรค์และโครงสร้างของอักขระยันต์ธาตุไม้อีกนับไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเฉินซี สิ่งที่เขาสามารถหาจากยันต์เทวะได้ ยังคงมีเพียงโครงสร้างของยันต์เลิศล้ำระดับสูงเท่านั้น สำหรับยันต์ที่มีคุณภาพสูงกว่านั้น แม้ว่าเขาจะสามารถเข้าใจพวกมันได้ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างมันได้ เนื่องจากเขาถูกจำกัดด้วยขอบเขตความแข็งแกร่งและความเข้าใจในเต๋าของตัวเขาเอง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลานี้

มือขวาของเขาขยับอย่างว่องไวและยืดหยุ่นราวกับงูที่บิดงอตัวได้จนดูเหมือนไม่มีกระดูก เส้นอักขระยันต์สีแดงจำนวนมากพุ่งออกมาจากปลายพู่กัน ไหลคดเคี้ยวไปบนกระดาษยันต์สีเงิน ในตอนเริ่มต้นการเคลื่อนไหวของเฉินซีติดขัดไปบ้างเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่ได้สร้างยันต์มาเนิ่นนานแล้ว ทว่าไม่นานนักเขาก็เรียกคืนความรู้สึกเดิม ๆ กลับคืนมาได้ ปลายพู่กันของเขาเริ่มว่องไวและมั่นคง ทำให้โครงสร้างอักขระยันต์ที่วาดบนกระดาษยันต์เรียบรื่นตามไปด้วย เส้นสายอักขระดูนุ่มนวลขึ้นราวกับสายน้ำไหลตามธรรมชาติที่ปราศจากการประดิษฐ์ขึ้น

ถึงแม้ว่าพลังชีวิตพฤกษาครามจะเป็นยันต์เลิศล้ำระดับสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในยันต์ที่บรรจุอยู่ในยันต์เทวะพฤกษาคราม แต่มันก็มีความหนาแน่นและซับซ้อนอยู่ในตัวเองมากเช่นกัน เขาจำเป็นจะต้องสลักอักขระทั้งหมดถึงแปดสิบเอ็ดรูปแบบ โดยแต่ละรูปแบบจะมีโครงสร้างอักขระยันต์อยู่เก้าชนิด นอกจากนั้นยังจำต้องใส่พลังงานของเต๋ารู้แจ้งเพิ่มลงในทุก ๆ อักขระยันต์ อาจเรียกได้ว่านี่เป็นโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก

ทว่าถึงมันจะหนาแน่นและซับซ้อน แต่ถ้ามันถูกสร้างขึ้นได้สำเร็จ พลังของยันต์เลิศล้ำระดับสูงนี้จะน่าสะพรึงยิ่ง และมากเกินพอที่จะเทียบได้กับการโจมตีเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองขั้นสูงแล้ว

เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราตรีที่เงียบสงบค่อย ๆ จากไป เมื่อพระอาทิตย์ยามเช้ามาเยือน

ในช่วงเวลานี้ เฉินซีเป็นราวกับรูปปั้นดินเผา ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่กระดาษยันต์โดยไม่กะพริบ สีหน้าของเขาสงบนิ่งและไร้ซึ่งอารมณ์ มีเพียงมือขวาที่จัดการควบคุมพู่กันยันต์อย่างคล่องแคล่วเท่านั้น ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

มู่ขุยมาถึงเร็วเกินไปและเห็นว่าเฉินซีกำลังจดจ่อสมาธิอยู่กับการสร้างยันต์ แม้ว่าเขาจะอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่กล้ารบกวนอีกฝ่ายเพราะกลัวอย่างมากว่าเขาจะสร้างปัญหาให้เฉินซี และเพื่อป้องกันไม่ให้โลกภายนอกส่งผลกระทบต่อชายหนุ่ม มู่ขุยจึงนั่งขัดสมาธิขวางอยู่ที่หน้าประตูห้องของเฉินซีทันที โดยไม่กินหรือดื่มในขณะที่คอยจับตาดูสภาพแวดล้อมรอบข้างเลย แม้แต่เสียงสายลมที่กวาดใบไม้มากระทบกันเพียงเล็กน้อย ก็ไม่อาจรอดพ้นประสาทสัมผัสของเขาได้

ในเวลาเดียวกันนั้น ตระกูลซือคงในเมืองเฟิงเย่ได้กำลังวางแผนเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านเฉินซีอยู่

นี่คือห้องสีดำสนิทที่มืดมิดและน่ากลัว ซึ่งเต็มไปด้วยแมงมุม ตะขาบ คางคก งู และแมงป่องคลานไปมา พวกมันล้วนมีร่างกายที่ใหญ่โตจนน่าตกใจ ทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างยิ่ง ดวงตาของพวกมันฉายแววกระหายเลือดอย่างบ้าคลั่ง สัตว์อสูรที่มีพิษร้ายแรงทั้งห้าชนิดถูกห้อมล้อมด้วยเมฆหมอกพิษ ทั่วทั้งห้องลับมีพวกมันอยู่นับพัน

กลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนเป็นเหมือนหมอกละอองเหนียวกระจายอยู่ทั่วทุกตารางนิ้วของห้อง หากคนธรรมดาเข้ามาที่นี่ เพียงแค่ได้กลิ่นเล็กน้อยก็สามารถตายและกลายเป็นกองเลือดหนองได้ทันที

สวบ! สาบ!

ในเวลานี้ สัตว์อสูรพิษต่าง ๆ ในห้องดูราวกับว่าจู่ ๆ ก็เกิดคลั่งขึ้นมา และเริ่มต่อสู้กัน เสียงกรีดร้องแหลมและโหยหวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกคราที่มีการตายเกิดขึ้น ศพของสหายผู้โชคร้ายจะถูกฝ่ายตรงข้ามกลืนหายไปในพริบตา เป็นสถานการณ์การต่อสู้ที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง

ซือคงฮวายืนมองการสังหารหมู่นองเลือดและเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนอยู่นอกห้องด้วยขาที่สั่นเทา ความขยะแขยงและหวาดกลัวปรากฏขึ้นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน

เขารู้ว่านี่เป็นวิธีบ่มเพาะสัตว์พิษที่ทรงพลัง เมื่อพวกมันทั้งหมดถูกขังไว้ในห้องและปล่อยให้ต่อสู้กันเอง มีเพียงสัตว์พิษตัวสุดท้ายเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดได้ สัตว์พิษตัวที่รอดชีวิตจากการต่อสู้และกลืนกินสหายทั้งหมดของมันก็จะได้รับการฝึกฝนด้วยทักษะลับ เพื่อให้มันจะสามารถแปลงร่างให้น่ากลัวขึ้น ทรงพลังขึ้น และกลายเป็นราชาแห่งพิษได้

อาทิเช่น ความแข็งแกร่งของสัตว์พิษตัวสุดท้ายที่รอดตายท่ามกลางสัตว์พิษจำนวนมากในห้องตรงหน้าของเขานี้ หลังจากที่มันได้รับการฝึก พลังของมันก็จะเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำ ยิ่งกว่านั้น มันยังครอบครองพิษร้ายที่โหดเหี้ยมและน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ดังนั้นถึงจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำแต่หากระดับไม่สูงพอ ก็ย่อมถูกมันฆ่าอย่างไร้ความปรานี กลายเป็นเพียงแอ่งน้ำที่ส่งกลิ่นเหม็นและน่าขยะแขยง

แต่ซือคงฮวาไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเขารู้สึกหวาดกลัวและระแวงกับเหตุการณ์ในห้องนี้อยู่แต่แรกแล้ว เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้หนีออกจากที่แห่งนี้ไปโดยเร็วที่สุด ทว่าเมื่อเขาเหลือบมองไปที่ซือคงเหิน พี่ชายของเขาผู้อยู่ข้าง ๆ ซือคงฮวาก็เลือกที่จะอดทนต่อความกลัวในใจและอยู่ที่นี่ต่ออย่างเชื่อฟัง

“เจ้าบอกว่าเด็กคนนั้นซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมวิหคทะยาน?” ซือคงเหินถอนสายตาออกจากห้องเบื้องหน้า แล้วหันกลับมาถามขึ้นอย่างเย็นชา

“ใช่แล้ว ไอ้ตัวบัดซบนั่นเหมือนเต่าขี้ขลาดที่ไม่ได้มีความกล้าเลยแม้แต่น้อย ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าไก่ตาขาวเช่นมันกล้าที่จะสู้กับตระกูลซือคงของเราได้อย่างไร” ซือคงฮวากล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม

“ข้าไม่ได้อยากได้ยินเรื่องนั้น ข้าแค่อยากจะถามว่าเจ้าได้ตรวจสอบชื่อและตัวตนของเขาหรือยัง” ซือคงเหินขมวดคิ้ว

“ดูเหมือนว่ามันจะชื่อเฉินซี ตามรายงานจากหน่วยสอดแนมของเรา คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะของเมืองเฟิงเย่ ไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับการฆ่ามันทิ้ง” ซือคงฮวาคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจ

“เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว บอกหน่วยสอดแนมเหล่านั้นให้เฝ้าดูเด็กคนนั้นตลอดเวลา หากเขาตั้งใจจะออกจากเมืองเฟิงเย่เมื่อใด ให้รีบมารายงานให้ข้ารู้ หากใครกล้าหละหลวมและปล่อยให้เด็กนั่นหนีไปให้พ้นสายตา… ฮึ่ม! ห้องนี้จะเป็นที่พักแห่งสุดท้ายของมันผู้นั้น!” ซือคงเหินชี้ไปที่ห้องข้างหน้าเขาขณะที่พูดอย่างเย็นชา

“พี่ชาย เพียงแค่ผู้บ่มเพาะจากต่างเมือง ไยจึงต้องรอให้มันออกไปนอกเมืองก่อนด้วยเล่า?” ซือคงฮวาถามอย่างไม่เข้าใจ ขณะมองไปยังการสังหารหมู่ที่นองเลือดและน่าสยดสยองภายในห้อง และอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาพลางคิดในใจถึงจุดจบอันโหดร้ายของผู้โชคไม่ดีที่จะถูกโยนเข้าไป

“รอไปก่อน กลุ่มของหนิงอีกำลังจะเดินทางกลับมาในอีกสิบห้าวัน เมื่อถึงเวลานั้น หากเจ้าเด็กนั้นยังคงหมกตัวอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลอบสังหารเขาทิ้ง”

ซือคงเหินคิดอยู่ครู่หนึ่งและออกคำสั่ง “จำไว้ อย่าแตะต้องเด็กคนนั้นไปสักพัก เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหอขุมทรัพย์สวรรค์แพร่กระจายไปทั่วเมืองเฟิงเย่แล้ว หากเด็กคนนั้นตาย นิกายสวรรค์ปฐพีจะใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างเพื่อจัดการกับตระกูลซือคงของเราอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้ากับข้าคงหนีโทษทัณฑ์จากท่านพ่อไม่พ้นแน่”

“บัดซบ! นิกายสวรรค์ปฐพีอีกแล้ว! พวกมันคิดจะต่อต้านเราทุกทางเลยหรือไร ข้าอยากจะให้ทุกคนในนิกายนั้นตาย ๆ ไปให้หมดเสียที!” ซือคงฮวาพึมพำด้วยความโกรธ

“วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน เมื่อข้ายึดกระบองหนามคืนกลับมาได้ และพบห้องเก็บสมบัติมรดกของนิกายป้ายเหล็กในแดนภวังค์ทมิฬเมื่อไร เมื่อนั้นข้าคงจะมีกำลังมากพอที่จะบดขยี้นิกายสวรรค์ปฐพีทิ้ง…” ซือคงเหินพึมพำ ดวงตาที่เย็นชาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร

[1] หนึ่งชุ่นเท่ากับหนึ่งนิ้ว

[2] หนึ่งฉื่อเท่ากับสิบนิ้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]