บทที่ 298 ควันหลงจากการต่อสู้
บทที่ 298 ควันหลงจากการต่อสู้
เสียงแว่วลอยมาดุจหมอกควัน แต่ดังสะท้านไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ยากที่จะบอกได้แน่ชัดว่าต้นตอเสียงไปซ่อนอยู่ที่ใด
เมื่อในใจของหย่งหลินเยือกเย็น เปลวเพลิงแห่งความโกรธก็สงบลงดุจระลอกคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง เขาทำใจเย็นขณะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พลางเอ่ยถามเสียงขรึมหน้าเคร่ง “ในเมื่อเจ้ารู้จักฉายาของข้าแล้ว จะมัวหลบซ่อนไปไย”
“หลบอย่างนั้นหรือ ทำไมข้าจะต้องหลบเวลาเผชิญหน้ากับมารเช่นเจ้า” ขณะนั้นเสียงที่ดังแผ่วเบาทว่าชัดเจน ก้อนเมฆสีขาวราวปุยหิมะค่อยไหลเลื่อนเข้ารวมตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเผยให้เห็นชายวัยกลางคน ผู้มีรูปร่างผอมสูง มีใบหน้าคมคายใต้คางไว้เครายาวสามแฉก ท่าที่เอามือไพล่หลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ราวกับว่าเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินจนแลดูดุจภาพลวงตากระนั้น
“เฉาจือชิว…ประมุขนิกายสวรรค์ปฐพี!” หย่งหลินตาเหลือกขณะเดียวกันในใจไหววูบ ความคิดเดียวที่พุ่งวาบขึ้นมาทันที ‘หนี!’
แต่เมื่อเขาหันไปมองรอบข้างพลันก็พบกับความรู้สึกสิ้นหวังทันที ด้วยขณะนั้นผู้คนที่อยู่ในบริเวณล้วนเป็นผู้บ่มเพาะพลังซึ่งมีทั้งคนหนุ่มสาวและคนสูงวัย มีทั้งชายและหญิง อีกทั้งพวกเขาแต่ละคนยังปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามอันแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีพลังแกร่งกล้าไม่น้อยกว่าขอบเขตจุติทั้งสิ้น!
ยิ่งกว่านั้นหย่งหลินได้ตระหนักชัดแล้วว่านอกเหนือจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่เคยปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกมานานนับสองสามพันปี บัดนี้นิกายสวรรค์ปฐพีได้เรียกระดมพลคนชั้นผู้นำทั้งหมดในนิกายให้มารวมกันที่นี่แล้ว
‘ข้าจบสิ้นแล้ว!’
‘คงยากที่ข้าจะหลีกหนีวิบัติในวันนี้ได้เสียแล้ว!’
หย่งหลินยอมแพ้แล้วอย่างสิ้นเชิง เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างไร้ศีรษะของซือคงเหิน ความขมขื่นใจก็พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มที่เขาเฝ้าถนอมให้เติบโตได้ตายไปเสียแล้ว และเขาเองก็คงจะอยู่อีกไม่นาน
“กว่ายี่สิบปีแล้วที่น้องสาวของข้า…เหมียวชิง ต้องเสื่อมเสียเพราะถูกเจ้าฆ่าตายอย่างทรมาน ในวันนั้นข้า…เฉาจือชิวสาบานว่าจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้ทำลายเจ้า…เฉิงหย่งหลินให้พินาศตกตามกันไป คำสาบานนั้นเสมือนภูตผีที่คอยหลอกหลอนข้ามาตลอดยี่สิบปี ทำให้ไม่เป็นอันกินอันนอน กระทั่งไม่อาจบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีเป็นเวลาเนิ่นนาน” ในดวงตาของเฉาจือชิวเป็นดั่งท้องฟ้ายามราตรีที่แปรเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ในอดีตตลอดเวลา แต่น้ำเสียงของคนพูดยังคงราบเรียบราวกับกำลังเล่าเรื่องธรรมดาทั่วไป “ในที่สุดโอกาสของข้าก็มาถึง วันใดที่ข้าสามารถกำจัดมารในใจออกไปได้ การบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป”
หย่งหลินนึกไม่ถึงเลยว่าศิษย์หญิงของนิกายสวรรค์ปฐพีที่เขาเคยลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเมื่อหลายปีก่อน จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เฉาจือชิวถึงกับเอ่ยคำสาบานอย่างจริงจัง ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินวาจาที่ทั้งเรียบเฉยและไร้ความรู้สึกของอีกฝ่าย จึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนขนลุกขนชัน จนชาวาบไปทั้งตัวราวกับเพิ่งตกลงไปในบ่อที่มีแต่น้ำแข็ง
“หึ! ถ้าอยากจะฆ่าข้าก็ลงมือเลย! จะมัวพล่ามไร้สาระทำไม” หย่งหลินสะท้านไปทั้งร่าง ขณะนั้นพลังปราณอันร้ายกาจก็พุ่งวาบออกจากร่างกายอย่างรุนแรงประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยวกราก ก่อนที่เขาจะหมุนตัวขวับเพื่อพยายามที่จะแหกวงล้อมออกไป แม้รู้ว่าตนต้องตายแน่ แต่ก็อยากลองดู ไม่เช่นนั้นคงไม่หายข้องใจ
“คิดว่าหนีพ้นอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงระคนเหยียดหยามของเฉาจือชิวที่แสยะมุมปาก จากนั้นเขาพลันก้าวออกไปในอากาศราวกับจะแยกร่างเคลื่อนเข้ามา ต่อมาร่างสูงที่เคลื่อนผ่านมิติมาได้ปรากฏตัวต่อหน้าหย่งหลิน จากนั้นเขาทำท่าเงื้อฝ่ามือขึ้นก่อนจะฟาดลงไปเต็มแรง
พลังจู่โจมด้วยฝ่ามือนั้นช่างเรียบง่าย อีกทั้งยังปราศจากกลิ่นอายแห่งความแข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง ทว่าดูเหมือนฟ้าดินจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ามือ และด้วยความที่ผนึกพลังแห่งฟ้าดินทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้านทานได้ยาก อีกทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยซ้ำ
หย่งหลินกัดฟันคำรามกร้าว พร้อมกันนั้นเขาก็ขับดันพลังทั้งหมดเท่าที่มีและผสานรวมไว้ในวงแขนและยกขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง แต่เป็นความพยายามที่ไร้ผล เพราะฝ่ามือของเฉาจือชิวที่ฟาดลงไปที่แขนตรง ๆ กลับทำให้แขนข้างนั้นกดลงบนหน้าอกของตนเองอย่างจัง
เปรี้ยง!
ฉับพลันทั้งกระดูกกระเดี้ยว เส้นเอ็น เลือดเนื้อของหย่งหลินถูกฉีกราวกับผ้าขี้ริ้ว แหลกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปในอากาศ แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติที่ดูถูกมนุษย์ทุกคนในโลกกลับไม่อาจต้านทานพลังจู่โจมตีเพียงครั้งเดียวของเฉาจือชิว และต้องมาจบชีวิตอย่างกะทันหันในสภาพที่น่าสังเวชใจเช่นนี้
“ยี่สิบปี…ในที่สุดข้าก็ปลดปล่อยตัวเองได้แล้ว…” ทันทีที่เฉาจือชิวถอนฝ่ามือของเขาออก สีหน้าท่าทีดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาได้ทำลายห่วงโซ่ที่พันธนาการจิตใจออกแล้ว ทำให้ร่างกายยิ่งบอบบางลงไปอีกเหมือนต้นสนเดียวดายสูงตระหง่านสู่สรวงสวรรค์ ต่อให้สวรรค์หรือพื้นพิภพจะเปลี่ยนไป หรือเวลาจะเปลี่ยนไปเช่นไร เขาก็ไม่มีทางสะดุ้งสะเทือน และด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เอง จึงปรากฏกลิ่นอายเซียนถูกปลดปล่อยออกมาอย่างแผ่วเบา
“ขอแสดงความยินดีกับท่านประมุขนิกายที่สามารถกำจัดมารในใจได้ ต่อไปท่านจะต้องบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีได้แน่นอน จากนั้นก็จะมุ่งหน้าสู่ความเป็นเซียนสวรรค์ต่อไป!” บรรดาผู้อาวุโสที่มีพลังขอบเขตจุติของนิกายสวรรค์ปฐพีพากันค้อมกายคารวะแสดงความยินดีแก่เขาอย่างต่อเนื่อง
เฉาจือชิวยิ้มกริ่มพลางกวาดสายตาไปยังชายหนุ่มผู้ยืนดูอย่างใจเย็นก่อนจะเอ่ยยิ้ม ๆ กับเขา “โม่เซวียน วันนี้เจ้ามีความดีความชอบ เมื่อพวกเรากลับถึงนิกายแล้ว อาจารย์จะหลอมกระบี่ชั้นเลิศให้เจ้าโดยเฉพาะ เจ้าจะได้โดดเด่นที่สุดในการชุมนุมดาวรุ่ง และเมื่อนั้นความยิ่งใหญ่ของนิกายสวรรค์ปฐพีก็จะแพร่สะพัดออกไป!”
ที่แท้เขาคือหลินโม่เซวียน คนฟังชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะคุกเข่าลงกับพื้นและโขกศีรษะคำนับ และตอบรับด้วยน้ำเสียงสะท้านเพราะความตื่นเต้น “ขอบพระคุณขอรับ ท่านอาจารย์ที่ให้ความเมตตาแก่ข้าอย่างยิ่งใหญ่!”
นี่เป็นความบังเอิญที่โชคดีในวันเกิดเหตุเมื่อเขาพบว่าซือคงเหินนำกลุ่มศิษย์ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกำลังมุ่งหน้าออกจากเมืองในคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนองนั่นเอง และอะไรบางอย่างกระตุ้นให้เขาคิดที่จะติดตามไป ไม่คิดเลยว่าเป้าหมายที่พวกซือคงเหินกำลังไล่ตามคือ ‘สหายเก่า’ ของเขา…เฉินซีนั่นเอง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอำพรางตัวทันทีรอให้สบโอกาสก่อนจะลงมือ ไม่เพียงความต้องการสมบัติวิเศษของตนเองคืนมาเท่านั้น เขายังหวังที่จะได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าทุกชิ้นที่เฉินซีมีอยู่ด้วย
ถึงกระนั้นเมื่อเขาได้เห็นกับตาว่าเฉินซีสังหารศิษย์ของตระกูลซือคงซึ่งมีพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจำนวนสองหรือสามคนเพียงไม่กี่อึดใจ ก่อนที่คนผู้นั้นจะหันไปประมือกับหย่งหลินซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติด้วยพลังขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์ยิ่งสร้างความประหลาดใจแก่ตนและแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ในเมื่อความจริงเช่นนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะดับฝันของตนเสียก่อน
ทว่าเขาไม่ได้ต้องการละทิ้งความคิดเดิมเสียทีเดียว ดังนั้นจึงจัดการผ่านแผ่นหยกส่งข่าวไปที่นิกายของตน หวังจะใช้อำนาจของนิกายกำจัดเฉินซี ด้วยวิธีนี้ถึงแม้เขาจะไม่ได้สิทธิ์ในการครอบครองสมบัติล้ำค่าของเฉินซีแต่เพียงผู้เดียวก็ตาม แต่ก็ยังได้รับผลจากบุญคุณไม่น้อย
ซึ่งเป็นดังคาดเมื่อได้ยินว่าประมุขนิกายจะหลอมกระบี่ให้เขาโดยเฉพาะ หลินโม่เซวียนก็รู้ได้ทันทีว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดแล้ว แต่ออกจะเสียดายอยู่หน่อยตรงที่เจ้าเฉินซีมันหนีไปเสียแล้วตอนที่ประมุขนิกายเข้ามานั่นเอง จึงทำให้ความหวังที่จะได้ครองสมบัติล้ำค่าของเฉินซีก็มีอันสลายไปในบัดดล
“นึกเสียดายที่เจ้าไม่ได้ฆ่าเฉินซีสินะ” ทันใดนั้นเสียงถามของเฉาจือชิวดังขึ้นตรงหน้าหลินโม่เซวียน เขาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “เจ้าเด็กนั่นมันไม่ถึงที่ตายแต่อย่างน้อย ๆ มันก็ไม่ต้องมาตายด้วยน้ำมือคนแก่อย่างข้า มิฉะนั้นอาจทำให้นิกายสวรรค์ปฐพีต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ก็เป็นได้”
หลินโม่เซวียนได้ยินเช่นนั้นแล้ว เขาถึงกับตกใจไม่น้อย อีกทั้งแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ทันใดนั้นเขาทำท่าเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “อาจารย์หมายความว่าคนที่จะต่อสู้กับเขาต้องเป็นคนรุ่นเยาว์เท่านั้นหรือขอรับ”
แววตาชื่นชมส่องประกายวูบภายในดวงตาของเฉาจือชิว “ใช่แล้ว ในฐานะที่เจ้าเป็นหัวเรือใหญ่ของคนรุ่นเยาว์ ถ้าพวกเจ้าทุกคนลงมือกำจัดเจ้าเด็กคนนั้น เมื่อเขาตายจะโทษใครไม่ได้นอกจากฝีมือที่เป็นรองของตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าพวกข้าลงมือก็เท่ากับว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราฆ่าเขาแล้ว แต่ผลที่จะตามมาเจ้าจะคิดไม่ออกทีเดียว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...