บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 298

บทที่ 298 ควันหลงจากการต่อสู้

บทที่ 298 ควันหลงจากการต่อสู้

เสียงแว่วลอยมาดุจหมอกควัน แต่ดังสะท้านไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ยากที่จะบอกได้แน่ชัดว่าต้นตอเสียงไปซ่อนอยู่ที่ใด

เมื่อในใจของหย่งหลินเยือกเย็น เปลวเพลิงแห่งความโกรธก็สงบลงดุจระลอกคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง เขาทำใจเย็นขณะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พลางเอ่ยถามเสียงขรึมหน้าเคร่ง “ในเมื่อเจ้ารู้จักฉายาของข้าแล้ว จะมัวหลบซ่อนไปไย”

“หลบอย่างนั้นหรือ ทำไมข้าจะต้องหลบเวลาเผชิญหน้ากับมารเช่นเจ้า” ขณะนั้นเสียงที่ดังแผ่วเบาทว่าชัดเจน ก้อนเมฆสีขาวราวปุยหิมะค่อยไหลเลื่อนเข้ารวมตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเผยให้เห็นชายวัยกลางคน ผู้มีรูปร่างผอมสูง มีใบหน้าคมคายใต้คางไว้เครายาวสามแฉก ท่าที่เอามือไพล่หลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ราวกับว่าเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินจนแลดูดุจภาพลวงตากระนั้น

“เฉาจือชิว…ประมุขนิกายสวรรค์ปฐพี!” หย่งหลินตาเหลือกขณะเดียวกันในใจไหววูบ ความคิดเดียวที่พุ่งวาบขึ้นมาทันที ‘หนี!’

แต่เมื่อเขาหันไปมองรอบข้างพลันก็พบกับความรู้สึกสิ้นหวังทันที ด้วยขณะนั้นผู้คนที่อยู่ในบริเวณล้วนเป็นผู้บ่มเพาะพลังซึ่งมีทั้งคนหนุ่มสาวและคนสูงวัย มีทั้งชายและหญิง อีกทั้งพวกเขาแต่ละคนยังปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามอันแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีพลังแกร่งกล้าไม่น้อยกว่าขอบเขตจุติทั้งสิ้น!

ยิ่งกว่านั้นหย่งหลินได้ตระหนักชัดแล้วว่านอกเหนือจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่เคยปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกมานานนับสองสามพันปี บัดนี้นิกายสวรรค์ปฐพีได้เรียกระดมพลคนชั้นผู้นำทั้งหมดในนิกายให้มารวมกันที่นี่แล้ว

‘ข้าจบสิ้นแล้ว!’

‘คงยากที่ข้าจะหลีกหนีวิบัติในวันนี้ได้เสียแล้ว!’

หย่งหลินยอมแพ้แล้วอย่างสิ้นเชิง เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างไร้ศีรษะของซือคงเหิน ความขมขื่นใจก็พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มที่เขาเฝ้าถนอมให้เติบโตได้ตายไปเสียแล้ว และเขาเองก็คงจะอยู่อีกไม่นาน

“กว่ายี่สิบปีแล้วที่น้องสาวของข้า…เหมียวชิง ต้องเสื่อมเสียเพราะถูกเจ้าฆ่าตายอย่างทรมาน ในวันนั้นข้า…เฉาจือชิวสาบานว่าจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้ทำลายเจ้า…เฉิงหย่งหลินให้พินาศตกตามกันไป คำสาบานนั้นเสมือนภูตผีที่คอยหลอกหลอนข้ามาตลอดยี่สิบปี ทำให้ไม่เป็นอันกินอันนอน กระทั่งไม่อาจบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีเป็นเวลาเนิ่นนาน” ในดวงตาของเฉาจือชิวเป็นดั่งท้องฟ้ายามราตรีที่แปรเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ในอดีตตลอดเวลา แต่น้ำเสียงของคนพูดยังคงราบเรียบราวกับกำลังเล่าเรื่องธรรมดาทั่วไป “ในที่สุดโอกาสของข้าก็มาถึง วันใดที่ข้าสามารถกำจัดมารในใจออกไปได้ การบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป”

หย่งหลินนึกไม่ถึงเลยว่าศิษย์หญิงของนิกายสวรรค์ปฐพีที่เขาเคยลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเมื่อหลายปีก่อน จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เฉาจือชิวถึงกับเอ่ยคำสาบานอย่างจริงจัง ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินวาจาที่ทั้งเรียบเฉยและไร้ความรู้สึกของอีกฝ่าย จึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนขนลุกขนชัน จนชาวาบไปทั้งตัวราวกับเพิ่งตกลงไปในบ่อที่มีแต่น้ำแข็ง

“หึ! ถ้าอยากจะฆ่าข้าก็ลงมือเลย! จะมัวพล่ามไร้สาระทำไม” หย่งหลินสะท้านไปทั้งร่าง ขณะนั้นพลังปราณอันร้ายกาจก็พุ่งวาบออกจากร่างกายอย่างรุนแรงประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยวกราก ก่อนที่เขาจะหมุนตัวขวับเพื่อพยายามที่จะแหกวงล้อมออกไป แม้รู้ว่าตนต้องตายแน่ แต่ก็อยากลองดู ไม่เช่นนั้นคงไม่หายข้องใจ

“คิดว่าหนีพ้นอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงระคนเหยียดหยามของเฉาจือชิวที่แสยะมุมปาก จากนั้นเขาพลันก้าวออกไปในอากาศราวกับจะแยกร่างเคลื่อนเข้ามา ต่อมาร่างสูงที่เคลื่อนผ่านมิติมาได้ปรากฏตัวต่อหน้าหย่งหลิน จากนั้นเขาทำท่าเงื้อฝ่ามือขึ้นก่อนจะฟาดลงไปเต็มแรง

พลังจู่โจมด้วยฝ่ามือนั้นช่างเรียบง่าย อีกทั้งยังปราศจากกลิ่นอายแห่งความแข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง ทว่าดูเหมือนฟ้าดินจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ามือ และด้วยความที่ผนึกพลังแห่งฟ้าดินทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้านทานได้ยาก อีกทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยซ้ำ

หย่งหลินกัดฟันคำรามกร้าว พร้อมกันนั้นเขาก็ขับดันพลังทั้งหมดเท่าที่มีและผสานรวมไว้ในวงแขนและยกขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง แต่เป็นความพยายามที่ไร้ผล เพราะฝ่ามือของเฉาจือชิวที่ฟาดลงไปที่แขนตรง ๆ กลับทำให้แขนข้างนั้นกดลงบนหน้าอกของตนเองอย่างจัง

เปรี้ยง!

ฉับพลันทั้งกระดูกกระเดี้ยว เส้นเอ็น เลือดเนื้อของหย่งหลินถูกฉีกราวกับผ้าขี้ริ้ว แหลกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปในอากาศ แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติที่ดูถูกมนุษย์ทุกคนในโลกกลับไม่อาจต้านทานพลังจู่โจมตีเพียงครั้งเดียวของเฉาจือชิว และต้องมาจบชีวิตอย่างกะทันหันในสภาพที่น่าสังเวชใจเช่นนี้

“ยี่สิบปี…ในที่สุดข้าก็ปลดปล่อยตัวเองได้แล้ว…” ทันทีที่เฉาจือชิวถอนฝ่ามือของเขาออก สีหน้าท่าทีดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาได้ทำลายห่วงโซ่ที่พันธนาการจิตใจออกแล้ว ทำให้ร่างกายยิ่งบอบบางลงไปอีกเหมือนต้นสนเดียวดายสูงตระหง่านสู่สรวงสวรรค์ ต่อให้สวรรค์หรือพื้นพิภพจะเปลี่ยนไป หรือเวลาจะเปลี่ยนไปเช่นไร เขาก็ไม่มีทางสะดุ้งสะเทือน และด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เอง จึงปรากฏกลิ่นอายเซียนถูกปลดปล่อยออกมาอย่างแผ่วเบา

“ขอแสดงความยินดีกับท่านประมุขนิกายที่สามารถกำจัดมารในใจได้ ต่อไปท่านจะต้องบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีได้แน่นอน จากนั้นก็จะมุ่งหน้าสู่ความเป็นเซียนสวรรค์ต่อไป!” บรรดาผู้อาวุโสที่มีพลังขอบเขตจุติของนิกายสวรรค์ปฐพีพากันค้อมกายคารวะแสดงความยินดีแก่เขาอย่างต่อเนื่อง

เฉาจือชิวยิ้มกริ่มพลางกวาดสายตาไปยังชายหนุ่มผู้ยืนดูอย่างใจเย็นก่อนจะเอ่ยยิ้ม ๆ กับเขา “โม่เซวียน วันนี้เจ้ามีความดีความชอบ เมื่อพวกเรากลับถึงนิกายแล้ว อาจารย์จะหลอมกระบี่ชั้นเลิศให้เจ้าโดยเฉพาะ เจ้าจะได้โดดเด่นที่สุดในการชุมนุมดาวรุ่ง และเมื่อนั้นความยิ่งใหญ่ของนิกายสวรรค์ปฐพีก็จะแพร่สะพัดออกไป!”

ที่แท้เขาคือหลินโม่เซวียน คนฟังชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะคุกเข่าลงกับพื้นและโขกศีรษะคำนับ และตอบรับด้วยน้ำเสียงสะท้านเพราะความตื่นเต้น “ขอบพระคุณขอรับ ท่านอาจารย์ที่ให้ความเมตตาแก่ข้าอย่างยิ่งใหญ่!”

นี่เป็นความบังเอิญที่โชคดีในวันเกิดเหตุเมื่อเขาพบว่าซือคงเหินนำกลุ่มศิษย์ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกำลังมุ่งหน้าออกจากเมืองในคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนองนั่นเอง และอะไรบางอย่างกระตุ้นให้เขาคิดที่จะติดตามไป ไม่คิดเลยว่าเป้าหมายที่พวกซือคงเหินกำลังไล่ตามคือ ‘สหายเก่า’ ของเขา…เฉินซีนั่นเอง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอำพรางตัวทันทีรอให้สบโอกาสก่อนจะลงมือ ไม่เพียงความต้องการสมบัติวิเศษของตนเองคืนมาเท่านั้น เขายังหวังที่จะได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าทุกชิ้นที่เฉินซีมีอยู่ด้วย

ถึงกระนั้นเมื่อเขาได้เห็นกับตาว่าเฉินซีสังหารศิษย์ของตระกูลซือคงซึ่งมีพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจำนวนสองหรือสามคนเพียงไม่กี่อึดใจ ก่อนที่คนผู้นั้นจะหันไปประมือกับหย่งหลินซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติด้วยพลังขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์ยิ่งสร้างความประหลาดใจแก่ตนและแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ในเมื่อความจริงเช่นนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะดับฝันของตนเสียก่อน

ทว่าเขาไม่ได้ต้องการละทิ้งความคิดเดิมเสียทีเดียว ดังนั้นจึงจัดการผ่านแผ่นหยกส่งข่าวไปที่นิกายของตน หวังจะใช้อำนาจของนิกายกำจัดเฉินซี ด้วยวิธีนี้ถึงแม้เขาจะไม่ได้สิทธิ์ในการครอบครองสมบัติล้ำค่าของเฉินซีแต่เพียงผู้เดียวก็ตาม แต่ก็ยังได้รับผลจากบุญคุณไม่น้อย

ซึ่งเป็นดังคาดเมื่อได้ยินว่าประมุขนิกายจะหลอมกระบี่ให้เขาโดยเฉพาะ หลินโม่เซวียนก็รู้ได้ทันทีว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดแล้ว แต่ออกจะเสียดายอยู่หน่อยตรงที่เจ้าเฉินซีมันหนีไปเสียแล้วตอนที่ประมุขนิกายเข้ามานั่นเอง จึงทำให้ความหวังที่จะได้ครองสมบัติล้ำค่าของเฉินซีก็มีอันสลายไปในบัดดล

“นึกเสียดายที่เจ้าไม่ได้ฆ่าเฉินซีสินะ” ทันใดนั้นเสียงถามของเฉาจือชิวดังขึ้นตรงหน้าหลินโม่เซวียน เขาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “เจ้าเด็กนั่นมันไม่ถึงที่ตายแต่อย่างน้อย ๆ มันก็ไม่ต้องมาตายด้วยน้ำมือคนแก่อย่างข้า มิฉะนั้นอาจทำให้นิกายสวรรค์ปฐพีต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ก็เป็นได้”

หลินโม่เซวียนได้ยินเช่นนั้นแล้ว เขาถึงกับตกใจไม่น้อย อีกทั้งแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ทันใดนั้นเขาทำท่าเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “อาจารย์หมายความว่าคนที่จะต่อสู้กับเขาต้องเป็นคนรุ่นเยาว์เท่านั้นหรือขอรับ”

แววตาชื่นชมส่องประกายวูบภายในดวงตาของเฉาจือชิว “ใช่แล้ว ในฐานะที่เจ้าเป็นหัวเรือใหญ่ของคนรุ่นเยาว์ ถ้าพวกเจ้าทุกคนลงมือกำจัดเจ้าเด็กคนนั้น เมื่อเขาตายจะโทษใครไม่ได้นอกจากฝีมือที่เป็นรองของตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าพวกข้าลงมือก็เท่ากับว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราฆ่าเขาแล้ว แต่ผลที่จะตามมาเจ้าจะคิดไม่ออกทีเดียว”

หลินโม่เซวียนนิ่งไปก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยถามคนตรงข้าม “อาจารย์ขอรับ เจ้าหมอนั่นเป็นใครกันแน่ เหตุใดท่านจึงเกรงกลัวเขานัก”

คนเป็นอาจารย์กล่าวอย่างถอนใจ “ไม่ใช่เพียงแต่ข้า แม้แต่เหล่าตัวประหลาดเฒ่าทั้งหลายในแผ่นดินซ่งจะไม่ทำอะไรลงไปโดยพลการแน่ อนิจจา ถึงข้าพูดไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี เอาไว้เมื่อเจ้ามีโอกาสเข้าไปยังแดนภวังค์ทมิฬแล้วเจ้าจะเข้าใจได้เอง”

“แม้แต่เหล่าตัวประหลาดเฒ่าทั้งหลายในแผ่นดินซ่งก็ยังไม่กล้าทำอะไรโดยพลการอย่างนั้นหรือขอรับอาจารย์?” หลินโม่เซวียนรำพึง สีหน้าของเขางงงันราวกับถูกสายฟ้าฟาดโดยไม่ทันตั้งตัว จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่เข้าใจความนัยของคำพูดนั้นอยู่วันยังค่ำ

“ไปกันเถอะ ตระกูลซือคงกล้าให้เฉิงหย่งหลินเข้าไปหลบซ่อนตัวถึงยี่สิบปี ข้าจะจัดการให้พวกมันชดใช้หนี้ในครั้งนี้!” แม้ว่าเฉาจือชิวจะพูดเสียงเรียบ ทว่ากลับเผยให้เห็นความอาฆาตมาดร้ายได้อย่างชัดเจน

หลินโม่เซวียนรู้ดีว่าอย่างไรเสียตระกูลซือคงไม่พ้นต้องพินาศ ยามนี้โอกาสรอดของตระกูลเข้าขั้นวิฤตเสียแล้ว

ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดภายในหอสนทนาของตระกูลซือคง ทำให้ผู้คนในนั้นหายใจหายคอแทบไม่ออก

ขณะนั้นซือคงเสี่ยวอวิ๋นผู้เป็นประมุขคนปัจจุบันนั่งหลังตรงและนิ่งเงียบอยู่บนแท่นกลาง แม้ว่าจะนิ่งงันแต่สีหน้าที่ถมึงทึง ดุดันและทีท่าน่ายำเกรงเผยลางสังหรณ์ไม่สู้ดี ทำให้ผู้อาวุโสทุกคนในห้องหวาดกลัวจนต่างคนต่างเงียบอย่างกับจักจั่นในยามหน้าหนาวเลยทีเดียว

ขณะนั้นซือคงฮวายืนอยู่ห่างออกไป สีหน้าทั้งหวาดวิตกและเกรงกลัว ท่าทางกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

ครู่ที่ผ่านมาคนที่ถูกส่งออกไปสืบข่าวกลับมารายงานว่าพี่ชายของเขา…ซือคงเหินรวมกับศิษย์อีกสิบแปดคนที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้ถูกฆ่าตายทั้งหมด แม้แต่ท่านลุงหย่งหลินซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติก็ยังไม่รอด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลซือคงยามนี้เหมือนลูกระเบิดที่โยนลงมาซ้ำเติมตระกูลทีเดียว แต่ไม่ถึงกับทำให้ทั้งตระกูลต้องวิบัติ เวลานี้สิ่งที่สมาชิกตระกูลซือคงรู้สึกอึดอัดใจก็คือนิกายสวรรค์ปฐพีสั่งให้ตระกูลซือคงส่งมอบวัตถุล้ำค่าจำนวนครึ่งหนึ่งไปให้ โดยกำหนดเส้นตายไม่เกินสามวัน ล่าช้าแม้แต่วันเดียวก็ไม่ได้

วัตถุล้ำค่าห้าในสิบของตระกูล! ถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้ตระกูลซือคงมีฐานะกลายเป็นตระกูลอันดับรองแห่งเมืองเฟิงเย่เพียงแค่ชั่วข้ามคืน! การซ้ำเติมเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขายอมรับไม่ได้อย่างแท้จริง

“ในเมื่อเหินเอ๋อร์ถูกฆ่าตาย จงช่วยกันประคับประคองฮวาเอ๋อร์ให้ดี ไม่มีสมบัติล้ำค่าเห็นทีพวกเราคงต้องแยกย้ายกันเก็บเนื้อเก็บตัวสักพัก นิกายสวรรค์ปฐพีไม่ติดที่จะทำลายล้างตระกูลเรา ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ก็ยังมีโอกาสที่เราจะทวงคืนกลับมาได้ เสี่ยวอวิ๋น เจ้าคงเข้าใจความหมายของข้าใช่ไหม” ทันใดนั้นบรรยากาศภายในหอยิ่งหนักอึ้งตึงเขม็งขึ้นทุกขณะ ทุกคนในนั้นรู้สึกเหมือนถูกกดทับจนแทบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว เสียงของคนสูงวัยเน้นหนักสะท้อนดังไปทุกมุมห้อง คำพูดผ่านกระแสปราณดังอึมครึมปานฟ้าลั่นครั่นครืน

ท่านบรรพบุรุษ!

สิ่งที่ได้ยินดังแทรกเข้าสู่จิตวิญญาณของผู้คน ทั้งยังแยกแยะความนัยแห่งคำพูดดังกล่าวของบรรพบุรุษได้ จึงทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าสลดจนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

“ท่านบรรพบุรุษไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านลำบากใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” ซือคงเสี่ยวอวิ๋นสูดลมหายใจ ขณะที่ผุดลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะแสดงคารวะด้วยการประสานกำปั้นไปทางด้านหลังหอสนทนา

เสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายหากมิได้พูดอะไรต่อ จากนั้นจึงหายตัวไปอย่างไร้วี่แวว ราวกับเขาไม่เคยปรากฏตัวที่นั่นมาก่อน

“นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ห้ามทุกคนออกไปนอกตระกูลเด็ดขาด!

“นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฮวาเอ๋อร์จะเข้าไปอยู่ในเขตหวงห้ามของตระกูลเพื่อฝึกฝนเต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อนแทนเหินเอ๋อร์ เขาต้องบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในอีกหนึ่งปีข้างหน้า”

“จงจดจำความอัปยศอดสูไว้และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงมันให้ได้ ทุกคนมาพยายามด้วยกันเถิด!”

เสียงของซือคงเสี่ยวอวิ๋นสั่งการอีกมากมายดังสะท้อนภายในหอสนทนา ต่อมาภายหลังจากที่ทุกคนได้รับคำสั่งกันถ้วนทั่วและกลับออกไป คงเหลือเพียงซือคงฮวาและซือคงเสี่ยวอวิ๋นอยู่ตามลำพัง ท่าทางซือคงเสี่ยวอวิ๋นจะสิ้นสุดความอดทน เขาทรุดฮวบลงและนั่งคอตกอยู่ไปบนม้านั่ง ความอ่อนล้าฉายออกมาตรงหว่างคิ้วที่ขมวดลึกและยามนี้ดูเหมือนเขาจะแก่ลงไปอีกหลายปี

“ท่านพ่อ!” ซือคงฮวารู้สึกเจ็บปวดหัวใจเหลือประมาณเมื่อยิ่งได้เห็นภาพตรงหน้า เขากัดฟันกรอดก่อนจะเค้นเสียงพูดลอดไรฟัน “ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้คนอัปรีย์เฉินซีคนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมัน พี่ใหญ่ก็คงไม่ตาย ลุงหย่งหลินจะถูกเปิดโปงได้อย่างไร ไหนจะพวกนิกายสวรรค์ปฐพีที่ตามมาหาเรื่องเราอีก ท่านพ่ออย่าห่วงเลย สักวันข้าจะไปฆ่ามัน แก้แค้นแทนพี่ใหญ่เองขอรับ!”

เพียะ!

ซือคงเสี่ยวอวิ๋นใช้ฝ่ามือฟาดลงที่ใบหน้าของซือคงฮวาฉาดใหญ่เป็นการสั่งสอน จากนั้นจึงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ “ถ้าไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้และยังขืนกล้าพูดแบบนี้ ข้าจะหักขาเจ้าเสีย!”

ซือคงฮวาไม่ไยดีกับใบหน้าที่บวมเป่งทันตาเห็นของเขาเลยแม้สักน้อย หากแววตาขุ่นเขียวแสดงออกถึงความเหี้ยมเกรียมอันยากจะหาใดเหมือน เขาเม้มปากอย่างถือดีทว่าไม่ได้พูดอะไรอีก ครู่หนึ่งจึงหมุนตัวกลับและออกไปทันที อย่างไรก็ตามเสียงพูดในใจของเจ้าตัวก็ยังคงดังก้อง ‘ท่านพ่ออย่าได้กังวล ข้าจะทำให้ท่านประหลาดใจอย่างแน่นอน อีกหนึ่งปีเมื่อข้าเดินออกจากเขตหวงห้าม ข้าจะทำให้ท่านเอ่ยปากอนุญาตให้ข้าแก้แค้นเฉินซีด้วยตัวเอง!’

ณ หอขุมทรัพย์สวรรค์ ภายในห้องที่หรูหราและเงียบสงบ

“เขาฆ่าคนจำนวนมากและยังหนีเอาตัวรอดออกมาได้อย่างปลอดภัยต่อหน้าต่อตานิกายสวรรค์ปฐพี เจ้าหมอนี่มันร้ายกาจนัก! พลังแกร่งกล้าน่าเกรงขามนักแต่ไม่เห็นบอกข้าสักนิด ทำให้ข้าเสียแรงเป็นห่วง…” ขณะนั้นนางได้รับฟังเรื่องราวแล้วจึงออกปากตำหนิ ย่าชิงเชิดริมฝีปากสีแดงงดงามขึ้นเล็กน้อย หากดวงตาเป็นประกายพราวระยับ ใบหน้าขาวบางเป็นนวลใยบ่งบอกถึงจิตใจที่เบิกบาน เมื่อไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกจึงเปล่งหัวเราะสดใสดังลั่น น้ำเสียงสูงต่ำราวกับเสียงดนตรีให้ความรื่นรมย์ดั่งธรรมชาติขับกล่อม

คนที่ยืนเงียบ ๆ ด้านข้าง…ซินฮวนมองด้วยแววตาประหลาดใจทว่าแวบเดียวก็จางหายก่อนที่จะก้มลงมองไปยังข้อมูลซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

“แล้วตอนนี้เขาไปอยู่เสียที่ไหน ก่อนไปก็ไม่บอกกล่าวสักคำ คนบ้าไร้หัวใจ บ้าสิ้นดี…” ย่าชิงนั่งเท้าคางขณะสายตาเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายามราตรีแต่งแต้มด้วยดวงดาวนับร้อยพันเรียงรายและลึกล้ำประหนึ่งแววตาของสตรี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]